“อาการบ้านหมุน” หรืออาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง เป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งกับสมาชิก ในครอบครัวของผู้อ่านหลายๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ รวมไปถึงญาติผู้ใหญ่ในวัยสูงอายุ สําหรับสาเหตุ ของอาการบ้านหมุนนั้น หลายท่านทราบแล้วว่าตนเองเป็นโรค “น้ําในหูไม่เท่ากัน แต่ก็ยังมี อีกหลายท่านที่ยังไม่เคยเข้ารับการตรวจวินิจฉัย จึงขออาสา พามาพูดคุยกับ ศ.พญ.เสาวรส ภทรภักดิ์ หัวหน้าฝ่ายโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ที่จะมาบอกเล่าให้เราเข้าใจโรคนี้ รวมถึงอัพเดทเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พร้อมวินิจฉัย และให้การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ Show ศ.พญ.เสาวรส กล่าวถึงการวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยที่มีความผิด ปกติของน้ําในหูชั้นในว่า แพทย์จะตรวจดูระบบสมดุลของร่างกาย ซึ่ง เป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของน้ําในหูชั้นใน เริ่มต้นจากการ ตรวจร่างกาย, ตรวจการได้ยิน (Audiometry) ตรวจประสาทการทรงตัว ผ่านการเคลื่อนไหวของลูกตาด้วยการใช้ Videonystagmography (VNG)การใช้ Rotatory Chair Test โดยให้ผู้ป่วยนั่งบนเก้าอี้หมุน เพื่อตรวจการทํางานของหูชั้นในจากการเคลื่อนไหวของลูกตา อีกทั้ง การตรวจวัดการทรงตัวด้วยเครื่อง Posturography และการตรวจแรงดันของน้ําในหูชั้นใน จากการวัดคลื่นหูชั้นใน (SP / AP Ratio) ด้วย Electrocochleography Test (ECOG) สําหรับวิธีการรักษาโรคเมเนียร์ หรือโรคน้ําในหูไม่เท่ากัน ศ.พญ.เสาวรส เล่าให้ฟังว่า การรักษาโรคนี้จะเริ่มจาก การรักษาตามอาการ ลดปัจจัยเสี่ยงตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และการใช้ยาซึ่งเป็นการรักษาโรค ที่เกิดขึ้นระยะแรก สําหรับผู้ป่วยในระยะที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ก็จะมีวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัด (Endolymphatic Sac Surgery) 1 เพื่อระบายน้ําในหูชั้นใน ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีนี้คือ สามารถควบคุม อาการเวียนศีรษะได้พร้อมกับการรักษาระดับการได้ยินได้ดีเช่นเดิม แต่ในผู้ป่วยบางรายก็ไม่สามารถรักษา ให้หายขาดได้ด้วยวิธีนี้ และการฉีดยาเข้าหูชั้นในผ่านทางแก้วหู (Intratympanic Injections) เพื่อควบคุมแรงดันน้ำ ซึ่งเป็นวิธีการรักษาแบบใหม่ในปัจจุบัน ทําได้ง่าย ได้ผลการรักษาค่อนข้างดี และได้รับความนิยมมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็อาจทําให้การได้ยิน เสื่อมลงจากเดิมบ้าง ซึ่งแพทย์ก็จะต้องพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ให้กับผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการต่างกัน ในแต่ละรายนั่นเอง อยู่ดีๆ ก็เกิดเวียนศีรษะ บ้านหมุน พอจะยืนก็ทรงตัวไม่อยู่จะล้มเสียให้ได้ หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด อาการเหล่านี้เป็นความผิดปกติของหูชั้นใน หรือที่รู้จักกันในโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของน้ำที่อยู่ภายในหูชั้นในนั่นก็คือ มีแรงดันของน้ำในหูมากเกินปกติ พบบ่อยในวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ถ้าทิ้งไว้ระดับการได้ยินอาจแย่ลงเรื่อยๆ ได้ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นอย่างไร?โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือโรคมีเนีย (Meniere’s disease) เป็นสาเหตุของโรคที่พบอันดับสองของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ ส่วนใหญ่มักเป็นกับหูเพียงข้างเดียว มีเพียง 15-20% ที่เป็นหูทั้งสองข้าง เกิดจากความผิดปกติของน้ำในหูชั้นใน ซึ่งปกติหูชั้นในจะมีน้ำในปริมาณที่พอดีกับการทำงานของเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน และมีการไหลเวียนถ่ายเทเป็นปกติ แต่เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น เช่น การดูดซึมของน้ำในหูไม่ดี ทำให้น้ำในหูชั้นในมีปริมาณมากกว่าปกติ ก็จะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ สูญเสียการได้ยิน รู้สึกถึงแรงดันภายในหู เป็นต้น สาเหตุโรคน้ำในหูไม่เท่ากันโรคนี้มีโอกาสเป็นได้ทุกเพศ และทุกวัย เพราะเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบมากในวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่มีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคได้ เช่น กรรมพันธุ์โดยมีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติแต่กำเนิด โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ หูน้ำหนวก ซิฟิลิส มีประวัติเคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ และโรคเบาหวาน ไทรอยด์ ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น อาการแบบไหนบ่งบอกน้ำในหูไม่เท่ากันโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัว และการได้ยิน ทำให้เซลล์ดังกล่าวทำงานผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการ ดังนี้
การตรวจและวินิจฉัยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันโดยปกติทั่วไป แพทย์จะทำการซักประวัติอาการ เช่น ลักษณะอาการเวียนศีรษะ ความรุนแรงของอาการ ระยะเวลาและความถี่ของอาการ อาการทางหูที่เกิดร่วมด้วย ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนก็จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัย ดังนี้
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันรักษาอย่างไร?การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการที่ตรวจพบ โดยมีทั้งการให้ยาบรรเทาอาการ และการผ่าตัดโดย
แม้ว่าโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยยา และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง รวมทั้งสามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต รวมไปถึงการดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อน ลดความเครียด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ชากาแฟ |