ในกฎหมายแพ่งมีความสัมพันธ์อยู่รูปแบบหนึ่งเรียกว่า หนี้ (obligation) เป็นสภาพที่บุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า "ลูกหนี้" (obligor) ต้องทำหรือไม่ทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของบุคคลอีกฝ่ายซึ่งเรียกว่า "เจ้าหนี้" (obligee) เช่น พวงทองแท้ขอซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกจากพิณทองชุบ และพิณทองชุบตกลงขาย พวงทองแท้กับพิณทองชุบจึงเป็นหนี้ต่อกัน กล่าวคือ พวงทองแท้มีหนี้ต้องชำระราคาที่ดิน ส่วนพิณทองชุบมีหนี้ต้องส่งมอบที่ดิน Show หนี้ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้จากเหตุสองประการ คือ นิติกรรม และนิติเหตุ เหตุทั้งสองนี้เรียกว่า "มูลหนี้" (source of obligation) นิติเหตุ (legal cause) คือ เหตุการณ์ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องกลายเป็นหนี้เพราะกฎหมายกำหนดไว้ ไม่ว่าเขาจะสมัครใจเป็นหนี้หรือไม่ก็ตาม เช่น นางสาวแพปลาใช้โทรจิตขณะขับรถยนต์อยู่บนทางด่วน จึงชนรถตู้โดยสารสาธารณะเข้าอย่างจัง และเป็นเหตุให้เก้าชีวิตต้องตาย ผู้คนอีกหกรายต้องบาดเจ็บ นางสาวแพปลาจึงมีหนี้ที่จะต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย เพราะกฎหมายถือว่า เธอทำละเมิดต่อผู้เสียหาย ไม่ใช่เพราะเธอสมัครใจจะเป็นหนี้ ส่วนนิติกรรม (legal transaction,[1] juristic act[2] หรือ juridical act[3]) นั้นอธิบายคร่าว ๆ ก่อนว่า ต่างจากนิติเหตุตรงที่เกิดจากความสมัครใจของผู้เกี่ยวข้อง ดังตัวอย่างพวงทองแท้กับพิณทองชุบข้างต้น คู่กรณีในนิติกรรมจะมีกี่ฝ่ายก็ได้ ถ้ามีตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป นิติกรรมนั้นเรียก สัญญา (contract) การแบ่งแยกระหว่างนิติกรรมกับสัญญาเป็นแนวคิดซึ่งพัฒนาขึ้นในวงการนิติศาสตร์เยอรมัน และแพร่หลายมาถึงประเทศที่ใช้กฎหมายเยอรมันเป็นแม่แบบกฎหมายของตัว เช่น ประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทย ขณะที่บางท้องที่ในโลก เช่น ประเทศฝรั่งเศส แม้ใช้กฎหมายระบบซีวิลลอว์ (civil law) เหมือนประเทศเยอรมัน แต่ก็ไม่รู้จักนิติกรรม ท้องที่เหล่านี้เรียกความผูกพันทำนองนิติกรรมว่า "สัญญา" ทั้งสิ้น ไม่แบ่งแยกเป็นนิติกรรมและสัญญา รายละเอียดเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญานั้นจะได้ว่ากันต่อไปภายหน้า สำหรับประเทศไทย กฎหมายนิติกรรมและสัญญา[4] (law of legal transactions and contracts) ปรากฏอยู่ใน ป.พ.พ. บ. 1 ล. 4 และ บ. 2 ล. 2 เป็นหลัก ส่วนในสถาบันอุดมศึกษาไทยโดยทั่วไปนั้น ศึกษากฎหมายนิติกรรมและสัญญากันในปีแรก ถัดจากวิชาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบกฎหมาย และวิชากฎหมายบุคคล เพื่อประโยชน์ในการศึกษากฎหมายนิติกรรมและสัญญา ตำรานี้จึงแบ่งส่วนดังนี้ ภาค 1 บททั่วไป: ว่าด้วยนิยาม ลักษณะ ความเป็นมา ทฤษฎี หลักการ และประเภทของนิติกรรมและสัญญา ภาค 2 นิติกรรม: ว่าด้วยนิติกรรม ตั้งแต่การเกิด ความเป็นไป และความสิ้นสุดลง ภาค 3 สัญญา: ว่าด้วยสัญญา ตั้งแต่การเกิด ความเป็นไป และความสิ้นสุดลง ภาค 4 ความคุ้มครองพิเศษ: ว่าด้วยกฎหมายพิเศษซึ่งให้ความคุ้มครองแก่บุคคลในการทำนิติกรรมและสัญญาบางประเภท อนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ตำรานี้ได้แทรกศัพท์กฎหมายและศัพท์อื่นที่เป็นภาษาต่างประเทศไว้ โดยใช้ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ญี่ปุ่น หรือฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแม่แบบ ป.พ.พ. เป็นหลัก กับทั้งยังแทรก ฎ. บางฉบับไว้ด้วย แต่พึงทราบว่า ในระบบซีวิลลอว์ซึ่งเป็นระบบกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทยนั้น คำพิพากษาไม่เป็นกฎหมาย เป็นเพียงการปรับใช้กฎหมายเป็นรายกรณีไปเท่านั้น ภาคผนวก[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
เชิงอรรถ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมสัญญามีอะไรบ้างดังนั้น นิติกรรมและสัญญาที่กระทำโดยบุคคลข้างต้น โดยปราศจากความยินยอมจากบุคคลที่กฎหมายกำหนดไว้จะกลายเป็นโมฆียะ ซึ่งอาจถูกบอกล้างได้. 4.1 สัญญาซื้อขาย ... . 4.2 สัญญาขายฝาก ... . 4.3 สัญญาเช่าทรัพย์ ... . 4.4 สัญาเช่าซื้อ ... . 4.5 สัญญากู้ยืม ... . 4.6 สัญญาจำนำ ... . 4.7 สัญญาจำนอง. กฎหมายแพ่งว่าด้วยสัญญาคอือะไรo สัญญา คือ นิติกรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นนิติ กรรมที่มีบุคคล 2 ฝ่าย หรือมากกว่านั้นมาตกลงกัน โดยแสดงเจตนา เสนอและสนองตรงกัน ก่อให้เกิดสัญญาขึ้น o สัญญาย่อมก่อให้เกิดหนี้ เกิดความผูกพัน ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้มีสิทธิ เรียกร้องให้ลูกหนี้ชําระหนี้ได้ตามกฎหมาย
สัญญามีความสำคัญทางกฎหมายแพ่งอย่างไรสัญญา คือ นิติกรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นนิติกรรมที่มีบุคคล 2 ฝ่าย หรือมากกว่านั้นมาตกลงกัน โดยแสดงเจตนาเสนอและสนองตรงกัน ก่อให้เกิดสัญญาขึ้น สัญญาย่อมก่อให้เกิดหนี้ เกิดความผูกพันระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
กฎหมายทางแพ่งมีอะไรบ้างในปัจจุบันกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของประเทศไทย ได้บัญญัติรวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน เรียกชื่อว่า “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” แบ่งออกเป็น 6 บรรพ คือ บรรพ 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป บรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวและบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก
|