ในปี 2564 หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง สร้างผลตอบแทนด้านราคาได้สูง ทุกบริษัทจากอานิสงส์ภาคการผลิตกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ยานยนต์ไฟฟ้า แต่ในปี 2565 หุ้นกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ผ่านไปกว่า 100 วันแล้ว ทำให้ราคาหุ้นย่อตัวลงไปอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมของหุ้นกลุ่มนี้มีผลตอบแทนด้านราคาตั้งแต่ต้นปี 2565 ยังคงติดลบทุกบริษัท
ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวมข้อมูล 9 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) โดยเรียงลำดับจากผลตอบแทนด้านราคาติดลบมากสุดไปหาน้อยสุด ขยายตัวร้อยละ 6.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากอานิสงส์ของฐานต่ำในปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดค่อนข้าง รุนแรง รวมถึงในปีนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศยังคงทยอยปรับตัวดีขึ้น เมื่อพิจารณาข้อมูล MPI ย้อนหลัง 3 เดือน เทียบกับปีก่อน (%YoY) เดือนเมษายน 2565 การผลิตหดตัว เล็กน้อยร้อยละ 0.03 เดือนพฤษภาคม หดตัวร้อยละ 2.0 และเดือนมิถุนายน หดตัวร้อยละ 0.2 สำหรับ 3 เดือนที่ผ่านมา เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน 2565 ดัชนีผลผลิต อุตสาหกรรมหรือ MPI (%MoM) มีอัตราการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ กล่าวคือ ในเดือนเมษายน หดตัวร้อยละ 17.0 เดือน พฤษภาคม ขยายตัวร้อยละ 7.6 และเดือนมิถุนายน หดตัวร้อยละ 0.3 อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนกรกฎาคม 2565 ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ ? ยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ 23.44 ตามการขยายตัวของทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก รวมถึงผลจาก ฐานต่ำในปีก่อนที่โควิดกลับมาระบาดรุนแรง ? การกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวร้อยละ 12.66 ผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ กิจกรรม การขนส่งเดินทางกลับสู่ภาวะปกติหลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงฐานต่ำในปีก่อนที่การระบาดรุนแรงจนภาครัฐต้องออกมาตรการล็อกดาวน์บางพื้นที่ ทำให้ความต้องการใช้ น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ? ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ขยายตัวร้อยละ 23.19 จากความต้องการใช้ที่เติบโตขึ้น โรงงานสามารถทำการ ผลิตและส่งมอบได้ตามปกติ ในขณะที่ปีก่อนมีระบาดรุนแรงในประเทศ พบการระบาดในแคมป์คนงานก่อสร้างและ ในกลุ่มแรงงานในโรงงาน ทำให้การผลิตและการส่งสินค้าไม่สามารถดำเนินการได้เป็นปกติ ? ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวร้อยละ 10.39 ตามความต้องการของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โลก ? เครื่องปรับอากาศ และชิ้นส่วน ขยายตัวร้อยละ 23.4 ผลจากฐานต่ำในปีก่อน ที่มีการการระบาด ในวงกว้างส่งผลให้มีพนักงานติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้การผลิตทำได้ไม่เต็มที่ รวมถึงในปีนี้มีการเร่งผลิตรองรับ การส่งออกที่เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ในหลายประเทศ Indicators 2564 2565 %MoM ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. MPI -8.3 -3.6 9.3 2.9 3.3 1.5 2.1 -2.6 8.1 -17.0 7.6 -0.3 -2.3 2 ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม 2565 เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่นๆ เดือนกรกฎาคม 2565 3 ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม 2565 เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ เดือนกรกฎาคม 2565 ? การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ การนำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ ในเดือนกรกฎาคม 2565 มีมูลค่า 1,393.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยหดตัวในตลาดจีนและญี่ปุ่นเป็นหลัก จากเครื่องจักรและอุปกรณ์ใช้ในการแปรรูปยาง หรือพลาสติก เครื่องกังหันไอพ่นและส่วนประกอบ เครื่องจักรสิ่งทอ เครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว และฐานหุ่น แบบหล่อ การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนกรกฎาคม 2565 มีมูลค่า 10,568.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 13.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 จากอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผงวงจรไฟฟ้า ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้จึงมีเพียงบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยและบริษัทที่ร่วมทุนกับต่างชาติ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ทำธุรกิจในลักษณะรับจ้างประกอบและมักประกอบธุรกิจรับเหมาช่วง (Subcontractors) จากผู้ประกอบการต่างชาติรายใหญ่ ทำให้แรงงานขาดการพัฒนาฝีมือ และการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่สูงนัก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่ม IC PCB Diodes และ Transistors นอกจากนี้ ในยุคที่โลกเข้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรวดเร็ว สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปัจจุบันอาจไม่สอดคล้องกับประเภทสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเติบโตดีในห่วงโซ่การผลิตของโลก (Global supply chain) อาทิ Solid State Drive (SSD)[2] รวมถึง IC และ PCB บางประเภท ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิต Notebook Smartphone และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กอื่นๆ (Electronic gadgets) ยิ่งไปกว่านั้น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมสนับสนุนที่ล่าช้า ประกอบกับค่าจ้างแรงงานไทยที่อยู่ในระดับสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ไทยเริ่มสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ จีน เวียดนาม และมาเลเซีย ปี 2563 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยมีผู้ผลิตจำนวนทั้งสิ้น 615 ราย (ภาพที่ 1) ประกอบด้วย (1) ผู้ผลิตรายใหญ่ (สัดส่วน 31% ของจำนวนผู้ผลิตทั้งหมด) ส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติและบริษัทร่วมทุนที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเงินทุน อาทิ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โตชิบา เซมิคอนดัคเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท แคนนอน ไฮ-เทค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ อาทิ บริษัท เคซีอี อินเตอร์เนชันแนล จำกัด บริษัท ธานินทร์ เอลน่า จำกัด บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) (ตารางที่ 1) ทั้งนี้ ผู้ผลิตรายใหญ่ในไทยส่วนใหญ่ผลิต IC ชิ้นส่วนประกอบ HDD/ Diodes/ Transistors อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor) Resistor และ PCB Assembly (2) ผู้ผลิตรายกลางและเล็ก (สัดส่วน 69%) มีข้อจำกัดด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และมีอำนาจต่อรองค่อนข้างต่ำทั้งกับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และผู้ผลิตวัตถุดิบ ส่วนใหญ่ผลิต PCB Assembly ตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor) Resistor ชิ้นส่วน Printer ชิ้นส่วนประกอบ HDD สายสัญญาณ เคเบิ้ล อุปกรณ์และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำหรับโทรศัพท์ ฯลฯ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก มีสัดส่วน 90-95% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด โดยเป็นการส่งออก HDD สัดส่วน 29.3% ของมูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด (ข้อมูลปี 2563) รองลงมาได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบอื่นๆ 21.9% IC 19.6% อุปกรณ์กึ่งตัวนำ Transistors และ Diodes 7.0% PCB 3.6% และอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ 18.7% (ภาพที่ 2) ด้านตลาดส่งออกสำคัญของไทยได้แก่ สหรัฐอเมริกา (27.6% ของมูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของไทย) ฮ่องกง (15.3%) อาเซียน (14.4%) สหภาพยุโรป (12.9%) จีน (10.5%) และญี่ปุ่น (8.7%) (ภาพที่ 3) สำหรับการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ มีสัดส่วน 5-10% นำไปประกอบกับชิ้นส่วนอื่นและนำไปผลิตต่อเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย เช่น อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ในรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและสำนักงาน เครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นต้น
จากการศึกษาสถานะการแข่งขันในตลาดโลกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยปี 2562 พบว่ามูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกค่อนข้างน้อยและเติบโตลดลง เนื่องจากการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ในไทยส่วนใหญ่เป็นเพียงการรับจ้างประกอบ หรือรับเหมาช่วง (Subcontractors) ให้กับบริษัทในต่างประเทศจากข้อจำกัดที่ยังขาดเทคโนโลยีต้นน้ำซึ่งต้องลงทุนสูงในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยผู้ผลิตในไทยที่มีการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีของตนเองมีเพียงผู้ผลิตต่างชาติรายใหญ่ไม่กี่รายที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในตลาดโลก ทำให้การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ของไทยโดยรวมยังปรับตัวได้ค่อนข้างช้าไม่ทันกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว [สินค้าอิเล็กทรอนิกส์มักมีวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Product life cycle) ที่ค่อนข้างสั้น และต้องมีการผลิตแบบ Mass production เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน] ฐานะการแข่งขันในตลาดโลกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยที่ลดลง ทำให้มีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติจะย้ายฐานการผลิตได้ง่าย (ภาพที่ 5) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์แต่ละประเภทที่ผลิตในไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปยังตลาดโลกแตกต่างกัน (ตารางที่ 2) โดยประเภทสินค้าที่สำคัญและมีมูลค่าส่งออกสูงสุด คือ HDD และ IC (สัดส่วนรวมกันคิดเป็น 50% ของมูลค่าส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของไทย) โดยเฉพาะ HDD ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ของโลก จากการย้ายฐานของบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ของไทยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้โครงสร้างการผลิตของไทยเปลี่ยนจากส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำอย่างคีย์บอร์ด และจอภาพ มาเป็น HDD ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีและทักษะแรงงานที่สูงขึ้น ขณะที่การผลิต IC ของไทย แม้ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้ามาลงทุนผลิตเพื่อส่งออกของบริษัทต่างชาติ แต่ยังปรับตัวได้ช้าอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้ อุตสาหกรรม HDD และ IC ของไทยมีลักษณะความแตกต่างเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ดังนี้
อุตสาหกรรมแผงวงจรไฟฟ้า (Integrated Circuit: IC)
สถานการณ์ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยเน้นการส่งออกเป็นหลัก โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ ช่วงปี 2554-2562 มูลค่าส่งออก HDD และ IC ของไทยเติบโตเฉลี่ย 10.9% ต่อปี (CAGR) และหดตัว 0.5% ต่อปี (CAGR) ตามลำดับ
แนวโน้มอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปี 2564-2566 คาดว่าจะกลับมาขยายตัว ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก (IMF คาดเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 5.5% ในปี 2564 และ 4.2% ในปี 2565) ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ และความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีน COVID-19 ซึ่งทยอยฉีดให้กับประชาชนไปแล้วในหลายประเทศทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 2563 น่าจะช่วยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลงโดยลำดับ ประกอบกับ สต็อกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในระดับต่ำจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วง Lockdown ของหลายประเทศ ส่งผลให้มีการกลับมาผลิตเพื่อสะสมสต็อกมากขึ้น สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรม HDD และ IC ของไทยมีรายละเอียดดังนี้
Box 1
ปัญหาขาดแคลนแผงวงจรไฟฟ้าคาดว่าจะค่อยๆ คลี่คลายลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 จากการเร่งลงทุนและขยายกำลังการผลิตของประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี ปัญหาขาดแคลนแผงวงจรไฟฟ้า (IC) หรือ Chips ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2563 ซึ่งเป็นผลของอุปสงค์ในตลาดโลกที่เร่งตัวจาก (1) ความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องสื่อสารทางไกลจากการทำงานและเรียนที่บ้าน ท่ามกลางมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing) จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และ (2) การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับเทคโนโลยี 5G และยานยนต์อัจฉริยะ ทำให้ความต้องการ IC เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ยังมีข้อจำกัดด้านอุปทานจาก (1) การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต IC ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลาในการสร้างโรงงานใหม่/ขยายกำลังการผลิต ซึ่งมีกระบวนการที่ซับซ้อนต้องอาศัยความชำนาญและเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่การสกัดซิลิกอน ไปจนถึงขั้นตอนการผลิตเวเฟอร์และผลิตเซมิคอนดักเตอร์ประเภทต่างๆ (2) ผู้ผลิตที่มีศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีและต้นทุนการผลิตยังมีจำนวนไม่มากนัก โดยกระจุกตัวอยู่กับผู้ผลิตรายใหญ่เพียง 2 ราย ได้แก่ Taiwan Semiconductor Manufacturing (TSMC) สัญชาติไต้หวัน ส่วนแบ่งตลาด 54% ของมูลค่าตลาด IC โลก และ GLOBAL FOUNDRIES สัญชาติสหรัฐฯ ส่วนแบ่งตลาด 11% (BottomLiner 2016) และ (3) ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และผู้ผลิตรถยนต์บางรายเริ่มกักตุน IC เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญ |