เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามหลักการของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น Show
เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม(Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์(Alternator) สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด เนื่องจากสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบ 1 เฟส โดยทั่วไปแล้วเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือส่วนที่เรียกว่า โรเตอร์(Rotor) ซึ่งจะมีขดลวดตัวนำฝังอยู่ในร่องรอบแกนโรเตอร์ที่ทำจากแผ่นเหล็กซิลิคอน(Silicon Steel Sheet) ขนาดหนาประมาณ 0.35-0.5 มิลลิเมตร นำมาอัดแน่นโดยระหว่างแผ่นเหล็กซิลิคอนจะมีฉนวนเคลือบ ทั้งนี้เพื่อลดการสูญเสียที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าไหลวน (Eddy Current) ภายในแกนเหล็กของโรเตอร์จะได้รับไฟฟ้ากระแสตรงจากเอ็กไซเตอร์(Excitor) เพื่อทำหน้าที่ในการสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น อีกส่วนหนึ่งของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าคือส่วนที่อยู่กับที่ เรียกว่า สเตเตอร์(Stator) ภายในร่องแกนสเตเตอร์ มีขดลวดซึ่งทำจากแผ่นเหล็กอัดแน่นเช่นเดียวกับโรเตอร์ฝังอยู่ อาศัยหลักการของการเคลื่อนที่ของแม่เหล็กผ่านลวดตัวนำ จะทำให้เกิดการเหนี่ยวนำแรงดันไฟฟ้าที่สเตเตอร์และนำแรงดันไฟฟ้านี้ไปใช้ต่อไป อุปกรณ์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ คือ เอ็กไซเตอร์อยู่แกนเดียวกับโรเตอร์ ทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้ากระแสตรงป้อนให้แก่โรเตอร์ (D.C. Exciting Current) เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นบนโรเตอร์ ชนิดของเอ็กไซเตอร์จะเป็นแบบไฟฟ้ากระแสตรง หรืออาจจะใช้แบบกระแสสลับ แล้วผ่านวงจรแปลงไฟฟ้าให้เป็นกระแสตรงก่อนป้อนเข้าสู่โรเตอร์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่มักจะใช้เอ็กไซเตอร์ชนิดหลังเป็นส่นมาก การควบคุมแรงดันไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สามารถกระทำได้โดยการปรับความเข้มของสนามแม่เหล็กที่โรเตอร์สร้างขึ้นด้วยการปรับกระแสไฟฟ้าตรงที่ป้อนให้กับโรเตอร์ ส่วนความถี่ของไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง คือ ความเร็วรอบที่โรเตอร์หมุน ยิ่งหมุนรอบมากความถี่ไฟฟ้าก็จะยิ่งสูง และจำนวนขั้วแม่เหล็กไฟฟ้าที่สร้างขึ้นบนโรเตอร์ ยิ่งมีขั้วมากเท่าไร ความถี่ไฟฟ้าก็จะมากขึ้นตาม ในปัจจุบันเครื่องกําเนิดไฟฟ้า ถือว่ามีความจําเป็นสําหรับสถานประกอบ การทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีกิจกรรมโดยอาศัยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก เพราะหากเมื่อใดที่พลังงานไฟฟ้าเมนหลักจากการไฟฟ้ามีปัญหา ไม่สามารถจ่าย กระแสไฟฟ้าได้ เครื่องกําเนิดไฟฟ้าจะสตาร์ทการทํางาน เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า สํารอง ไม่ให้การใช้ไฟฟ้ามีการขาดตอนและป้องกันความเสียหายให้กับระบบ การทํางานได้ หรือจําเป็นต้องใช้กระแสไฟฟ้าไปหล่อเลี้ยงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่สําคัญ เช่น โรงพยาบาล ชุมสายโทรศัพท์ หรือคลังน้ำมัน เป็นต้น ทั้งนี้ คงจะเป็นความเสียหายที่ไม่อาจจะรับได้ หากเกิดไฟดับในขณะที่ทีมแพทย์และ พยาบาลกําลังผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตคนไข้
เครื่องกําเนิดไฟฟ้า จึงถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนฉุกเฉินที่มีความสําคัญ เพื่อป้องกันความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นสําหรับสถานประกอบการต่างๆ ที่มีกิจกรรมมากมายที่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งได้รับการรับรองคุณภาพจากมาตรฐานของสถาบันชั้นนํา จําเป็นจะต้องมีแผนสํารองการใช้พลังงานไฟฟ้า โดย จะต้องติดตั้งเครื่องกําเนิดไฟฟ้าที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในยามที่ไฟฟ้าดับ และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังกิจกรรมที่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าเป็น หลักได้เพียงพอ เครื่องกําเนิดไฟฟ้า คืออะไรเครื่องกําเนิดไฟฟ้า คือ เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้สําหรับแปลงพลังงานกล เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยจะอาศัยหลักการทํางาน 2 รูปแบบด้วยกันคือ การเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเมื่อใดที่ตัวนําและสนามแม่เหล็ก (ขดลวดอาร์เมเจอร์และขดลวดแกนแม่ เหล็ก “แม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราว” หรือ “แร่ที่เป็นแม่เหล็กถาวรตามคุณสมบัติ”) มี การเคลื่อนที่สัมพัทธ์ หรือ Relative Motion ตามทิศทางที่ตัวนําเคลื่อนที่ติดกับ เส้นแรงแม่เหล็กหรือสนามแม่เหล็ก แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะถูกเหนี่ยวนําให้เกิดขึ้น กับตัวนํา โดยเครื่องกําเนิดไฟฟ้านั้น ขนาดหรือปริมาณแรงเคลื่อนเหนี่ยวนําที่เกิด ขึ้น ล้วนขึ้นอยู่กับความเข้มของสนามแม่เหล็กโดยตรง ซึ่งเป็นอัตราที่เส้นแรงแม่ เหล็กตัด เช่นนั้น หากเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเครื่องหนึ่ง มีสนามแม่เหล็กมีความเข้ม มากกว่า หรือมีจํานวนของเส้นแรงแม่เหล็กที่ตัดตามเวลาที่กําหนดที่ค่ามากกว่า ก็ แสดงว่าเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเครื่องนี้จะมีค่าแรงเคลื่อนเหนี่ยวนําที่มากกว่าเช่นกัน หลักการเบื้องต้นของการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า คือ ทิศทางหรือขั้วของแรง เคลื่อนที่เกิดขึ้น ทั้งนี้สามารถหาได้โดยใช้กฏมือขวาสําหรับเครื่องกําเนิดไฟฟ้า หรือกฎมือขวาของเฟรมมิ่ง ซึ่งแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในหลักการทํางานของ เครื่องกําเนิดไฟฟ้า มีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับกฎมือขวาของเฟรมมิ่ง โดยให้ กางมือขวาออก แต่จะต้องให้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง อยู่ในตําแหน่งที่ตั้ง ฉากซึ่งกันและกันทุกนิ้ว
การกําหนดขั้วแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เกิดขึ้นตามหลักวงจรการไหลของกระแสไฟฟ้า อิเล็กตรอนจะไหลจากขั้วลบไปยัง ขั้วบวกตามวงจร แต่ตัวเครื่องกําเนิดไฟฟ้าไม่ได้เป็นวงจรไฟฟ้า โดยเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเป็นแหล่งผลิตและแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า เครื่องกําเนิดไฟฟ้าจึงเป็นเพียง องค์ประกอบส่วนหนึ่งในวงจรไฟฟ้า เช่นนั้น ถ้าเครื่องกําเนิดไฟฟ้าถูกต่อให้ครบ วงจร กระแสอิเล็กตรอนที่ไหลอยู่ภายในตัวเครื่องกําเนิดไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวก ไปยังขั้วลบ ซึ่งสวนทางกันกับวงจรกระแสไฟฟ้าที่ไหลจากขั้วลบไปขั้วบวก เช่นนั้น จึงต้องมีการกําหนดขั้วให้กับเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเพื่อหาเหตุผลว่า กระแสอิเล็กตรอนที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นในเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเกิดประจุไฟฟ้า ที่ขั้วเอาต์พุตได้อย่างไร เพราะกระแสเหนี่ยวนําเป็นตัวทําให้อิเล็กตรอนไหลไป ในทิศทางที่เกิดการสะสม เพราะเหตุนี้ขั้วทั้งสองของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า จึงจะต้องกําหนดให้มีความสัมพัทธ์สอดคล้องกับประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อต่อโหลดเข้ากับเครื่องกําเนิดไฟฟ้าแล้ว กระแสอิเล็กตรอนที่ไหลผ่านโหลดจะไหลจาก ขั้วลบไปยังขั้วบวก ในขณะที่กระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวกไปยังขั้วลบ เพราะได้ มีการกําหนดให้กระแสไฟฟ้ามีทิศทางการไหลที่ตรงกันข้ามกับอิเล็กตรอน ชนิดของเครื่องกําเนิดไฟฟ้านับตั้งแต่ไมเคิล ฟาราเดย์ ค้นพบหลักการทํางานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า มาจนถึงปัจจุบันได้มีการคิดค้นพัฒนาต่อยอดเครื่องกําเนิดไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง แบบกําเนิดไฟฟ้าด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า และกําเนิดด้วยไฟฟ้าสถิต ซึ่งเครื่อง กำเนิดเนิดไฟฟ้าที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน จะมีเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง เครื่อง กำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ และไดนาโมที่สามารถกําเนิดทั้งไฟฟ้ากระแสตรงและ ไฟฟ้ากระแสสลับ
เครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง (DC Generators)เครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง คือ เครื่องกลที่ต้องรับพลังงานจาก ภายนอกเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยใช้หลักการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า เหนี่ยวนํา ซึ่งอาศัยหลักการใช้ตัวนําเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็ก ในรูปแ9แยก (Split Ring) หรือที่เรียกว่า คอมมิวเตเตอร์ (Commutator) เมื่อแรงเคลื่อน ไฟฟ้ากระแสสลับ ไหลมาถึงซีคอมมิวเตเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับนี้จะถูกเปลี่ยนใจ เป็นไฟฟ้ากระแสตรง และไหลออกสู่วงจรภายนอกโดยผ่านแปรงถ่าน (Brushes ทั้งนี้ เครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรงจะสามารถจําแนกชนิดตามลักษณะของการ จ่ายกระแสไฟฟ้า (กระตุ้นขดลวดสนามแม่เหล็ก) ให้กับขดลวดสนามแม่เหล็ก โดยจะมี 2 ลักษณะ 1. เครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรงชนิดกระตุ้นภายนอก Separately Excite DC. Generator (ใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นขดลวดสนามแม่เหล็ก จากแหล่งจ่ายภายนอก) เครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ (Ac Generator)เครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ คือ เครื่องกลที่ต้องรับพลังงานจากภายนอกเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยใช้หลักการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยว นำซึ่งอาศัยหลักการใช้ตัวนําเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็ก เช่นเดียวกับหลักการทํางานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง แต่กระแสสลับจะไม่มีคอมมิวเตอร์ (Commutator) และวงแหวนอื่น (Slip Ring) จะไม่แยกแต่จะมีลักษณะ 2 วง เมื่อขดลวดอาร์เมเจอร์หมุนตัว จะได้กระแสไฟฟ้าวิ่งกลับไปมาในวงจร (กระแสสลับ) โดยเมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับไหลมาถึงวงแหวนลื่น แรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับนี้ จะไหลออกสู่วงจรภายนอกโดยผ่านแปรงถ่าน โดยทั่วไปแล้วเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสสลับที่นิยมใช้กัน คือ เครื่องกําเนิด ไฟฟ้ากระแสสลับขนาดกลาง เช่น โรงพยาบาล อาคารสูงที่จะต้องใช้ลิฟต์ หรือ โรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทที่ไม่สามารถหยุดเครื่องจักรการผลิตได้ ซึ่ง ลักษณะทั่วไปของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ จะถูกออกแบบให้ขั้วแม่เหล็ก เป็นโรเตอร์ (Rotor) โดยโรเตอร์นี้จะถูกขับเคลื่อน (ส่วนที่เคลื่อนที่) ด้วยต้นกําลัง อย่าง เครื่องยนต์ดีเซล กังหันน้ํา กังหันลม หรือกังหันแก๊ส สําหรับส่วนที่อยู่กับ ที่ คือ ขดลวดอาร์เมเจอร์ที่สร้างแรงดันไฟฟ้า (กําเนิดไฟฟ้า) จะติดอยู่บนโครงซึ่ง เป็นส่วนที่อยู่กับที่ (ไม่เคลื่อนที่) หรือที่เรียกว่าสเตเตอร์ (Stator) ในเริ่มต้นของการศึกษาเรื่องหลักการทํางานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า เพียง จําไว้ว่าโรเตอร์ (Rotor) ของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า คือ ส่วนที่เคลื่อนที่ (ส่วนที่จะ ต้องหมุน) ส่วนสเตเตอร์ (Stator) คือ ส่วนที่อยู่กับที่ (ติดตั้งบนโครงเครื่อง หรือ Frame) อย่างที่เคยได้อธิบายรูปแบบการทํางานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้าไปแล้ว ว่า เครื่องกําเนิดไฟฟ้าจะอาศัยหลักการทํางาน 2 รูปแบบด้วยกันคือ 1) สนาม แม่เหล็กที่ตัดผ่านขดลวด “สนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดผ่านขดลวดซึ่งอยู่กับที่” และ 2) ขดลวดที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็ก “ขดลวดเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็ก” เช่นนั้น หากสนามแม่เหล็กเป็นส่วนที่หมุนเคลื่อนที่ นั่นหมายถึงโรเตอร์ แต่หาก สนามแม่เหล็กเป็นส่วนที่อยู่กับที่ติดกับโครงเครื่อง นั่นหมายถึงสเตเตอร์ และ สิ่งเหล่านี้คือข้อแตกต่างสําหรับเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง และเครื่องกําเนิด ไฟฟ้ากระแสสลับ โดยกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง ขดลวดอาร์เมเจอร์จะเป็นส่วนที่เคลื่อนที่ (โรเตอร์) และสนามแม่เหล็กจะเป็นส่วนที่อยู่กับที่ (สเตเตอร์) แต่สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ จะตรงกันข้ามกัน สนามแม่เหล็กเป็นโรเตอร์ ส่วนขดลวดอาร์เมเจอร์เป็นสตเตอร์ หรือเครื่องกำเนอดไฟฟ้าแบบขั้วแม่เหล็กหมุนนั่นเอง ขนาดเครื่องกําเนิดไฟฟ้าในปัจจุบันเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากลายเป็นที่นิยมสําหรับกิจกรรมด้าน การเกษตร โดยเครื่องกําเนิดไฟฟ้าจะมีชื่อเรียกกันจนติดปากอีกชื่อหนึ่งว่า “เครื่องปั่นไฟ” ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ความจําเป็นในการใช้เครื่องกําเนิดไฟฟ้า เช่น โรงพยาบาล คลังน้ำมัน อาคารสูงที่มีลิฟต์ หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความ จําเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าตลอดเวลา สถานประกอบการเหล่านี้ จะนิยมใช้เครื่องกําเนิดไฟฟ้าขนาดกลาง และในสถานที่อาจมีมากกว่า 1 เครื่อง เพื่อรองรับ การใช้พลังงานไฟฟ้าในยามที่กระแสไฟฟ้าเมนหลักดับ โดยเฉพาะกิจกรรมด้าน การเกษตร เครื่องกําเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กยังสามารถช่วยให้การทํางานในพื้นที่ที่ ไม่มีกระแสไฟฟ้า หรือไฟฟ้าเมนหลักเข้าไม่ถึง เช่น การสูบน้ำโดยใช้เครื่องปั้มน้ํา ไฟฟ้า หรือความต้องการในการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างแสงสว่าง ในพื้นที่กระแสไฟฟ้าเข้าไม่ถึง เป็นต้น โดยเครื่องกําเนิดไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดเล็ก (เครื่องปั่นไฟ) ส่วน ใหญ่จะได้พลังงานกลภายนอกจากเครื่องยนต์ ซึ่งจะต้องใช้น้ํามันเป็นเชื้อเพลิง ในการจุดระเบิดทํางาน เพื่อสร้างแรงหมุนส่งต่อไปยังเครื่องกําเนิดไฟฟ้า ทําให้ขดลวดเกิดการตัดผ่านสนามแม่เหล็ก จึงจะได้กระแสไฟฟ้าออกมาใช้งานตาม วัตถุประสงค์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สะดวกมาก สําหรับการทํางานในพื้นที่ที่ไม่มี กระแสไฟฟ้าใช้ เช่น สมมุติว่าเกษตรกรคนหนึ่งจําเป็นจะต้องสูบน้ำจากคลอง ชลประทานเข้าสู่พื้นที่การเกษตรของตนเอง “แต่เขาไม่มีเครื่องปั๊มน้ำแบบ เครื่องยนต์” แต่มีเครื่องปั้มน้ำไฟฟ้า เครื่องกําเนิดไฟฟ้า ขนาดเล็กเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก ( <1 kVA – 20 kVA) หรือเครื่องปั่นไฟที่เราเรียกกันจนติดปากจะมีขนาดกะทัดรัด “แต่ต้อง 2 คนหิ้ว” บางยี่ห้อใส่ล้อเลื่อนเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ถ้าใครนึกขนาดไม่ออก “ก็ขนาดพอๆ กับปั๊มลมตามร้านปะยางมอเตอร์ไซค์” เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กถือว่าได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่เคลื่อนย้ายง่าย และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าที่ไหนก็ได้ ขอเพียงมีน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก ยังมีทั้งแบบระบบกระไฟฟ้าเฟสเดียวและแบบ 3 เฟส โดยพลังงานกลภายนอกที่ได้จากเครื่องยนต์นั้น จะมีทั้งแบบใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ซึ่งก็แล้วเหมาะสมในการเลือกใช้งาน ทั้งนี้ จะขอแนะนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะ เป็นนิยมใช้งานในปัจจุบัน เผื่อว่าใครกำลังตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟสักเครื่องมาใช้งาน เครื่องกําเนิดไฟฟ้า Honda เครื่องยนต์ Honda ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับเอเชียมายาวนาน โดยเฉพาะ เครื่องยนต์เบนซินที่ทางค่ายได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เช่นนั้น จุดเด่นของ เครื่องกําเนิดไฟฟ้า Honda ก็คือ เครื่องยนต์ที่ทนทาน ทํางานได้ดีไม่ค่อยจะมี ปัญหา และอะไหล่ก็หาง่ายอีกด้วย เครื่องกําเนิดไฟฟ้าระบบ Inverter Honda เครื่องกําเนิดไฟฟ้าระบบ Inverter Honda ถือว่าเป็นจุดเด่นของเครื่อง กําเนิดไฟฟ้า เพราะได้มีการนําระบบอินเวอร์เตอร์รวมเข้าไปในระบบปั่นไฟ เช่น นั้น จึงสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ทั้งกระแสสลับ (AC) และกระแสตรง (DC) อีกทั้งยังสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างคงที่อีกด้วย โดยเครื่องกําเนิดไฟฟ้า ระบบ Inverter Honda จะมีหลายรุ่น แต่มี 2 รุ่น ที่รับความนิยม คือ เครื่องกําเนิดไฟฟ้า Ford เครื่องกําเนิดไฟฟ้า Kanto เครื่องกําเนิดไฟฟ้า Jupiter เครื่องกําเนิดไฟฟ้า ขนาดกลางเครื่องกําเนิดไฟฟ้าขนาดกลาง (50 kVA – 2500 kVA) ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องกําเนิดไฟ ไฟฟ้าระบบ 3 เฟส ให้แรงดันไฟฟ้า 220/380 โวลต์ โดยเครื่องกําเนิดไฟฟ้าขนาดกลางนี้ มักจะใช้เป็นเครื่องสํารองไฟ ประกอบการอย่างโรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร หรืออาคารสูงที่ต้องใช้ลิฟต์ และโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อระบบไฟฟ้าหลักของการไฟฟ้าเล ขัดข้อง ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าหลักได้ตามปกติ ทั้งนี้ เครื่องกําเนิดไฟฟ้าจะสา เดินเครื่องได้ด้วยมือ หรือระบบ Manual และเครื่องกําเนิดไฟฟ้ายังสามารถ รถเดินมาดตั้งแต่ 5-500 รองไฟกับสถาน 4 หรืออาคารสูงที่ กรไฟฟ้าเกิดการสามารถเครื่องทํางานได้แบบอัตโนมัติ โดยใช้ทรานส์เฟอร์สวิตช์อีกด้วย ซึ่งสวิตช์ชนิดนี้ ทําหน้าที่ถ่ายโอนระบบไฟฟ้าของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า และระบบการจ่ายไฟฟ้าของ การไฟฟ้าเข้ากับโหลด เครื่องกําเนิดไฟฟ้า ขนาดใหญ่เครื่องกําเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ (4000 kVA ขึ้นไป) ปกติแล้วเครื่องกําเนิดไฟฟ้าประเภทนี้จะ ใช้เป็นกําลังหลักในการผลิตไฟฟ้าของโรงผลิตไฟฟ้าต้นกําลัง เช่น โรงงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังน้ำ กังหันแก๊ส และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม โดยจะจ่ายแรงดันไฟฟ้าได้ประมาณ 20 KV ซึ่งจะเข้าสู่ระบบ สายส่งแรงสูงของการไฟฟ้า ของประเทศ หรือใช้ในการ ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเชื่อม ต่อเข้ากับระบบจําหน่าย 22 KV ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยตรง
การคํานวณเพื่อเลือกใช้เครื่องกําเนิดไฟฟ้าก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเครื่องกําเนิดไฟฟ้ามาใช้งาน เราจําเป็นจะต้อง พิจารณาถึงความต้องการในการใช้ไฟฟ้า เพื่อวางแผนการเลือกใช้ระบบสํารอง ไฟฟ้า เมื่อระบบไฟฟ้าหลักของการไฟฟ้าเกิดขัดข้อง เครื่องกําเนิดไฟฟ้าที่เลือก มาใช้งาน จะต้องมีขนาดที่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้า เช่น โรงพยาบาล แห่งหนึ่ง จําเป็นจะต้องมีระบบไฟฟ้าสํารอง เมื่อระบบไฟฟ้าหลักของการไฟฟ้าเกิดขัดข้อง คือ ระบบแสงสว่าง ระบบเตือนภัย และเครื่องมือแพทย์ที่จําเป็นจะต้องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดยเราจะต้องพิจารณาความต้องการใช้ไฟฟ้า เพื่อกําหนดคุณสมบัติของเครื่องกําเนิดไฟฟ้าให้ตรงกับความต้องการในการใช้งาน โดยปกติแล้ว คุณสมบัติของเครื่องกําเนิดไฟฟ้าที่ดี ควรจะมีชั่วโมงการใช้งานประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วแต่สมรรถนะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า เช่นนั้น จําเป็นต้องพิจารณาถึงความต้องการในการใช้งานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า เช่น นําไปใช้กับเครื่องเสียงกลางแจ้งอย่าง งานเปิดตัวสินค้า การแสดงคอนเสิร์ต หรือ อาจนําไปใช้เฉพาะระบบแสงสว่างและเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่กี่ชิ้น ในขนาดที่เหมาะสมกับหลอดไฟ 5 ดวง โทรทัศน์ พัดลม หม้อหุงข้าว อย่างละ 1 เครื่องได้ แต่การใช้กระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้านั้น จะต้องใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของกําลังไฟเครื่องกําเนิดไฟฟ้า แต่หากใช้งานเต็มประสิทธิภาพ 80 เปอร์เซ็นต์ จะส่งผลให้เกิดการชํารุด และอายุกการใช้งานสั่นลงอย่างรวดเร็ว คํานวณขนาด เครื่องกําเนิดไฟฟ้าการคํานวนขนาดเครื่องกําเนิดไฟฟ้า ก่อนอื่นจะต้องคํานวณหาปริมาณต้องการในการใช้ไฟฟ้าของเราก่อน โดยเราจะต้องนํากําลังไฟฟ้าที่ต้องการ จะต้องหมดมารวมกัน (คํานวณโหลด) เพื่อให้ได้ค่าปริมาณไฟฟ้าที่เราต้องการใช้ แต่หากมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเครื่องปรับอากาศด้วย เราอาจพิจารณาไม่อา โหลดตัวนี้เข้ามารวมในการคํานวณ เนื่องจากส่วนใหญ่หากกระแสไฟฟ้าหลักจาก การไฟฟ้าเกิดขัดข้อง (ไฟดับ) จะไม่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ เพราะกินไฟมาก หรือหากจําเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา เพราะต้องรักษาอุณหภูมิห้อง สามารถคํานวณวัตต์ตาม BTU ของเครื่องปรับอากาศได้ดังนี้ – 1BTU = 1055.056 จูล การอ่านแผ่นป้ายเครื่องกําเนิดไฟฟ้าในเครื่องกําเนิดไฟฟ้า จะมีแผ่นป้ายเพื่อแสดงคุณสมบัติต่างๆ ของเครื่อง กําเนิดไฟฟ้า หรือข้อมูลเฉพาะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้าแต่ละเครื่อง เพื่อให้ผู้ใช้ สามารถใช้งานติดตั้งได้อย่างถูกต้อง ให้เกิดการเหมาะสมกับพลังงานต้นกําลังซึ่ง อาจเป็นเครื่องยนต์ หรือกังหันแบบต่างๆ นอกจากนี้ในแผ่นป้ายยังมีการระบุราย ละเอียดของการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อจ่ายออกอีกด้วย อีกทั้งเครื่องกําเนิดไฟฟ้าบางยี่ห้อ ยังมีการบอกข้อมูลรายละเอียดเพิ่ม เติม เช่น มาตรฐานการป้องกัน ชั้นของฉนวน ลักษณะการติดตั้ง น้ําหนัก ปีที่ผลิต การใช้น้ํามันหล่อลื่น ขนาดของตลับลูกปืนหน้า-หลัง และจํานวนชั่วโมงของการ เปลี่ยนน้ํามันหล่อลื่นอีกด้วย หลักการทํางานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า คืออะไรมีหลักการทำงานโดยการอาศัยการหมุนของขั้วแม่เหล็กที่อยู่บนเพลา ซึ่งจะทำให้เส้นแรงแม่เหล็กตัดบริเวณขดลวดทองแดงที่ติดอยู่ตรงเปลือก ทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าบริเวณขดลวดทองแดงขึ้น
เครื่องกําเนิดไฟฟ้ามีหลักการทํางานอย่างไร ป.3คือเครื่องกลที่ใช้สร้างหรือผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการที่ว่า เมื่อขดลวดหมุนตัดเส้นแรงแม่เหล็กก็จะเกิดกระแสไฟฟ้าในขดลวด จึงต้องมี ตัวต้นกําลังเป็นตัวหมุนสนามแม่เหล็กให้ตัดกับขดลวด
เครื่องปั่นไฟทำอะไรได้บ้าง👉 จุดประสงค์หลักของเครื่องปั่นไฟ เพื่อการผลิตไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งเหมาะเป็นอย่างมากในการนำไปใช้กับพื้นที่ต่างจังหวัดที่ห่างไกล และมีปัญหาเรื่องของไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง แต่ถ้ามีเครื่องปั่นไฟ คนในพื้นที่นั้น ๆ จะสามารถใช้ไฟฟ้าได้ทันที แต่ในปัจจุบันนี้อาจจะได้เห็นการใช้งานเครื่องปั่นไฟน้อยลงแล้ว เพราะมีการสนับสนุนให้ติดตั้งโซ ...
ไดนาโมคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไรไดนาโม เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้า มีส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ ขดลวดที่พันอยู่รอบแกน เรียกว่า อาเมเจอร์ (armature) แม่เหล็ก 2 แท่ง หันขั้วต่างกันเข้าหากัน เพื่อให้เกิดสนามแม่เหล็กโดยจะมีเส้นแรงแม่เหล็กพุ่งจากขั้วเหนือไปยังขั้ว ใต้ และบริเวณขั้วจะมีความเข้มของสนามแม่เหล็กมากกว่าบริเวณอื่นๆ
|