เครื่องซักผ้า (Washing Machine) จัดว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านอีกหนึ่งชนิดที่มีรุ่นเยอะมากไม่ต่างกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นเลย เอาคร่าว ๆ ที่ขายในไทยก็ปาไปกว่า 200 รุ่นแล้ว ไหนจะยี่ห้อและประเภทของมันที่มีทั้งแบบฝาบน ฝาหน้า ไซซ์มินิต่าง ๆ เต็มไปหมด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะเริ่มต้นไม่ถูกว่า ก่อนซื้อจะต้องดูอะไรตรงไหนบ้าง วันนี้ Priceza Shopping Expert เลยอยากจะมาแนะนำมีวิธีเลือกเครื่องซักผ้าใหม่ให้คุ้มราคา ให้ถูกใจคนใช้และคน(ถูก)ใช้ ฮ่าๆ มากที่สุด Show
การจะซื้อ เครื่องซักผ้าใหม่ สักเครื่องนี่ไม่ยากเลยขอบอก ขั้นแรกแค่มีเงินคุณก็สามารถเป็นเจ้าของได้แล้ว แต่การจะเลือกให้เหมาะสมกับบ้านและครอบครัวของเราที่สุดนี่สิที่ทำให้มันยาก บางครั้งซื้อมาแล้วรู้สึกใช้ไม่คุ้ม หรืออาจจะไม่พอใช้! เป็นใครก็คงไม่อยากให้ตัวเองพบเจอกับสิ่งเหล่านี้เป็นแน่ ๆ ด้วยเหตุนี้มันจึงจะมีสิ่งสำคัญที่ควรจะต้องดูให้ดีก่อนซื้อ อันได้แก่ เอาล่ะจ้า ลองค่อย ๆ ทำความเข้าใจและเช็คลิสต์ทีละข้อกันไปพร้อม ๆ กัน สำรวจพฤติกรรมการใช้ ซักเยอะมั้ย ซักบ่อยแค่ไหน?ทำไมเราถึงต้องมาสนใจเรื่องพฤติกรรมการใช้งานและต้องดูมันเป็นอันดับแรก? นั่นก็เพราะเครื่องซักผ้าแต่ละประเภท แต่ละขนาดนั้นถูกออกแบบมาให้เหมาะกับลักษณะการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเลือกซื้อโดยไม่คำนึงในจุดนี้ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาที่ไม่มีใครต้องการ เช่น การซักผ้าสะอาดเพราะว่าจำนวนผ้าเยอะเกินไป ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจากการที่เครื่องทำงานหนัก การที่ผ้าขาดตอนซัก หรือการลดอายุการใช้งานของตัวเครื่องอย่างไม่รู้ตัว เป็นต้น
ดังนั้นก่อนจะซื้อมัน คุณต้องลองถามตัวเองว่าโดยปกติแล้ว คุณซักผ้าบ่อยแค่ไหน จำนวนผ้าที่ซักแต่ละครั้งมากน้อยเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ผ้าที่คุณใส่เป็นผ้าชนิดอะไร เป็นต้น เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกับเรื่องสเปคเรื่องที่เรากำลังจะพูดถึงในหัวข้อต่อ ๆ ไป อันได้แก่ ประเภทเครื่องซักผ้า ขนาดถังความจุผ้ากิโลกรัม และฟีเจอร์การใช้งาน เป็นต้น หาตำแหน่งและวัดขนาดพื้นที่ติดตั้งก่อนซื้อถ้าใครเคยมีเครื่องเก่าอยู่ก่อน ก็อาจจะเดาขนาดพื้นที่ในการติดตั้งด้วยสายตาให้พอดีกับตัวเครื่องได้ แต่กับใครที่กำลังจะซื้อมันมาใช้เป็นครั้งแรกในชีวิต อาจจะต้องไปคิดเรื่อง ตำแหน่งและพื้นที่ในการติดตั้ง ก่อนจะซื้อสักหน่อย เนื่องจากบางครั้งอาจเกิดเหตุการณ์ตลกร้าย เช่น การเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าประตูห้องไม่ได้ หรือการที่ไม่สามารถต่อท่อน้ำได้เพราะด้วยพื้นฐานการใช้งานของมันที่จำเป็นต้องใส่น้ำเข้าและทิ้งน้ำออก เป็นต้น
ดังนั้นการหาพื้นที่ ๆ เหมาะสมและวัดขนาดพื้นที่จึงเป็นเรื่องที่ต้องดูก่อนไปซื้อนั่นเอง 3. เลือกขนาดความจุตัวเครื่องตามน้ำหนักผ้าที่ซักตัวเลขที่มีหน่วยเป็น “กิโลกรัม” บนเครื่องซักผ้า เช่น 8kg. 12kg. 15kg. ไม่ได้หมายถึงน้ำหนักของตัวเครื่อง แต่มันคือ น้ำหนักมากที่สุดของผ้าที่เครื่องรับไหว และสามารถซักได้สะอาดมีประสิทธิภาพดีที่สุดต่อการซัก 1 ครั้ง โดยไม่ทำให้เครื่องต้องทำงานหนักมากเกินไป ยิ่งตัวเลขตรงนี้เยอะเท่าไหร่ ตัวเครื่องยิ่งหนักยิ่งมีขนาดใหญ่ และยิ่งใส่ผ้าได้จำนวนเยอะขึ้น ซึ่งถ้าเราเลือกความจุไม่พอดีน้อยเกินหรือเยอะเกินไป มันอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาได้หลายอย่าง เช่น ผ้าไม่สะอาด กินพื้นที่ใช้สอยในบ้าน และการกินไฟเกินควร เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเลือก กิโลกรัม ให้เหมาะสม
แล้วน้ำหนักที่ว่าหมายถึงผ้าเปียกหรือแห้ง? คำว่าน้ำหนักผ้าในที่นี้ ให้จดไว้ในใจเลยว่า ผู้ผลิตเค้าหมายถึงน้ำหนักของ ผ้าแห้ง นะ
จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องซื้อเครื่องซักผ้ากี่กิโลกรัมคงไม่มีใครว่างนั่งชั่งผ้าทีละชิ้นก่อนซักหรอก (หรืออาจจะมี) ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้รู้ว่าไลฟ์สไตล์ของคุณหรือของครอบครัวเหมาะกับเครื่องซักผ้ากี่กิโลกรัม คือการประมาณซึ่งสามารถทำได้คร่าว ๆ ดังนี้ ผ้าน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เท่ากับ เสื้อเชิ้ต 5 ตัว หรือ เสื้อเชิ้ต 1 ตัว + กางเกงยีนส์
ตัวอย่างการเลือกขนาดเครื่องซักผ้าให้เหมาะสม ตัวอย่างที่ 1 สมมุติว่าคุณเป็นผู้หญิงอาศัยอยู่ที่คอนโดคนเดียวและซักผ้าไม่บ่อยเฉลี่ยอาทิตย์ละ 1 – 3 ครั้ง เครื่องซักผ้าขนาด 7 กิโลกรัมก็เพียงพอแล้ว
ตัวอย่างที่ 2 สมมุติว่าคุณอาศัยในครอบครัวใหญ่จำนวนผ้าในการซักต่อครั้งอาจจะอยู่ที่ประมาณ 30 ชิ้น เครื่องซักผ้าที่จะซื้อมาใช้ควรมีขนาด 8 – 10 กิโลกรัม
สมมุติว่าต้องการซื้อเพื่อไว้ซักผ้านวมเตียงด้วย
ตัวอย่างที่ 3 เครื่องซักผ้าที่จะซื้อมาใช้ควรมีขนาด 10 กิโลกรัม เป็นต้นไป 4. เลือกประเภทเครื่องตามลักษณะการใช้ เปรียบเทียบฝาบน ฝาหน้า แบบไหนดี?เอาจริง ๆ จะเป็นเครื่องประเภทไหนก็ใช้ซักผ้าได้เหมือนกันหมด แต่ไม่ใช่ว่าจะซักผ้าได้ดีเท่ากันหมด โดยปกติประเภทของเครื่องซักผ้าจะถูกแบ่งตามตำแหน่งของฝาตัวเครื่อง ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องซักผ้าฝาหน้า และเครื่องซักผ้าฝาบน ที่ย่อยได้อีกเป็นแบบถังเดี่ยวและถังคู่
เครื่องซักผ้าฝาบน VS เครื่องซักผ้าฝาหน้า เลือกให้ตรงใจไม่ใช่เรื่องยาก
ถ้าลองค้นหาใน Google หรือ Pantip ดูจะพบว่าคำถามลักษณะนี้พบได้บ่อยมาก และก็มีคนเขียนเปรียบเทียบความแตกต่างเอาไว้เยอะมากเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นหลายก็ยังคงเลือกไม่ได้ นั่นก็เพราะในบางจุดเครื่องซักผ้าทั้งสองชนิดมีข้อดี และข้อสังเกตที่แทบไม่ต่างกันเลย คำแนะนำของเราที่อยากจะบอกหลังจากนี้คือ ให้เลือกในสิ่งคุณคิดว่าตรงกับการใช้งานมากที่สุดก็แล้วกัน ราคาเครื่องฝาบนถูกกว่าฝาหน้าปัจจัยแรกที่อยากให้ลองเอามาพิจารณาคือเรื่อง ราคา เนื่องจากว่าเป็นความแตกต่างของเครื่องสองประเภทที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และที่สำคัญต่อให้คุณเจอรุ่นที่อยากได้แล้ว แต่ถ้ามีงบไม่พอคุณก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี โดยทั่วไปเครื่องซักผ้าฝาบน มักมีราคาถูกกว่าเครื่องซักผ้าฝาหน้าเสมอ โดยเฉพาะเครื่องฝาบนแบบสองถัง เมื่อเทียบจากขนาดควาจุที่ใกล้เคียงกัน เช่น ราคาเครื่องซักผ้า LG ชนิดฝาบนหนึ่งถัง และสองถัง ขนาด 14 kg. กับ ราคาเครื่องซักผ้า LG ฝาหน้า ขนาด 14 kg. เป็นต้น จะเห็นว่าราคาต่างกันเกือบ 3 เท่าเลย แต่ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาให้เก็บหัวข้อนี้ไว้เป็นตัวตัดสินในขั้นตอนสุดท้าย ความง่ายในการใช้งานถ้าเป็นเครื่องซักผ้าฝาบนรุ่นใหม่ ๆ ทั้งฝาบนและฝาหน้าส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบถังเดี่ยวกึ่งอัตโนมัติกันหมดแล้ว ซึ่งหมายความว่ากดปุ่มเดียวก็ซักปั่นรอตากได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอกดเติมน้ำเข้าออก หรือย้ายผ้าไปยังถังปั่นแห้ง เหมือนในอดีตที่เป็นสองถัง (ปัจจุบันก็ยังมีแบบสองถังขายนะ) ดังนั้นเรื่องความสะดวกสบายในการใช้งานผู้เขียนมองว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยกเว้นว่าคุณจะซื้อเครื่องแบบสองถังมาใช้ ความเร็วในการซักโดยพื้นฐานตามหลักการทำงาน เครื่องซักผ้าฝาบนจะใช้เวลาในการซักน้อยกว่าเครื่องฝาหน้า ที่มักใช้เวลาซัก 1 ชั่วโมงขึ้นไป เมื่อเทียบกับน้ำหนักผ้าเท่ากันในโหมดปกติ แต่สำหรับเครื่องแบบฝาหน้ารุ่นใหม่ ๆ จะมีฟังก์ชั่นซักเร็วที่ทำให้ใช้เวลาน้อยกว่าชั่วโมง อย่างเครื่องซักผ้า Samsung ในโหมด QuickWatch ที่สามารถซักเสร็จในเวลาแค่ 29 นาที (สำหรับผ้าที่เปื้อนไม่มาก) ดังนั้นถ้าอยากได้การซักที่รวดเร็ว แบบฝาบนจะค่อนข้างตอบโจทย์กว่า ใครซักสะอาดกว่าความสะอาดของผ้าในการซัก ขึ้นอยู่กับระบบการหมุนของเครื่อง ส่วนมากแบบฝาบนจะใช้ระบบการหมุนจากแกนกลางในทิศทางซ้ายขวา (Agitationg) อาศัยการเสียดสีของผ้ากับน้ำ ซึ่งต่างกับเครื่องฝาหน้าที่จะเป็นการหมุนเหวี่ยงผ้าตามหลักแรงโน้มถ่วงช่วยทำให้ฝาหน้าซักได้สะอาดกว่า แต่ก็ไม่เสมอไปเนื่องจากสมัยนี้เครื่องฝาบนได้มีรุ่นที่เรียกว่า High Efficiency ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการซักด้วยการการใส่ฟังก์ชั่นใหม่ ๆ เช่น เพิ่มการหมุนตัวถัง เพิ่มการปล่อยน้ำจากบนลงล่าง เพิ่มการปรับอุณหภูมิน้ำ หรือมีโหมดเร่งความแรงในการซัก เป็นต้น เรียกว่าประสิทธิภาพตีตื้นมาจนแทบไม่ต่างกับฝาหน้าแล้ว การถนอมผ้าอิงตามหลักการหมุนในหัวข้อความสะอาดในการซักที่บอกไป เครื่องฝาหน้าจะโดดเด่นเรื่องการถนอมผ้ามากกว่า มีโอกาสที่ผ้าจะเสียทรงและพันกันน้อยกว่า แม้ฝาบนรุ่นใหม่ ๆ จะมีโหมดถนอมผ้า แต่อย่างไรเครื่องแบบฝาหน้าก็ยังคงทำได้ดีกว่ามาก โดยเฉพาะการซักเนื้อผ้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น ผ้าชีฟอง ผ้าขนสัตว์ ฯลฯ อายุการใช้งาน อะไหล่การซ่อม การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าบ้างก็บอกฝาบนทนกว่า บ้างก็บอกว่าฝาหน้าอึดสุด ในความเป็นจริงอายุการใช้งานของเครื่องซักผ้าโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ พอ ๆ กันคือ 10 ปีขึ้นไป หากหมั่นเช็ค ทำความสะอาด และใช้อย่างถูกวิธี (homeguides.sfgate.com) แต่จากการสำรวจผู้ใช้หลาย ๆ จากหลายเว็บไซต์ เช่น Pantip.com Reddit.com ส่วนใหญ่บอกว่า เครื่องฝาบนทนกว่า
ทั้งนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เครื่องใช้ไฟฟ้าถ้าใช้ไปนาน ๆ จะเสื่อมประสิทธิภาพหรือเสียได้ ซึ่งในการซ่อมมัน เครื่องฝาบน อะไหล่หาง่ายและมีราคาถูกกว่าฝาหน้า รวมไปถึงการชะล้างทำความสะอาดตัวเครื่องที่ทำได้ง่ายกว่ามาก ฟังก์ชั่นเสริมพิเศษถ้าเป็นเครื่องฝาบนแบบธรรมดา ๆ เรื่องฟังก์ชั่นเสริมมันแทบจะไม่มีอะไรสู้ฝาหน้าได้เลย เนื่องจากเครื่องฝาหน้ามีโหมดให้ใช้งานได้เยอะกว่ามาก ทั้งการที่บางรุ่นสามารถอบแห้งได้ภายในตัว การปรับอุณหภูมิน้ำ การควบคุมเครื่องผ่านสมาร์ทโฟน เป็นต้น แต่หากเป็นแบบฝาบนที่เป็นรุ่นแพง ๆ หน่อย ก็จะสามารถใช้ฟีเจอร์พิเศษเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีเครื่องซักผ้าฝาบนที่สามารถอบผ้าได้ออกมาขาย ยกเว้นเครื่องซักผ้าแบบ All In One ที่มีตัวถังทั้งฝาบนและฝาหน้าในเครื่องเดียว เช่น LG TWINWash™
ความประหยัดน้ำและค่าไฟถ้าเทียบในประมาณผ้าเท่ากัน ความจุถังเท่ากัน โหมดปกติ เครื่องฝาหน้าจะใช้น้ำในการซักน้อยกว่า แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีผู้ผลิตหลาย ๆ ยี่ห้อ ได้ใช้ระบบคำณวนระดับน้ำของเครื่องฝาบนที่เหมาะสมซึ่งช่วยลดการใช้น้ำได้เยอะขึ้นกว่าเดิมมาก แล้วสำหรับเรื่องการกินไฟ ตามตรรกะพื้นฐานเครื่องฝาบนน่าจะประหยัดไฟมากกว่า เพราะว่าไม่ต้องใช้ไฟในการอบผ้า ทำน้ำร้อน อีกทั้ง เครื่องซักผ้าฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ออกมาขายแทบจะไม่รุ่นฝาหน้าที่ได้รับฉลากดังกล่าวเลย ยกตัวอย่าง เครื่องซักผ้าฝาบน Electrolux EWT1575D2SA 15kg. มีค่าไฟเพียง 145 บาทต่อปี เท่านั้น
คำแนะนำ หากต้องการใช้เครื่องฝาหน้าที่ประหยัดไฟ ควรเลือกใช้เครื่องที่เป็นระบบมอเตอร์แบบ อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ก็จะช่วยได้มากเลยทีเดียว สรุปเปรียบเทียบเครื่องซักผ้าฝาบน VS เครื่องซักผ้าฝาหน้าเครื่องซักผ้าฝาบนเครื่องซักผ้าฝาหน้าราคาเมื่อเทียบกับความจุถูกกว่าแพงกว่าความง่ายในการใช้เท่ากันเท่ากันความเร็วในการซัก(โหมดปกติ)เร็วกว่าช้ากว่าความสะอาด(โหมดปกติ)เท่ากันเท่ากันการถนอมผ้าน้อยกว่ามากกว่าอายุการใช้งาน อะไหล่การซ่อมและการทำความสะอาดเยอะกว่า ง่ายกว่าน้อยกว่า ยากกว่าฟังก์ชั่นเสริมพิเศษน้อยกว่ามากกว่าความประหยัดน้ำน้อยกว่ามากกว่าค่าไฟน้อยกว่ามากกว่า
จากตารางจะเห็นว่าเครื่องซักผ้าทั้งสองประเภทต่างก็มีข้อดี ข้อเสียที่พอ ๆ กัน ถ้าจะให้ฟันธงว่าแบบไหนดีที่สุด ผู้เขียนไม่สามารถตัดสินได้จริง ๆ แนะนำว่าเลือกในสิ่งที่ต้องใช้จริง ๆ ดีกว่าค่ะ รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครื่องซักผ้าQ : ซื้อเครื่องซักผ้าแบบมีฟังก์ชั่นการอบ หรือซื้อเครื่องอบผ้าแยกดี
Q: ซื้อเครื่องซักผ้ายี่ห้อไหนดี |