ฐานภาษีสำหรับการประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ได้แก่ รายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ที่ผู้ประกอบกิจการได้รับ หรือพึงได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการ
"รายรับ" หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน หรือประโยชน์ใด ๆ อันมีมูลค่าที่ผู้ประกอบกิจการ ได้รับหรือพึงได้รับ ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักรอันเนื่องมาจากการประกอบกิจการ
กิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะต้องเสียภาษีโดยคำนวณจากฐานภาษี ซึ่งได้แก่ รายรับตามฐานภาษี ของแต่ละประเภทกิจการ คูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนดไว้ และจะต้องเสียภาษีท้องถิ่นอีก ร้อยละ 10 ของจำนวนภาษี ธุรกิจเฉพาะดังกล่าว
กิจการฐานภาษีอัตราภาษีร้อยละ1. กิจการธนาคาร,ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์, ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ และการประกอบกิจการเยี่ยง ธนาคารพาณิชย์- ดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ หรือกำไรก่อนหักรายจ่าย ใดๆ จากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือ ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ใด ๆ3.0- กำไรก่อนหักรายจ่ายใดๆ จากการ แลกเปลี่ยนหรือซื้อขายเงินตรา การออกตั๋วเงินหรือการส่งเงินไปต่างประเทศ3.02. กิจการรับประกันชีวิต- ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ2.53. กิจการโรงรับจำนำ- ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม2.5- เงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน หรือ ประโยชน์ใดๆ อันมีมูลค่าที่ได้รับ หรือพึงได้รับจากการขายของที่ จำนำหลุดเป็นสิทธิ2.54. การค้าอสังหาริมทรัพย์- รายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ0.15. การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์- รายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ0.1(ยกเว้น)6. การซื้อและการขายคืนหลัก ทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์- กำไรก่อนหักรายจ่ายใดๆ จากการขายคืนหลักทรัพย์ แต่ไม่รวมถึง ดอกเบี้ย เงินปันผล หรือประโยชน์ใดๆ ที่ได้จากหลักทรัพย์3.07. ธุรกิจแฟ็กเตอริง- ดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ3.08. การประกอบกิจการตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 469- ดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ0.01- กำไรก่อนหักรายจ่ายใดๆ จากการ แลกเปลี่ยนหรือซื้อขายเงินตรา0.01- กำไรก่อนหักรายจ่ายใดๆ จากการขายคืนหลักทรัพย์0.01
หมายเหตุ อัตราภาษีของการค้าอสังหาริมทรัพย์ให้ลดและคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.1 สำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ได้กระทำภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ ( ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2551 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2552 พระราชกฤษฎีกา ( ฉบับที่ 472 ) พ.ศ.2551)
มูลนิธิหรือสมาคมซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะต้องเสียภาษีจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายในอัตรา ดังนี้
(ก) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)-(7) แห่งประมวลรัษฎากร เช่น เงินได้จากดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ค่าสิทธิ ค่านายหน้า เป็นต้น เสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0
(ข) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก่เงินได้จากธุรกิจการพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการอื่น ๆ นอกเหนือจาก(ก) เสียภาษีในอัตราร้อยละ 2 .0
การคำนวณภาษี
เมื่อมูลนิธิหรือสมาคมมีรายได้จากการประกอบกิจการจะต้องนำรายได้ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นมาคำนวณภาษี โดยคำนวณจากรายได้ก่อนหักรายจ่าย คูณด้วยอัตราภาษีร้อยละ 10.0 หรือร้อยละ 2.0 แล้วแต่กรณี ผลที่ได้เป็นภาษีที่ต้องเสีย
การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของมูลนิธิหรือสมาคม จะต้องคำนวณตามรอบระยะเวลาบัญชีเช่นเดียวกับ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ตัวอย่างการคำนวณภาษี
สมาคม ก. มีรายได้จากการประกอบกิจการ และไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปี 2555 สมาคมมีรายได้ ดังนี้
หากทราบจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละปีไว้ล่วงหน้าก็จะช่วยให้เราวางแผนภาษีได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการมองหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่เหมาะสมกับรายได้ของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวยื่นภาษี หรือขอคืนภาษีต่อไปวิธีคำนวณ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามกฎหมายไทยจะคิดเป็นรายปีปฏิทิน (ปีภาษี) โดยต้องใช้ 2 วิธีคู่กันแล้วเลือกใช้วิธีที่คำนวณแล้วเสียภาษีสูงกว่า ได้แก่
- วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ (อัตราภาษีก้าวหน้าแบบขั้นบันได) และ
- วิธีคำนวณภาษีแบบเหมา 0.5%
วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ (แบบขั้นบันได)
วิธีนี้คำนวณจากจากเงินได้สุทธิด้วยสมการง่ายๆ คือ
เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
จากนั้น
เงินได้สุทธิ × อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
เทคนิคการคำนวณภาษีอย่างง่าย
ด้วยฐานภาษีขั้นแรกนี้ คุณจะไม่ต้องเสียภาษีเลย เนื่องจากเงินได้สุทธิ ฿150,000 แรก ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
ด้วยฐานภาษีขั้นบันไดนี้ คุณจะเสียภาษีสูงสุดไม่เกิน ฿7,500
ด้วยฐานภาษีขั้นบันไดนี้ คุณจะเสียภาษีราวๆ ฿7,500 – ฿27,500
ด้วยฐานภาษีขั้นบันไดนี้ คุณจะเสียภาษีราวๆ ฿27,500 – ฿65,000
ด้วยฐานภาษีขั้นบันไดนี้ คุณจะเสียภาษีราวๆ ฿65,000 – ฿115,000
ด้วยฐานภาษีขั้นบันไดนี้ คุณจะเสียภาษีราวๆ ฿115,000 – ฿365,000
ด้วยฐานภาษีขั้นบันไดนี้ คุณจะเสียภาษีราวๆ ฿365,000 – ฿1,265,000
ด้วยฐานภาษีขั้นบันไดนี้ คุณจะเสียภาษีมากกว่า ฿1,265,000 อย่างแน่นอน
วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5%
วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5% จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อคุณมีรายได้ทางอื่นนอกเหนือจากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว โดยการนำรายได้ทางอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินเดือนไปคูณ 0.5% ก็จะได้เป็นค่าภาษี
เงินได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน x 0.005 = ค่าภาษี
วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5% จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขครบทุกข้อต่อไปนี้เท่านั้น
- คำนวณจากรายได้ทุกทางยกเว้น เงินเดือน
- คำนวณแล้วค่าภาษีต้องเกิน ฿5,000 (ถ้าคำนวณแล้วได้ ฿5,000 พอดีหรือต่ำกว่าจะไม่นำวิธีนี้มาใช้) แปลได้อีกทาง คือ ต้องมีรายได้ทุกทาง (ยกเว้นเงินเดือน) รวมกันแล้วเกิน ฿1,000,000 นั่นเอง
- คำนวณภาษีแบบเหมาแล้วได้มากกว่าคำนวณภาษีแบบขั้นบันได
การคำนวณภาษีกรณีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะกิจ
ในกรณีที่ทำธุรกิจใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะกิจ (ท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อําเภอจะนะ อําเภอเทพา อําเภอนาทวี และอําเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล) และมี รายได้จากการรับเหมา หรือ รายได้จากการทำธุรกิจ ในรูปแบบ บุคคลธรรมดา จะได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา 0.1% จากยอดรายรับโดยไม่ต้องไปรวมคำนวณกับเงินได้ประเภทอื่นๆ ก็ได้
เรื่องที่มักเข้าใจผิดบ่อย
- หลายคนมักเข้าใจผิดว่าบ้านเรามีแค่คำนวณภาษีแบบขั้นบันไดอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วถ้าคุณมีรายได้ทางอื่นนอกเหนือจากเงินเดือนจะต้องใช้วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5% มาคำนวณคู่กันด้วย
- เวลาคำนวณภาษีแบบขั้นบันไดหลายคนเข้าใจผิดว่า ถ้าทั้งปีเรามีรายได้ ฿500,000 ก็จะเอา ฿500,000 มาคูณ อัตราภาษี ทันที (เช่น เอารายได้ ฿500,000 x อัตรา 10% ทันที) ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ยังไม่ถูกต้องและทำให้เราเสียเปรียบ เพราะเรายังไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นๆ ทั้ง ค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อน ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีได้อีกมาก ดังนั้น เราจึงต้องเอาเงินได้พึงประเมินลบด้วย ค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนก่อนจึงจะเป็นฐานภาษีที่ถูกต้อง ที่เราเรียกว่า เงินได้สุทธิ
เพราะภาษีเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนปวดหัวได้ไม่หยุดหย่อน iTAX จึงอยากมีส่วนช่วยให้ผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีทุกคน สามารถคำนวณภาษีได้ถูกต้องครบถ้วนแม้จะไม่มีความรู้พื้นฐานภาษี และหากคุณเป็นหนึ่งคนที่ไม่อยากทนปวดหัวกับวิธีการคำนวณภาษีที่ยุ่งยาก ยื่นภาษีปีนี้ลองคำนวณภาษีผ่าน iTAX รับรองเลยว่า iTAX จะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นเยอะ