เรียกได้ว่าอยู่คู่กันมานานแบบที่ขาดกันไปไม่ได้นั่นคือ โทรศัพท์มือถือ Smartphone และ หูฟัง Small Talk ที่ถึงแม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะมีลำโพงสำหรับนำมาแนบหู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ต้องถือโทรศัพท์มือถือไปนานๆ ในการคุยโทรศัพท์ เทียบกับการใส่หูฟัง Small Talk และวางมือถือเอาไว้ ทำให้การทำกิจกรรมอื่นๆ ไปด้วย เช่น การเขียน พิมพ์งาน เล่นเกม และนอนคุย ทำได้สะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ Small Talk ยังไม่ได้ถูกใช้ในการใช้งานรับสายสนทนาโทรศัพท์เท่านั้น แต่ด้วยความสามารถของ Smartphone ที่ในปัจจุบันถูกพัฒนาให้มีฟังก์ชันที่หลากหลาย ครบถ้วน เทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง นั่นจึงทำให้หูฟัง Small Talk ถูกนำไปใช้ฟังเพลง ดูหนัง และอัดเสียงเป็นต้น และสำหรับผู้ใช้งาน iPhone ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา iPhone จะมีการแถมหูฟังไอโฟนแบบมีสายมาให้ในกล่องด้วยเสมอโดยจะเป็นหูฟัง Apple EarPods with 3.5 mm. Connector จนการมาถึงของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่ทาง Apple ถอดช่องเชื่อมต่อหูฟัง AUX/3.5 mm. ออกไป ในช่วงแรกๆ ผู้ใช้งานที่มีหูฟัง AUX/3.5 mm. จำเป็นต้องใช้หัวแปลง AUX/3.5 mm. to Lightning ที่ Apple ก็ให้มาในกล่องด้วยหัลงจากนั้นในรุ่นต่อๆ มาทาง Apple จึงเปลี่ยนมาให้เป็นหูฟัง Apple EarPods with Lightning Connector เพื่อความสะดวกในการใช้งานไม่ต้องแปลงหลายรอบ แต่ด้วยความที่ช่องเชื่อมต่อบนไอโฟนนั้นมีเพียงช่องเดียว ทำให้การใช้งานยังคงไม่สะดวก เพราะนั่นหมายความว่าหากใช้งานหูฟังก็จะชาร์จแบตเตอรี่ไม่ได้เพราะไม่มีช่อง รวมถึงหากจะชาร์จก็จะใช้หูฟังไม่ได้ต้องไปหาแอปเตอร์แปลงนั่นเอง เรียกได้ว่าสร้างความวุ่นวายให้กับผู้ใช้งานไอโฟนเป็นอย่างมาก แอปเปิลทำหูฟังไร้สายทั้งที จึงออกแบบชิปหูฟังเอง นั่นก็คือชิป W1 ใช้กับหูฟังไร้สายที่เปิดตัว ในปีที่แล้ว อย่าง AirPods และ Beats 3 รุ่นใหม่ ซึ่งทางแอปเปิลอวดไว้ว่า ประหยัดพลังงานใช้งานได้ยาวนาน และมีการเชื่อมต่อกับบลูทูธที่ยอดเยี่ยม ทาง iDownloadBlog ก็จึงทำการทดสอบ หูฟังบลูทูธที่ใช้ชิป W1 กับที่ไม่ได้ใช้ W1 เพื่อดูว่าระยะทางการส่งสัญญาณไร้สาย นั้นใช้ได้ดีแค่ไหน ผลหูฟังที่ใช้ชิป W1 ส่งสัญญาณได้ไกลกว่ารุ่นปกติ การทดสอบนั้น ใช้ หูฟังที่ชิปชิป W1 ได้แก่ AirPods และ Beats Solo3 และฝั่งหูฟังที่ไม่ใช้ชิป W1 อย่าง PowerBeats และ BeatsStudio และทำการเชื่อมต่อกับ iPad แล้ววัดระยะที่ที่หูฟังใช้งานได้ระยะทางไกลแค่ไหน ที่ฟังเพลได้ราบรื่น ไม่มีอาการกระตุก หูฟังทั้งหมดที่ทดสอบชาร์จแบตเต็ม ทำการทดสอบซ้ำสองรอบ เพื่อความแม่นยำ ตอนทดสอบจะใช้เป็นการเดินช้า ๆ ในที่โล่งนอกบ้าน หูฟังที่ทำระยะใช้งานได้ไกลที่สุดคือ Beats Solo 3 ที่มีระยะการใช้งานเกือบ 100 เมตร ตามด้วย หูฟัง AirPods PowerBeats2 (no W1-chip): Beats Studio Wireless (no W1-chip): Apple AirPods (W1-chip): Beats Solo3 (W1-chip): สรุปแล้ว แอปเปิลมาถูกทางแล้ว ที่คิดค้นชิปขึ้นเอง เพราะจะเห็นว่าทำได้ดีกว่า Beats ที่เป็นบริษัทลูกที่ผลิตหูฟังไร้สายมาก่อนแอปเปิล หูฟัง AirPods มีขนาดเล็กมาก เทียบกับหูฟังทั้งหมดที่นำมาทำการทดสอบ แต่ก็เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ส่วนBeats ก็ได้อนิสงห์ในการได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่แอปเปิลคิดต้นขึ้นและทำได้ดี แน่นอนว่า ชิป W2 รุ่นต่อไปต้องดีกว่าเดิมแน่ และตอนนี้บลูทูธเองก็ออกมาตราฐาน Bluetooth 5 ที่ใช้งานได้ระยะไกลขึ้นกว่าเดิมมาก ตอนนี้ AirPods ได้กลายเป็นสินค้าหายากไปแล้ว ทำให้เราอาจจะยังไม่เห็นคนใช้ AirPods กันมากเท่าไหร่ รวมถึงด้วยความที่เปิดตัวมาในราคาที่สูงมาก ๆ จนทำให้หลายคนรู้สึกเสียดายที่จะทำเงินจำนวน 7,000 บาท ไปแลกกับหูฟังไร้สายตัวแรกจาก Apple ที่ไม่รู้ว่าจะไปรอดหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่หลายคนบอกว่าน่าเกลียด ใส่แล้วดูตลก หรือเสี่ยงต่อการหล่นหาย ที่ดูเหมือน Apple จะไม่ค่อยใส่ใจกับการออกแบบซักเท่าไหร่ ทางทีมงาน MacThai ได้สั่งซื้อ AirPods ไปตั้งแต่วันแรกที่เปิดขายและได้ของในช่วงก่อนปีใหม่ หลังกจากที่ได้ลองใช้มาเต็ม ๆ ถึง 2 อาทิตย์ ทีมงานได้เห็นถึงสิ่งที่ตอนแรกไม่ได้คาดคิดเอาไว้ และได้อยากแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่อยากจะลองเสี่ยงกับเทคโนโลยีใหม่ ที่ไม่มีใครรับประกันว่าจะเกิดหรือจะดับ :: แกะกล่อง AirPods ::AirPods นั้นมาพร้อมกับกล่องขนาดเล็ก ตามแบบ Apple ที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไป สิ่งที่มีมาให้ในกล่อง
เมื่อเราหยิบ AirPods ขึ้นมาจากกล่อง AirPods จะถูกใส่ไว้ในกล่องชาร์จ พอเปิดเราจะเห็นแสงไฟ LED ดวงเล็ก ๆ เพื่อบอกสถานะของตัว AirPods และจะเป็นสีเขียวหากชาร์จเต็มแล้ว 1. เชื่อมต่อง่ายและแบตก็ไม่ได้หมดเร็วAirPods พูดง่าย ๆ มันก็คือหูฟังแบบปกติที่ใช้เทคโนโลยี Bluetooth ทำให้มันสามารถใช้กับโทรศัพท์ได้แทบทุกรุ่นในโลกที่มี Bluetooth โดยจะมีปุ่มเล็ก ๆ อยู่ที่ด้านหลังเคสที่ใส่ จะใช้ในการกดเพื่อยืนยันว่า นี่คือหูฟังที่เราจะต่อจริง ๆ (คล้ายกับการต่อ Wifi แบบ WPS) การเชื่อมต่อง่ายถึงขั้นที่ว่า เมื่อเราต่อกับอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งแล้ว AirPods จะสามารถใช้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ Apple ID เดียวกันได้ และสามารถกด connect ได้เลย และราบรื่นมาก ๆ หากมีทั้ง iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch สำหรับอุปกรณ์อย่าง Windows และ Android ก็สามารถสลับไปมาได้ง่ายเหมือนกัน (แต่จะใช้ต้อง connect เองผ่าน bluetooth) แบบนี้คนอื่นจะ Hi-jack หูฟังเราได้ไหม ? แอบเปิดเสียงให้ตกใจ ? ตอบเลยว่าไม่ได้ เพราะการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ (ที่ไม่ได้ลงด้วย Apple ID เรา) จะต้องให้กดปุ่มหลังเคสค้างเอาไว้ก่อน ทำให้การเชื่อมต่อปลอดภัยพอสมควรไม่ต้องห่วงว่าจะโดน Hi-jack 2. ใส่แล้ว คนมองโคตรเยอะหลายคนอาจจะบอกว่าใส่แล้วตลก อันนี้ยอมรับเลยว่าจริง หลังจากที่ได้ใส่ AirPods แล้วเดินตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบนรถเมล์หรือรถไฟฟ้า คนจะมองเยอะมาก ๆ จนบางทีก็เขิน ไม่รู้ว่าเขามองว่าเราเท่ที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุด หรือมองเพราะเราดูตลกกันแน่ เพราะว่า AirPods เป็นของใหม่ ด้วยการออกแบบที่เหมือนกับหูฟังแบบเดิมแต่ไม่มีสาย มันจึงเหมือนกับคนเอากรรไกรมาตัดสายหูฟังตัวเอง (ฮา) จึงเป็นภาพที่แปลกตา ไม่คุ้นชิน แต่อย่าลืมว่าเมื่อก่อน คนที่ใส่หูฟัง Bluetooth ดีไซน์อื่น ๆ ก็ถูกมองทั้งนั้น (และกลายเป็นภาพชินตาไปเอง) ไม่แน่ ถ้า AirPods จะเกิดจริง ๆ อนาคนเราอาจจะได้มองมันเป็นเรื่องปกติก็ได้ 3. AirPods ไม่ได้หลุดง่ายขนาดนั้น ถ้าสามารถใส่ EarPods ได้ ก็สามารถใส่ AirPods ได้ไม่หลุดเช่นกัน ให้เข้าใจว่าการที่หูฟังหลุด (ในกรณีที่ใส่หูแล้วแน่น) ไม่ได้เกิดจากมันเลื่อนหลุดเอง แต่เป็นเพราะว่ามันมีสาย ที่เป็นทั้งตัวถ่วงน้ำหนักและเกะกะเวลาเราไปโดน จึงดึงหูฟังให้หลุดออกมาจากหู จากการทดลองทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ปั่นจักรยาน ทำความสะอาดบ้าน เต้น หรือกิจกรรมอื่น ๆ หูฟัง AirPods ก็ไม่ได้หลุดออกมาง่าย ๆ ลองสั่นหัวแรง ๆ ก็ไม่หลุด แต่ถ้าหากเป็นคนที่ใส่ EarPods แล้วหลุดล่ะก็ อย่าได้คิดที่จะซื้อ AirPods มาใช้เลย จะทำให้หล่นหายเปล่า ๆ ย้อนกลับไปในปี 2012 ที่ Apple ออกแบบ EarPods มาเป็นหูฟังให้กับ iPhone 5 ตอนนั้น Apple ได้สร้างรูปร่างหูฟังแบบนี้ด้วยการทำวิจัยอย่างยาวนาน และได้แสกน “รูปร่างของหูคน” หลายรูปแบบเพื่อสร้าง EarPods ให้ไม่หลุดง่าย Jony Ive กล่าวไว้ว่า การสร้างหูฟังนี้ก็เหมือนกับการทำรองเท้าโดยมีข้อแม้ว่า ต้องเป็นรองเท้าไซส์เดียวที่ทุกคนสามารถใส่ได้ การออกแบบแบบนี้จึงเป็นการออกแบบโดยอิงจาก “คนส่วนใหญ่” ซึ่งคนประมาณ 80% สามารถใส่หูฟังแบบนี้ได้โดยไม่หลุด แต่อีก 20% ที่เหลือ หากคุณใส่ AirPods แล้วหลุดก็เสียใจด้วย 4. ไม่ใช่หูฟังที่เสียงดี แต่ใช้ได้ในระดับหนึ่ง EarPods เป็นหูฟังอเนกประสงค์ ซึ่ง AirPods ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เนื่องมาจากความกว้างของมิติเสียง ทำให้เหมาะกับการฟังเพลงทุกแนว ซึ่งจะทำให้ได้รายละเอียดต่าง ๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นดีเท่าหูฟังเฉพาะทาง จากที่ได้ลองใช้งานดูก็พบว่าเสียงดีกว่าแบบเก่าอยู่ แต่หากใครที่อยากได้ AirPods โดยหวังเสียงเทพล่ะก็ แนะนำว่าให้รอดู Beats รุ่นใหม่ ๆ หรือยี่ห้ออื่นเลยดีกว่า เพราะราคาที่สูงขนาดนี้อาจจะทำให้เราไปคาดหวังว่าคุณภาพเสียงจะออกมาดีเหมือนพวกหูฟัง In-ear หรือแบบครอบหูที่ราคาใกล้เคียงกัน หากซื้อมาแล้วพบว่าคุณภาพเสียงไม่เหมือนที่เราคาดไว้ก็อาจผิดหวังและเสียดายเงินอย่างรุนแรง 5. AirPods ออกแบบมาดีมาก ๆ ในแง่ของการใช้งาน Apple เป็นแบรนด์ทีชอบออกแบบสินค้าโดยใช้แม่เหล็กเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะในส่วนของบานพับ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเราสามารถเปิดปิด Mac ได้ด้วยมือเดียว (เครื่องไม่กระดกไปข้างหลัง) เช่นเดียวกับ AirPods เราสามารถเปิดฝาเคส AirPods ได้ด้วยมือเดียว และปิดได้ด้วยการสะบัดกล่อง (เพลินมาก นั่งเปิด ๆ ปิด ๆ เล่นได้) เมื่อพูดถึงกล่อง ก็ทำให้นึกถึงกล่องของหูฟัง EarPods ที่ Apple แถมมาให้ ที่คิดว่าคงมีน้อยคนนักที่ใช้ (หากไม่ได้เดินทางไกล) เพราะกว่าทุกคนคงจะขี้เกียจมาพันสายหูฟังเข้ากับกล่อง (แต่ปัญหานี้ไม่มีกะ AirPods แน่ ๆ) พอลองเอามาเทียบกันดูก็จะพบว่ากล่องของ AirPods นั้น เล็กกว่ากล่อง EarPods ซะอีก แต่ก็หนากว่าเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้หากใส่กระเป๋าเสื้อก็ไม่มีปัญหา หรือจะใส่ในกระเป๋ากางเกงก็ไม่ใช่เกินไปจนน่ารำคาญ หากใส่กล่อง AirPods ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แน่นอนว่ามันจะต้องไปข่วนกับพวกเหรียญหรือกุญแจต่าง ๆ แน่ ๆ แต่ก็ถือว่าถ้าดูแบบไม่สังเกตก็จะไม่เห็นรอย ยกเว้นจะเอาไปส่องกะไฟจริง ๆ ก็จะเห็นรอยที่เกิดจากการใส่ร่วมกับวัตถุอื่น ๆ สำหรับการดึง AirPods ออกมาจากกล่องก็ง่ายเช่นกัน แถมตอบใส่กลับเข้าไปก็ง่ายเข้าไปอีก! เพราะทุกอย่างออกแบบมาเป็นแม่เหล็ก เมื่อใช้งานเป็นประจำจนชิน สามารถหยิบ AirPods มาใส่หูจากเคสได้ภายใน 3 วินาทีด้วยซ้ำ! เมื่อเทียบกับการใช้หูฟังแบบมีสาย ที่ต้องค่อย ๆ หาในกระเป๋า ดึงขึ้นมาแล้วต้องมาแก้สายพันกัน กว่าจะได้ฟังก็ใช้เวลานาน แต่ข้อเสียของการออกแบบเป็นแม่เหล็กก็คือ สกปรกง่าย เพราะฝุ่นและเศษทรายต่าง ๆ ที่เป็นไอออน (มีประจุ) จะถูกดึงให้มาติดเป็นคราบได้ง่ายมาก เหมือนกับ MagSafe สิ่งที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ที่สุดของ AirPods นั้นดูเหมือนจะเป็นความสามารถในการ เรียก Siri ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่ว่าทีมงานคิดว่า Siri ยังไม่มีประโยชน์ซักเท่าไหร่ ในการใช้งานที่เป็นการควบคุมเช่น “เปลี่ยนเพลง”, “เล่นเพลงถัดไป” เราสามารถปิดฟีเจอร์นี้ได้ใน Settings ของ iPhone และเปลี่ยนการแตะสองครั้งเพื่อเรียก Siri เป็นการ หยุด/เล่น เพลงแทน ก็ได้ :: สรุปข้อดีและข้อเสีย :: AirPods เป็นหูฟังที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ “ใหม่มาก” ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณภาพเสียง แต่มันเกี่ยวข้องกับประสบการณ์การใช้งาน และการเชื่อมต่อ โดยเฉพาะ Apple W1 Chip (นอกจาก AirPods แล้ว Apple จะนำมาใช้กับ Beats รุ่นใหม่ ๆ) ที่ทำให้การเชื่อมต่อนั้นไหลลื่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Apple กลัวว่า AirPods จะมีปัญหาด้านการ Sync เสียงของหูฟังทั้ง 2 ข้างให้เล่นพร้อมและเท่ากัน แต่หลังจากที่ลองใช้ดูก็พบว่าทำงานได้ดีและไม่มีปัญหาอย่างที่คาดไว้ ข้อดี
ข้อเสีย
ตอนนี้ AirPods มีราคาอยู่ที่ 6,900 บาท ซึ่งเป็นราคากลางโดย Apple ใครที่อยากได้ต้องบอกว่าก็ยังหายากอยู่ดี หากอยากได้จริง ๆ อาจจะต้องอดทนและรอสั่งจาก Apple online โดยตรง จะได้แน่ ๆ แต่หากมีความพยายามก็สามารถไปเดินหาตาม Reseller สาขาใหญ่ ๆ ได้ หากโชคดีอาจจะมีหลงเหลือ แต่หากวู่วามขั้นสุดยอด ตอนนี้ที่ MBK เริ่มมีการหิ้วมาขาย (ราคาสูงกว่าเดิม ตั้งแต่ 9,000 จนหมื่นกว่าบาท) AirPod ต่อได้กี่เมตรด้านการเชื่อมต่อสำหรับคนใช้ Apple Family หูฟัง AirPods ให้การเชื่อมต่อที่ง่ายเหมือนกับการใช้ Apple Watch ระบบเชื่อมต่อของแอปเปิลเรียกได้ว่าอัจฉริยะและไม่พบเจอปัญหาระหว่างใช้งานแต่อย่างใด โดยระยะทำงานของบลูทูธก็เป็นไปตามมาตรฐานประมาณ 10 เมตร
AirPod กี่แอมป์AirPods (แต่ละข้าง): 16.5 x 18.0 x 40.5 มม. (0.65 x 0.71 x 1.59 นิ้ว) เคสชาร์จ: 44.3 x 21.3 x 53.5 มม. (1.74 x 0.84 x 2.11 นิ้ว)
AirPods 1 ใช้ได้กี่ชั่วโมงAirPods สามารถใช้ฟังได้นานสูงสุด 5 ชั่วโมง21 หรือใช้สนทนาได้นานสูงสุด 3 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากคุณชาร์จ AirPods ในเคสเป็นเวลา 15 นาที คุณจะสามารถใช้ฟังได้นานสูงสุด 3 ชั่วโมง23 หรือใช้สนทนาได้นานสูงสุด 2 ชั่วโมง
แอร์พอตคุยโทรศัพท์ได้ไหมโทรออกและรับสายด้วย AirPods (รุ่นที่ 2)
ปฏิบัติตามวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้: โทรออก: บน iPhone หรือ iPad (รุ่น Wi-Fi + Cellular) ให้พูดว่า “หวัดดี Siri” แล้วลองพูดว่า “โทรหาสมศรี เบอร์มือถือ” บน iPad ที่ไม่ได้ใช้เซลลูลาร์ ให้ลองพูดว่า “โทร FaceTime”
|