จริง ๆ แล้ว การเรียกเงินเดือนสำหรับเด็กจบใหม่นั้น ไม่ได้ตายตัว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วย รวมทั้งงานที่เราเลือกสมัครด้วย ว่าเราสมัครงาน ใดไป หางานเเบบไหน ว่าเราชอบงานนั้นจริง ๆ ใช่ไหม หรือเลือกสมัครเพราะให้ผลตอบแทนสูง บางครั้งเงินเดือนเริ่มต้นก็มีความยืดหยุ่นและสามารถต่อรองได้ งานแต่ละงานก็มีอัตราเงินเดือนเฉลี่ยตามราคาตลาดอยู่ ดังนั้น ให้เราควรทำการบ้านว่า เงินเดือนตำแหน่งนี้ปกติเขารับที่เงินเดือนเท่าไหร่ ซึ่งบางครั้งเงินเดือนอาจขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และทักษะของตัวเราเองด้วย Show อาชีพโปรแกรมเมอร์ เด็กจบใหม่จะทำได้ไหมงานในสายไอทีหรือดิจิทัลที่มีความเฉพาะทาง และเป็นที่ต้องการของตลาดสูง โดยมีเงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ 18,000 – 25,000 บาท และสูงที่สุดที่ 40,000 บาท ซึ่งอาจมีการปรับอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะสายอาชีพ โปรแกรมเมอร์ ที่มีความสำคัญต่อบริษัทเป็นอย่างมาก ซึ่งในตอนนี้ก็ยังขาด แรงงานไทย ที่มีฝีมือในด้านนักพัฒนาซอฟท์แวร์อยู่ เพราะใบปริญญาวัดอะไรไม่ได้ไม่มากนัก ในโลกการทำงานจริง โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กจบใหม่ที่ได้รับเงินเดือนสูงมักเป็นเด็กจบใหม่ที่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อนอย่างก็ ฝึกงาน ทำโปรเจค หรือเป็น Freelance และเก็บพอร์ตผลงานมาบ้างอยู่แล้ว รวมไปถึงต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ถึงจะมีโอกาสเรียกเงินเดือนในระดับสูงได้ เพราะฉะนั้นอาชีพนี้จึงต้องเรียนรู้ เพิ่มทักษะของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งการเสริมทักษะใหม่ และพัฒนาทักษะเดิมที่มีอยู่ กลายเป็นปัญหาสำหรับเด็กจบใหม่ เมื่อต้องเข้าทำงานครั้งแรกด้วยวุฒิปริญญาตรี ซึ่งหลายคนก็ยังไม่แน่ใจว่าต้องเริ่มต้นด้วยเงินเดือนเท่าไหร่ ถึงจะเพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมาก ในสภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้ทุกบริษัทต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานขั้นต่ำเริ่มต้นวันละประมาณ 325 บาท ทีมนิวมีเดีย พีพีทีวี จึงลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นจากนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายฤทธิวงศ์ บุญบรรบุ นักศึกษาคณะการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการบริการ บอกว่า อยากได้เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 30,000 บาทเพราะว่าตนเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ก็อยากให้คุ้มกับค่าเรียนที่เสียไป แต่ก็ยอมรับว่าต้องอาศัยประสบการณ์ของตนเองด้วย เมื่อได้เงินส่วนนี้มาก็จะแบ่งจ่ายเป็นส่วนๆ ให้พ่อแม่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าห้อง และค่ารถ “เรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ก็อยากให้คุ้มกับค่าเรียนที่เสียไป” นางสาวนุชจรี ศิริสุภา นักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ กล่าวว่า หากจบปริญญาตรี อยากทำงานได้เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท เนื่องจากประสบการณ์ตนไม่มากพอที่จะสามารถขอเงินเดือนสูง ๆ ได้ และถ้าสมมติได้ทำงานจริง ตนก็จะค่อย ๆ เรียนรู้ แล้วค่อยขยับเงินเดือนขึ้นไป ซึ่งดีกว่าที่จะต้องเรียกเงินเดือนสูงตั้งแต่แรก เพราะตนยังไม่รู้ความสามารถตัวเองว่าเก่งขนาดไหน “อยากทำงานได้เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท เนื่องจากประสบการณ์ตนไม่มากพอที่จะสามารถขอเงินเดือนสูง ๆ ได้” ด้านนางสาวพัฐนสรณ์ โศภาวชิราทวี นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ บอกว่า อยากทำงานได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 20,000 บาทขึ้นไป เพราะว่าตอนนี้ค่าครองชีพสูง ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต และยิ่งในกรุงเทพมหานครก็จะมีค่าใช่จ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าข้าว ค่าเดินทาง เป็นต้น ซึ่งไม่พอใช้จ่ายด้วยค่าแรงแค่ขั้นต่ำ “ตอนนี้ค่าครองชีพสูง ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ” เมื่อความต้องการของเด็กจบใหม่กับเงินเดือนก้อนแรกเป็นแบบนี้ แล้วความเห็นของ ฝ่ายบุคคลหรือฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ หรือ HR จะว่าอย่างไร อภิชาติ ขันธวิธิ แอดมินเพจ HR- The Next Gen บอกกับนิวมีเดีย พีพีทีวี ว่า หากมีความต้องการเงินเดือนในระดับ 25,000 – 30,000 บาท สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องหาบริษัทที่สามารถจ่ายค่าจ้างในระดับที่ต้องการให้ได้ก่อน ซึ่งถ้าเป็นบริษัทที่มีอัตราของคู่แข่งสูงสิ่งที่สำคัญคือ ทำความรู้จักบริษัทนี้ให้ดีที่สุด โดยต้องรู้ให้ได้ว่าบริษัทนั้นต้องการคนลักษณะใดมาร่วมงาน “ รู้เขารู้เรา เช่น ถ้าอยากจะได้ทำงานที่นี่ เขาต้องการคนที่คิดต่อยอด สร้าง Innovation ในงานแต่ละอย่างได้ หรือเขาต้องการคนที่ Positive เข้าไป ตัวเราต้องกลับมามองตัวเราว่าเรามีในสิ่งที่บริษัทเหล่านั้นต้องการหรือเปล่าเรายังขาดอะไรบ้าง เราต้องเติมให้เต็มก่อนที่เราจะไปเริ่มสมัครงานและสัมภาษณ์กับเขา” อภิชาติ บอกด้วยว่า หลายครั้งที่บริษัทรู้ว่าความสามารถของผู้สมัครเหมาะสมกับอัตราเงินเดือนที่ขอมาแต่อาจจะเป็นที่ข้อจำกัดของตัวบริษัทเองที่ต้องตัดใจปล่อยไป “ มันต้องหาจุดสมดุลระหว่างกัน ถ้าวันนี้เราบอกว่าผมต้องได้ 30,000 บริษัทก็เห็นนะว่าคุณควรได้ 30,000 แต่บริษัทไม่สามารถจ่ายได้ เพราะฉะนั้นมันไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ผิด ถ้าเราบอกว่าเราอยากได้ 30,000 และมูลค่าเรามีจริงๆ เราเดินไปหาบริษัทที่เขาจ่ายได้ ซึ่งมันมีอยู่จริง” เพราะฉะนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิดที่นักศึกษาจบใหม่จะประเมินมูลค่าของตัวเองแต่ขณะเดียวกันเกิดการจ้างงานขึ้นจะมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวไม่ได้ทั้งสองฝ่ายก็ต้องหาจุดสมดุลร่วมกันถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ต้องยอมปล่อยไป และถ้าไปดูความแตกต่างของการเลือกองค์กรแรกของการทำงานระหว่างคน 2 รุ่นคือ คน Gen Y และ Gen Z ก็พบว่ามีมุมมองต่างกัน ซึ่งข้อมูลของ เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) บอกว่า ในโลกการทำงานปัจจุบัน กลุ่มคน Gen Y และ Gen Z เริ่มมีบทบาทในโลกของการทำงานมากขึ้น และแน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้เริ่มจะกลายมาเป็นกำลังแรงงานหลักของหลายองค์กร ด้วยเหตุนี้ เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม ในฐานะผู้นำด้านเว็บไซต์หางาน จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนทำงานสองเจนเนอเรชั่น ได้แก่ Gen Y และ Gen Z โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจากทั่วประเทศจำนวน 3,184 คน ในหัวข้อปัจจัยที่ใช้พิจารณาเลือกเข้าทำงานกับองค์กร พบว่ามี 5 ปัจจัยแรกที่คนทำงานทั้งสองเจนเนอเรชั่นให้ความสำคัญเหมือนกันมากที่สุด ประกอบด้วย 2. สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ คิดเป็น 19.59% ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พนักงานสองเจนเนอเรชั่นให้ความสำคัญ เนื่องจากสวัสดิการถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการช่วยบริหารคนได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถจูงใจให้พนักงานอยากทำงานกับองค์กรยาวนานขึ้น รวมถึงสามารถดึงดูดให้คนภายนอกอยากมาทำงานกับองค์กรได้มากขึ้นด้วย เช่น เงินสนับสนุนตามโอกาสพิเศษ ส่งพนักงานไปอบรมพัฒนาความรู้ จัดสรรเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้ 5. มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน คิดเป็น 12.12% เพราะจุดมุ่งหมายของคนทำงานทุกคนคือการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ดังนั้นองค์กรต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถเติบโตในสายอาชีพได้ เช่น โอกาสในการปรับตำแหน่ง การขึ้นเงินเดือน นอกจากนี้รวมถึงการมอบหมายงานที่ท้าทายมากขึ้น ก็สามารถสะท้อนให้พนักงานเห็นถึงโอกาสก้าวหน้าในงานที่ทำได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจัยที่ Gen Z ให้ความสำคัญรองจาก 5 อันดับข้างต้น คือ สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน ชื่อตำแหน่ง ประเภทธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และชื่อเสียงองค์กร ตามลำดับ แต่ถ้าย้อนกลับดูคน Gen Y ให้ความสำคัญกับชื่อตำแหน่ง ชื่อเสียงองค์กร สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน ประเภทธุรกิจ และทำเลที่ตั้ง ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นว่า Gen Z ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมมากกว่าการสนใจเรื่องชื่อเสียงองค์กร ในขณะที่ Gen Y ให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อตำแหน่งและชื่อเสียงองค์กรมากกว่า อาจเป็นเพราะ Gen Y เข้าสู่ช่วงชีวิตการทำงานที่มีตำแหน่งงานอยู่ในระดับกลางถึงสูง ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อตำแหน่ง และชื่อเสียงองค์กรมากกว่า Gen Z ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้ทำให้องค์กรต้องเริ่มปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงรวมถึงหันมาทำความเข้าใจในสิ่งที่คนทำงานยุคใหม่ต้องการให้มากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาพนักงานลาออกหรือคนวัยแรงงานไม่สนใจทำงานประจำซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อองค์กรได้ ป.ตรีจบใหม่เงินเดือนเท่าไรเมื่อปีที่แล้ว ฐานเงินเดือนของเด็กจบใหม่ในระดับชั้นปริญญาตรี อยู่ที่ 12,000-60,000 บาท แต่ในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 10,000-50,000 บาท ปัจจัยสำคัญมาจากผลกระทบของโควิด 19 ที่ทำให้มีคนว่างงานเพิ่มขึ้น หลายองค์กรชะลอการรับพนักงานใหม่และปรับโครงสร้างเงินเดือน โดยจากข้อมูลพบว่า ในปี 2021 มีตำแหน่งงานที่เปิดรับเด็กจบใหม่ลดลงถึง 24 ...
เป็นครูได้เงินเดือนกี่บาทเงินเดือนขั้นต่ำ/ขั้นสูงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ปัจจุบัน ดังนี้ ครูผู้ช่วย ขั้นต่ำ 15,050 บาท ขั้นสูง 24,750 บาท , ครูคศ.1 ขั้นต่ำ 15,440 บาท ขั้นสูง 34,310 บาท, ครูคศ.2 ขั้นต่ำ 16,190 บาท ขั้นสูง 41,620 บาท, ครูคศ.3 ขั้นต่ำ 19,860 บาท ขั้นสูง 58,390 บาท , ครูคศ.4 ขั้นต่ำ 24,400 ...
เรียกเงินเดือนยังไงดีเรียกเงินเดือนตามโครงสร้างเงินเดือนในตลาดงาน หรือตามโครงสร้างบริษัท. ประเมินจากข้อมูลของบริษัท และผลประกอบการ. อยากเรียกได้สูงก็ต้องเอาความสามารถเข้าช่วย. เรียกตามเรทเพิ่มเงินเดือนในตลาด แต่ไม่ควรเกินช่วงเงินเดือนในประกาศงาน. คนที่ไม่เคยย้ายงาน หรือทำตำแหน่งที่ตลาดต้องการ อาจเรียกได้สูงกว่าปกติ. เงินเดือนขึ้นปีละกี่เปอร์เซ็นต์ 2564การปรับเงินเดือนประจำปี ตามผลงานในปี 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 3.93% ซึ่งลดลงจากปี 2563 โดยกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการขึ้น เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และกลุ่มพาณิชยกรรมและบริการ มีอัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 5%, 4.69% และ 4.09% ตามลำดับ
|