ตัวอย่าง การบูร ณา การ วิชา สังคม กับวิชาอื่น

        กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะแบ่งเป็น 3 สาระการเรียนรู้ ดนตรี-นาฏศิลป์ และทัศนศิลป์ จะเห็นได้ว่าศิลปะทั้ง 3 สาระ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ เชื่อมโยง จนไม่สามารถที่จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปได้ นากศิลป์จึงมีความสมบูรณ์ หมายความว่า นาฏศิลป์ต้องเกี่ยวข้องกับทั้งสองสาระการเรียนรู้ คือ ดนตรี และทัศนศิลป์ [11] จึงจะเห็นสุนทรียภาพที่สวยงาม ฉาก แสงสี ที่ตระการตา เป็นเอกลักษณ์ของนาฏศิลป์ไทย

บทที่ 11 การบูรณาการเนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้

ความหมายการเรียนการสอนแบบบูรณาการ

                กระทรวงศึกษาธิการ  (2546:19)  อ้างถึงใน  พระเทพเวที,2531:24) ได้ให้ความหมายไว้ว่า  การบูรณาการ  หมายถึงการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงศาสตร์สาขาต่างๆ  ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน  เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่มีความหมาย  มีความหลากหลายและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

                สำนักงานประสานงานโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  (2540:6)  ได้ให้ความหมายไว้ว่า  การสอนแบบบูรณาการ  หมายถึงการเชื่อมโยงวิชาหนึ่งเข้ากับวิชาอื่นๆ  ในการสอน  เช่น  การเชื่อมโยงวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์และภาษาไทย  การเชื่อมโยงวิชาวิทยาศาตร์กับสังคมศึกษา  การเชื่อมโยงวิชาศิลปะกับภาษาไทย  เป็นต้น

                โศภนา  บุณยะกลัมพ  (2546:8)  ได้ให้ความหมายไว้ว่า  การสอนแบบบูรณาการ  หมายถึงการสอนซึ่งนำเอาสาระการเรียนรู้ต่างๆ  เข้ามาผสมผสานกันเพื่อประโยชน์แก่ผู้เรียน  โดยใช้สาระการเรียนรู้ใดสาระการเรียนรู้หนึ่งเป็นแกนหลักแล้วขยายวงกว้างขวางออกไป  เพื่อให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเกิดความสมบูรณ์ในตัวของเขาเอง

                นิรมล  ศตวุฒิ  (2547:74)  ได้ให้ความหมายไว้ว่า  การสอนแบบบูรณา  หมายถึงการจัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ในลักษณะองค์รวม(Holistic  Way)  ระหว่างวิชาต่างๆ  อย่างมีความหมายตามสภาพความเป็นจริงในชีวิตหรือสภาพปัญหาสังคมที่ซับซ้อน  จากที่กล่าวมาพอสรุปความหมาย การสอนแบบบูรณาการได้ว่า  เป็นการเชื่อมโยงวิชาหนึ่งเข้ากับวิชาอื่นๆ  ในการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ที่หลากหลาย  และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน 

เหตุผลที่สนับสนุนการเชื่อมโยงวิชาต่าง ๆ  เข้าด้วยกันในการสอนมีดังต่อไปนี้

1.  สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงไม่ได้จำกัดว่าจะเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่ง  โดยเฉพาะ  ตัวอย่าง  เช่น  การเกิดอุทกภัย ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวแต่ก่อให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง  เช่น  บ้านเรือนไร่นาเสียหาย  ธุรกิจหยุดชะงัก  โรงเรียนและสถานที่ต่าง ๆ ต้องหยุดงาน ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหลายประการ  ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ  เหล่านี้  เราจำเป็นจะต้องใช้ความรู้และทักษะจากหลาย ๆ สาขาวิชามาร่วมกันแก้ปัญหา  การเรียนรู้เนื้อหาวิชาต่างๆ  ในลักษณะเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน  จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชา  และความสัมพันธ์ของวิชาต่าง ๆ  เหล่านั้นกับวิชาจริง

                2.  การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะช่วยให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยง  ระหว่างความคิดรวบยอดในศาสตร์ต่าง ๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย  การเรียนการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์  ไม่จำเป็นว่าความคิดรวบยอดจะต้องแยกจากความคิดรวบรวมยอดในวิชาอื่น ๆ  ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์  ภาษา  หรือสังคมศึกษา  เนื้อหาและกระบวนการที่เรียนในวิชาหนึ่งอาจช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในวิชาอื่นดีขึ้นได้

                3.  การสอนที่สัมพันธ์เชื่อมโยงความคิดรวบยอดจากหลาย ๆ  สาขาวิชาเข้าด้วยกันมีประโยชน์หลายอย่าง  ที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้เกิดการถ่ายโอนความรู้  (Transf  of  learning) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนเข้ากับชีวิตจริงได้และในทางกลับกันก็จะสามารถเชื่อมโยงเรื่องของชีวิตจริงภายนอกห้องเรียนเข้ากับสิ่งที่เรียนได้  ทำให้นักเรียนเข้าใจว่า  สิ่งที่ตนเรียนมีประโยชน์หรือนำไปใช้จริงได้

                4.  หลักสูตรและการเรียนการสอนแบบบูรณาการมีประโยชน์ในการขจัดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาต่าง ๆ  ในหลักสูตร  ในปัจจุบันเราประสบปัญหาในเรื่องที่ความรู้และข้อมูลต่าง ๆ  เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมีเรื่องที่จำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นจำนวนมากมายในแต่ละปีการเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและรวดเร็วของความรู้และข้อมูลต่าง ๆ  นี้  ทำให้การเรียนแบบสัมพันธ์วิชามีความสำคัญมากกว่า  ที่ต่างวิชาต่างเพิ่มเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตรของตน

                5.  การเรียนการสอนแบบบูรณาการสามารถตอบสนองต่อความสามารถของผู้เรียนซึ่งมีหลายด้าน  เช่น  ภาษา  คณิตศาสตร์  การมองพื้นที่  ความคล่องของร่างกาย  และความเคลื่อนไหวดนตรี  สังคมหรือมนุษย์สัมพันธ์และความรู้และความเข้าใจตนเอง  ซึ่งรวมเรียกว่า  “พหุปัญญา”  (Multiple  Intelligences)  และสนองตอบต่อความสามารถที่จะแสดงออกและตอบสนองทางอารมณ์  (Emotional Intelligence) 

                6.  กระบวนการเรียนการสอนที่ใช้ในหลักสูตรแบบบูรณาการสอดคล้องกับทฤษฎีการสร้างความรู้โดยผู้เรียน (Constructivism)  ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการศึกษาขณะนี้

ประเภทของการสอนแบบบูรณาการ 

การสอนแบบบูรณาการมี  2  แบบ  คือ 

1.   การบูรณาการภายในกลุ่มวิชาหรือสาขาวิชาเดียวกัน  โดยกำหนดหัวเรื่อง (Theme)  ขึ้น  แล้วบูรณาการขอบข่ายวิชาต่างๆ ในการสอนตามหัวเรื่องนั้น            

2.   การบูรณาการระหว่างวิชา  เป็นการเชื่อมโยงหรือรวมศาสตร์ต่าง ๆ  ตั้งแต่  2  สาขาวิชา

ขึ้นไป  ภายใต้หัวเรื่อง  (Theme)  เดียวกัน  เป็นการเรียนรู้โดยใช้ความรู้เข้าใจและทักษะในศาสตร์หรือความรู้ในวิชาต่าง ๆ  มากกว่า  1 วิชาขึ้นไป  เพื่อการแก้ปัญหา  หรือ  แสวงหาความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  การเชื่อมโยงความรู้และทักษะระหว่างวิชาต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง  ไม่ใช่เพียง ผิวเผิน  และมีลักษณะใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากขึ้น

                การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการระหว่างวิชา  จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในลักษณะองค์รวม  ไม่ว่าวิชาใดก็จะสามารถจะใช้วิธีบูรณาการได้ทั้งสิ้น  ข้อสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการบูรณาการที่ดี  การเรียนการสอนแบบบูรณาการระหว่างวิชาจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ  ที่อยู่รอบตัวได้ 

                การสอนแบบบูรณาการทั้งสองแบบมีหลักการเช่นเดียวกัน  กล่าวคือมีการกำหนดหัวเรื่องที่เชื่อมโยงความคิดรวบยอดต่าง ๆ  มีการวางแผนการจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ  ที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและลงมือปฏิบัติ 

รูปแบบของการบูรณาการ  (Models  of  Integration)

 รูปแบบของการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการมี  4  รูปแบบ  คือ

  1.  การสอนบูรณาการแบบสอดแทรก  (Infusion  Instruction) การสอนรูปแบบนี้ครูผู้สอนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนื้อหาของวิชาอื่น ๆ  เข้าไปในการสอนของตน  เป็นการวางแผนการสอนและสอนโดยครูเพียงคนเดียว

2.  การสอนบูรณาการแบบขนาน  (Parallel  Instruction) การสอนตามรูปแบบนี้  ครูตั้งแต่  2  คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน  ต่างคนต่างสอนแต่ต้องวางแผนการสอนร่วมกันโดยมุ่งสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกัน (Theme/concept/problem)  ระบุสิ่งที่ร่วมกันและตัดสินในร่วมกันว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหานั้นๆ  อย่างไรในวิชาของแต่ละคน  งานหรือการบ้านที่มอบหมายให้นักเรียนทำจะแตกต่างกันไปในแต่ละวิชา แต่ทั้งหมดจะต้องมีหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกัน

 3.  การสอนบูรณาการแบบสหวิทยาการ  (Multidisciplinary  Instruction) การสอนตามรูปแบบนี้คล้าย ๆ  กับการสอนบูรณาการแบบขนาน (Parallel  Instruction)  กล่าวคือครูตั้งแต่  2  คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน  มุ่งสอนหัวเรื่อง  ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกันต่างคนต่างแยกกันสอนเป็นส่วนใหญ่  แต่มีการมอบหมายงาน  หรือโครงการ (Project)  ร่วมกัน  ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสาขาวิชาต่าง ๆ  เข้าด้วยกัน  ครูทุกคนจะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อที่จะระบุว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหานั้น ๆ  ในแต่ละวิชาอย่างไร  และวางแผนสร้างโครงการร่วมกัน(หรือกำหนดงานจะมอบหมายให้นักเรียนทำร่วมกัน)  และกำหนดว่าจะแบ่งโครงการนั้นออกเป็นโครงการย่อย ๆ  ให้นักเรียนปฏิบัติแต่ละรายวิชาอย่างไร อนึ่ง  พึงเข้าใจว่าคำว่า  “โครงการ”  นี้มีความหมายเดียวกันกับคำว่า  “โครงงาน”  มาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกันคือ  “Project” หลายท่านอาจคุ้นกับคำว่า  โครงงาน มากกว่า  เช่น  “โครงงานวิทยาศาสตร์”  ซึ่งก็อาจเรียกว่า   “โครงการวิทยาศาสตร์”  ได้เช่นเดียวกัน

4.  การสอนบูรณาการแบบข้ามวิชาหรือเป็นคณะ  (Transdisciplinary  Instrction) การสอนตามรูปแบบนี้ครูที่สอนวิชาต่าง ๆ  จะร่วมกันสอนเป็นคณะหรือเป็นทีม  ร่วมกันวางแผน  ปรึกษาหารือ  และกำหนดหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกัน  แล้วร่วมกันดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มเดียวกัน

การสร้างบทเรียนแบบบูรณาการ  

การสร้างบทเรียนแบบบูรณาการมี  2  ลักษณะคือ  การสอนบูรณาการตามรูปแบบที่  1  และ  2  และการสอนบูรณาการตามรูปแบบที่  3  และ  4  

การสอนตามรูปแบบที่  1  (Infusion  Instruction)  และรูปแบบที่  2  (Parallel  Instruction)  มี  2  วิธีคือ 

                วิธีที่หนึ่ง  เลือกหัวเรื่อง (Theme)  ก่อนแล้วดำเนินการพัฒนาหัวเรื่องให้สมบูรณ์  มีกำหนดวัตถุประสงค์ของกิจกรรมให้ชัดเจน  กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่จะใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ  ตามลำดับ

                วิธีที่สอง  เลือกจุดประสงค์รายวิชาจาก  2  รายวิชาขึ้นไปก่อน  แล้วนำมาสร้างเป็นหัวเรื่อง  (Theme)  ที่ร่วมกันระหว่างจุดประสงค์ที่เลือกไว้กำหนดแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่ใช้ในการค้นคว้าและเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนและอื่นๆ  ตามลำดับ

                มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

                วิธีที่หนึ่ง  เลือกหัวเรื่องก่อน

                ขั้นที่  1  เลือกหัวเรื่อง  (Theme)  โดยวิธีต่อไปนี้

1.       ระดมสมองของครูและนักเรียน

2.       เน้นที่การสอดคล้องกับชีวิตจริง

3.       ศึกษาเอกสารต่างๆ

4.       ทำหัวเรื่องให้แคบลงโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงความสะดวกในการเชื่อมโยงระหว่างวิชาความรู้  และความสนใจของนักเรียน

                ขั้นที่  2  พัฒนาหัวเรื่อง  (Theme)  ดังนี้

1.       เขียนวัตถุประสงค์โดยกำหนดความรู้และความสามารถที่ต้องการ  จะให้เกิดแก่ผู้เรียน  เขียนวัตถุประสงค์ในลักษณะที่จะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างวิชา  กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนเพื่อนำไปสู่กิจกรรม

2.       กำหนดเวลาในการสอนให้เหมาะสมกับกำหนดเวลาต่างๆ  ตามปฏิทินของโรงเรียน  เช่น  จำสอนเมื่อใด  ใช้เวลาเท่าไร  ยืดหยุ่นได้หรือไม่  ต้องใช้เวลาออกสำรวจหรือทำกิจกรรมนอกห้องเรียนหรือไม่  ฯลฯ

3.       จองเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการกระทำกิจกรรม

            ขั้นที่  3  ระบุทรัพยากรที่ต้องการ  ควรคำนึงถึงทรัพยากรที่หาได้ง่าย  แล้วติดต่อแหล่ง                                    ทรัพยากร

                ขั้นที่  4  พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน  ดังนี้

1.       พัฒนากิจกรรมที่ช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงกับเนื้อหาวิชาอื่น

2.       ตั้งจุดมุ่งหมายของกิจกรรมให้ชัดเจน

3.       เลือกวิธีที่ครูวิชาต่างๆ  จะทำงานร่วมกันเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างวิชา

4.       เลือกวิธีการสอนที่จะใช้

5.       สร้างเอกสารแนะนำการปฏิบัติกิจกรรม

6.       สิ่งที่ครูควรจะต้องเตรียมล่วงหน้าอาจประกอบด้วยสิงต่อไปนี้

-          ใบความรู้

-          ใบงาน

-          แบบบันทึก (ซึ่งอาจเป็นแบบที่ครูออกแบบให้เลย  หรืออาจเป็นแบบบันทึกที่นักเรียนจะต้องช่วยกันออกแบบก็ได้)

-          สื่อและอุปกรณ์อื่นๆ

-          แบบประเมิน

-          ฯลฯ

                ขั้นที่  5  ดำเนินการตามกิจกรรมการเรียนการสอนที่เตรียมไว้โดย

-          พยายามปฏิบัติตามแผนที่วางไว้  แต่อาจปรับกิจกรรมตามความสนใจของนักเรียน

-          ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตลอดหน่วยการเรียน

-          ร่วมมือกับครูคนอื่น  มีการพบกันเป็นระยะเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า

                ขั้นที่  6  ประเมินความก้าวหน้าของนักเรียน โดยครูควรกระทำตลอดเวลาเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงงานครูอาจให้นักเรียนประเมินผลตนเองก็ได้ครูควรใช้วิธี ประเมินผลที่หลากหลายและให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง เช่น สังเกต วิธีการและขั้นตอนในการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตรวจผลงาน  ทอสอบ ประเมินจากการนำเสนอรายงานหรือผลงานของนักเรียน  ประเมินจากการแสดง นิทรรศการของนักเรียน  การสัมภาษณ์นักเรียน ฯลฯ

                ขั้นที่  7  ประเมินกิจกรรมการเรียนการสอน โดยครูสำรวจจุดเด่น-จุดด้อย  ของกิจกรรม แล้วบันทึกไว้เพื่อนำไปปรับปรุง

                ขั้นที่  8  แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูด้วยกันเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากิจกรรม  ในครั้งต่อๆไป

  วิธีที่สอง  เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อน

                ขั้นที่  1  เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้จาก  2  รายวิชาขึ้นไปที่จะนำมาบูรณาการกันโดย จะต้องพิจารณาว่าจุดประสงค์นั้น ๆ  เกี่ยวข้องกันหรือไม่  และเกี่ยวข้องกันอย่างไร  ถ้าหากมีความสัมพันธ์เกี่ยวกันหรือไปด้วยกันได้ จึงนำมาบูรณาการกัน

                ขั้นที่  2  นำจุดประสงค์ดังกล่าวในขั้นตอนที่  1  มาสร้างเป็นหัวเรื่อง (Theme)  ที่ร่วมกันระหว่างจุดประสงค์ที่เลือกไว้

                ขั้นที่  3  ระบุทรัพยากรที่ต้องการ

                ขั้นที่  4  พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน

                ขั้นที่  5  ดำเนินการตามกิจกรรมการเรียนการสอนที่เตรียมไว้

                ขั้นที่  6  ประเมินความก้าวหน้าของนักเรียน

                ขั้นที่  7  ประเมินกิจกรรมการเรียนการสอน

                ขั้นที่  8  แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูด้วย 

รายละเอียดของกิจกรรมในขั้นตอนต่างๆ  มีรายละเอียดคล้ายคลึงกับวิธีที่หนึ่ง  ต่างแต่   การสลับลำดับขั้นเท่านั้น

สำหรับการสอนบูรณาการตามรูปแบบที่  3  (Multidisciplinary  Instruction)  และรูปแบบที่  4  (Transdisciplinary Instruction)  นั้น  เน้นที่งานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหามากกว่า  1  สาขาวิชาขึ้นไปที่จะให้นักเรียนปฏิบัติหรือศึกษา ดังนั้นวิธีการสร้างบทเรียนแบบบูรณาการในขั้นที่  4  “การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน”  จึงเป็นการกำหนดงานหรือโครงการ  (Project)  ที่จะให้นักเรียนทำ  ทั้งนี้เพราะการสร้างงานหรือโครงการเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการสร้างบทเรียนแบบบูรณาการเพราะสามารถเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลายๆ  สาขาวิชาได้