ภาษี e-Payment หรือ ภาษีอีเพย์เมนต์ ได้ประกาศบังคับใช้แล้วกับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะร้านขายออนไลน์ โดยสถาบันการเงินจะต้องส่งข้อมูลบัญชีที่เข้าเงื่อนไขให้กับกรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป เงื่อนไขของการส่งข้อมูล คือทุกบัญชีที่มีธุรกรรมภายในบัญชี ฝาก/รับโอนเงิน 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี หรือจำนวนครั้งการฝาก/รับโอนเงิน ตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไปต่อปี และมียอดรวมมากกว่า 2,000,000 บาทต่อปี เรามาทำความเข้าใจรายละเอียดกฎหมายอีเพย์เมนต์เพื่อเตรียมตัวรับมือกันค่ะ Show
สถาบันที่ต้องนำส่งข้อมูลบัญชีให้กรมสรรพากร
เงื่อนไขของการส่งข้อมูลบัญชีให้กรมสรรพากรสถาบันจะนับจำนวนธุรกรรมรวมกันทุกบัญชีที่เกิดขึ้นภายใน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. ของทุกปี นำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ตัวอย่างการนับธุรกรรมทางการเงินน้องพิมเพลิน มีบัญชีเงินฝากทั้งหมด 4 บัญชี ดังต่อไปนี้ บัญชี 001 มียอดรับโอนเงินทั้งปีจำนวน 2500 ครั้ง = ไม่ถูกนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร บัญชี 002 มียอดรับโอนเงินทั้งปีจำนวน 3500 ครั้ง = ถูกนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร บัญชี 003 มียอดรับโอนเงินทั้งปีจำนวน 365 ครั้ง รวมยอด 2,700,000 บาท = ไม่ถูกนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร บัญชี 004 มียอดรับโอนเงินทั้งปีจำนวน 450 ครั้ง รวมยอด 2,700,000 บาท = ถูกนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร รายการฝาก/รับโอนเข้าบัญชีแบบไหนบ้าง ?
กรมสรรพากรจะได้รับข้อมูลอะไรบ้างจากสถาบัน?
เริ่มบังคับใช้กฎหมายเมื่อไหร่?ประกาศกฎหมายเริ่มบังคับใช้เมื่อมกราคมปี 2562 และบังคับให้ส่งรายงานข้อมูลบัญชีที่มีธุรกรรมพิเศษให้แก่กรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคม ปี 2563 เป็นต้นไป และเริ่มใช้จริง โดยสถาบันไม่ต้องนำส่งข้อมูลบัญชีย้อนหลังให้กรมสรรพากร อัพเดทล่าสุด (10 ม.ค.2564) ปี 2563 เป็นต้นไป สถาบันจะส่งข้อมูลบัญชีที่เข้าเงื่อนไขให้กับกรมสรรพากร โดยการนับธุรกรรมฝากหรือรับโอนเงิน ทางธนาคารนับธุรกรรมแบบปีต่อปีตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. ของทุกปีค่ะ ข้อแนะนำสำหรับร้านค้าออนไลน์
ภาษีอีเพย์เมนต์ถูกบังคับใช้กับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะร้านค้าออนไลน์เท่านั้น จะดีกว่าไหมถ้าเราเตรียมพร้อมรับมือโดยจดทะเบียนร้านค้าออนไลน์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และหาตัวช่วยดีๆ เพื่อดูสถิติยอดขายรายเดือนหรือเลือกช่วงเวลาที่ต้องการได้ พร้อมทั้งบอกยอดรับโอนของแต่ละบัญชีได้ด้วย เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว :) ข่าวคราวเรื่องการเก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์ว่าทางกรมสรรพากรจะตรวจสอบข้อมูลบัญชีธนาคารซึ่งมีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็ได้มีการประกาศบังคับใช้จริงแล้ว โดยกฎหมายนี้มีชื่อว่ากฎหมาย ภาษีอีเพย์เมนต์ หรือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือการกำหนดให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ e-wallet ต้องรายงานข้อมูลผู้มีบัญชีธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากร ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล (ผู้ที่จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัท) ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยบัญชีธุรกรรมเฉพาะจะต้องมีเงื่อนไข ดังนี้
กรมสรรพากรจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง
ข้อมูลธุรกรรมเฉพาะที่กำหนดจะนับเฉพาะการฝากหรือรับโอนเงินเฉพาะขารับรวมกันทุกบัญชีใน 1 ปี ไม่รวมการโอนออกหรือถอนออก และไม่นับบัญชีต่างธนาคารกัน เช่น หากเปิดบัญชีธนาคาร A 5 บัญชี และธนาคาร B อีก 3 บัญชี แต่ละธนาคารก็จะนับเฉพาะยอดฝากหรือโอนเงินของธนาคารตัวเอง ไม่ไปนับยอดจากบัญชีอีกธนาคารหนึ่ง หากบัญชีของธนาคารไหนมีเงื่อนไขตรงตามที่กรมสรรพากรกำหนด ก็จะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร ซึ่งถ้าเจ้าของบัญชียังเสียภาษีไม่ถูกต้อง ก็มีหน้าที่ต้องมาเสียภาษีให้ถูกต้อง คนค้าขายออนไลน์ต้องเตรียมตัวอย่างไรกับ ภาษีอีเพย์เมนต์ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทุกคนมีหน้าที่ในการเสียภาษีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ซึ่งกฎหมาย ภาษีอีเพย์เมนต์ ไม่ได้ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องยื่นแบบเพื่อเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่หน่วยงานภาครัฐจะใช้ในการตรวจสอบข้อมูล ดังนั้นผู้ที่มีบัญชีตรง หรือไม่ตรงเงื่อนไข ก็ยังคงต้องเสียภาษีประจำปี และอาจจะมีการตรวจสอบข้อมูลในทางอื่นๆ ส่วนใครที่ยังไม่เคยเริ่มเสียภาษีอะไรใดๆ หรือไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็ต้องลองเริ่มจากการหัดทำบัญชีก่อน
สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์จะเริ่มมีการเก็บข้อมูลบัญชีตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป เพื่อรายงานแก่กรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคม ปี 2563 นี้ เพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำหนดให้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับการดำเนินการจัดเก็บภาษีตามลักษณะการทำธุรกรรมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน และมีการติดตามข้อมูลในการจัดเก็บภาษีอากรอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูล แม้จะเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียวก็สามารถทำงานใหญ่ได้ด้วยโปรแกรมบัญชี คลาวด์ ที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากในเว็บไซต์ และมือถือ ให้คุณสามารถเปิดบิลได้ครบ และบันทึกค่าใช้จ่ายระหว่างที่อยู่นอกออฟฟิศได้เลย
การทำเอกสารก็คือการทำบัญชีเบื้องต้น ซึ่งเรามีเอกสารที่ครอบคลุม ช่วยให้คุณเปิดเอกสารซื้อขายได้อย่างมืออาชีพ เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ ในระบบบัญชี
อยู่ที่ไหนก็บริหารค่าใช้จ่ายธุรกิจง่ายๆ ด้วยการถ่ายรูปบิลอัพโหลดลงโปรแกรมบัญชี ออนไลน์ ช่วยแยกค่าใช้จ่ายให้เป็นหมวดหมู่ ทำให้คุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น เพียงเท่านี้ก็มั่นใจได้แล้วว่า การบันทึกบัญชีมีความถูกต้องครบถ้วน ไม่เปิดช่องโหว่ให้ต้องแก้ไข หรือหาหลักฐานมาประกอบเมื่อเวลาผ่านไป เงินเข้าบัญชีกี่บาทถึงโดนตรวจสอบอ่านสั้นๆ : กฎหมายภาษีอีเพย์เมนต์ เริ่มบังคับใช้แล้ว มีผลให้สถาบันทางการเงินต้องรายงานข้อมูลบุคคลที่มีธุรกรรมเฉพาะให้แก่กรมสรรพากร โดยบัญชีจะต้องมีเงื่อนไขคือ มียอดฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป หรือมียอดฝากหรือโอนเงินทุกบัญชีตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินรวมตั้งแต่ 2,000,000 บาทต่อปีขึ้นไป
เงินเข้าบัญชีเท่าไรต้องเสียภาษี1. ทำธุรกรรมฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีเกิน 3,000 ครั้งต่อปีต่อธนาคาร (แยกแต่ละธนาคารนะคะ แต่รวมทุกบัญชีในธนาคารเดียวกันค่ะ) 2. ทำธุรกรรมฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีเกิน 400 ครั้งต่อปีต่อธนาคารและมียอดเงินรวมตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป
ยื่นภาษีเงินเข้าตอนไหนโดยกรมสรรพากรจะใช้เวลาดำเนินการตรวจสอบพิจารณาและคืนภาษีภายใน 3 เดือน หากการยื่นแบบฯ ภาษีนั้นมีเอกสารชัดเจนว่าได้มีการเสียภาษีไว้เกิน ผิด ซ้ำ หรือไม่มีหน้าที่ต้องเสีย นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอคืนเงินภาษีด้วยแบบ ภ.ง.ด.90/91 ที่แจ้งความประสงค์ขอคืนเงินภาษี หรือแบบ ค.10.
สรรพากรสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้กี่ปีอย่างไรก็ตาม กรมสรรพากร จะมีสิทธิตรวจสอบภาษีย้อนหลังได้ 2 ปี และถ้าพบความผิดปกติ หรือ เข้าข่ายว่าจะเลี่ยงภาษีมีสิทธิตรวจสอบย้อนหลังได้ 5 ปี และกรณีที่ผู้เสียภาษีเคยยื่นแบบภาษีจะสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ 10 ปี นอกจากนี้ กรมสรรพากร มีสิทธิเรียกดู รายการเดินบัญชี (Statement) ได้
|