Show
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 การนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในงานอาชีพ สาระการเรียนรู้
เศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่ิให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวเองที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผน และการดำเนินการทุกขั้นตอน ในขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพรียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้
3.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่น การผลิต และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ 3.2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นอย่างมีเหตุผล โดยพิจาณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่ว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ 3.3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล 4. เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
5. แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านทั้งด้าน เศรษฐกิจสังคมสิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้บรรยายไว้ว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การเดินทางสายกลางของ 3 หลัก คือความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ซึ่งจะบรรลุได้นั้นต้องอาศัย 2 เงื่อนไข คือ เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย รอบรู้รอบคอบระมัดระวัง ส่วนเงื่อนไขคุณธรรม ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์สุจริต ขยันอดทน สติปัญญา และแบ่งปัน ดังนี้
ทางสายกลางของความพอประมาณในการทำงาน หมายถึง การทำงานพอประมาณตามหน้าที่ตามเวลางาน หรือตามเงินเดือนที่ได้รับ รวมทั้งการคิดและทำงานเต็มความสามารถที่มี ไม่น้อยเกินไปและไม่ทำงานเกินตัว ตัวอย่างของการทำงานน้อยเกินไป คือ การไม่พัฒนาหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าตัดสินใจ หรือปรับเปลี่ยนใดๆ ซึ่งต่อไปจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนการทำงานเกินตัว เช่น ผู้ที่ทำงานเกินไปจนเสียความสมดุลในด้านอื่นๆ ของชีวิตผู้ที่ลงทุนเกินตัว ชอบเสียงอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้พบปัญหาและความล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มองไปข้างหน้าและคิดว่าตนเองมีทรัพย์สิน และทรัพย์สินที่สามารถแสวงหาเพิ่มได้ อาจใช้ความพยายามมากขึ้นหรืออดทนทำงานที่ยากลำบาก จึงจะเป็นผู้ที่เดินทางสายกลางของความพอประมาณ ส่วนความพอประมาณในองค์การนั้น ต้องทราบระดับความสามารถของพนักงาน และเข้าใจถึงทักษะหรือความถนัดของพนักงาน เชื่อว่าพนักงานขององค์กรยังไม่ได้ทำงานเต็มความสามารถของตนเอง ซึ่งการทำงาน ไม่เต็มความสามารถ ไม่ใช่เพราะพนักงานไม่เต็มใจทำแต่เป็นเพราะองค์กรหรือหัวหน้างานยังไม่ได้ให้โอกาส ที่ทำให้พนักงานได้แสดงความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ เมื่อพนักงานมีโอกาสได้แสดงผลงานออกมาแล้วพนักงานก็จะพบว่าตนเองมีดีกว่าที่คิด
ความมีเหตุผล หมายถึง การที่การทำงานตลอดจนการดำเนินชีวิตด้วยความมีเหตุผล มีตรรกะ สามารถเข้าใจและอธิบายเรื่องราว หรือปัญหาต่างๆ อย่างเป็นระบบ เป็นวิทยาศาสตร์ รู้จักใช้ดุลพินิจในการพิจารณาไตร่ตรอง และสามารถตัดสินใจได้ดีจากข้อมูลที่สนับสนุนให้เห็นว่าข้อมูลไม่เพียงพอก็ต้องรู้จักเสาะแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม
การมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวดี คือ การสามารถครองตนอยู่ได้ท่ามกลางปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบทั้งจากภายในและภายนอก หากมองในแง่ของงานหรือธุรกิจก็คือ การรู้จักวิเคราะห์และบริหารความเสี่ยง ส่วนในด้านของคนทำงานก็ต้องกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมรับกับความเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในปัจจุบันหรืออนาคต ระบบภูมิคุ้มกัน คือ การสามารถครองตนให้อยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต สามารถยืนหยัดอยู่ในศีลธรรม แม้จะถูกยั่วยุด้วยผลประโยชน์ และเมื่อพบกับความไม่ชอบธรรมต่างๆ ก็สามารถใช้สติและปัญญาในการแก้ไขปัญหาการมีระบบภูมิคุ้มกัน จะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากตัวบุคคลและระบบงานขององค์การ กระบวนการการทำงานขององค์การต้องมีความรัดกุม มีระบบการตรวจสอบ และเปิดรับสัญญาณเตือนภัยต่างๆ ได้ดี ในขณะเดียวกัน องค์การต้องส่งเสริมให้บุคลากรรู้จักการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์การทำงาน ไม่หวงความรู้เก็บไว้คนเดียว โดยการทำงานของบุคคลต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการทำงานเป็นการช่วยตรวจสอบซึ่งกันและกัน เงื่อนไขสร้างความพอเพียงเงื่อนไขและปัจจัยที่จะทำให้การวางแผน การตัดสินใจ การดำเนินการแต่ละอย่างนำไปสู่ความพอเพียง หรือไม่พอเพียงได้คำนิยาม ซึ่งได้พระราชทานมาก็ระบุชัดเจนว่าต้องอาศัยความรู้คู่กับคุณธรรม
และความรอบคอบ คุณธรรมข้อนี้เป็นข้อยืนยันว่า เมื่อนำหลักพอเพียงไปใช้จะไม่เป็นการย่ำอยู่กับที่ แต่กับจะนำไปสู่ความก้าวหน้า พร้อมกับความสมดุล เป็นขั้นเป็นตอน เช่น ในการบริหารธุรกิจถ้ามีความขยันหมั่นเพียรอดทน พัฒนาองค์การ พัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง มีความรอบคอบในการดำเนินการธุรกิจการงาน ชีวิตก็จะก้าวหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่เศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนา ที่นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งตนเองในระดับต่างๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันแปรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยความพอประมาณและความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ความเพียร และความอดทน สติและปัญญา การช่วยเหลือซึ่งกันและกันและความสามัคคี ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ อาจเปรียบเทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้นฐานกับแบบก้าวหน้า ทฤษฎีใหม่มี 3 ขั้นคือ ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 เทียบได้กับเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน เป็นการจัดการทรัพยากรที่แต่ละคนมีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อแต่ละคนจะได้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน เวลาพูดเรื่องทฤษฎีใหม่ก็มักจะคิดถึงตัวอย่างเกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นการใช้ทฤษฎีใหม่ในภาคเกษตรในชนบท และมีพื้นดิน มีน้ำมีพืชพันธุ์ที่ปลูกในพื้นดิน มีสัตว์เลี้ยงต่างๆ จึงเป็นตัวอย่างในการจัดการทรัพยากรที่แต่ละคนมีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน และเป็นการจัดการอย่างสมดุล และพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง และนำความสุขมาให้ด้วย มีงานวิจัย โดยคณะอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องการใช้ชีวิตพอเพียงของคนในเมือง เช่นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แม่ค้าขายผัก สามารถใช้ชีวิตอย่างพอเพียงได้ เช่น แม่ค้าขายผักก็ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงได้ซึ่งแต่ละคนรักษาความสมดุลทางเศรษฐกิจ โดยพิจารณาว่าซื้อมาเท่าไหร่มีต้นทุนเท่าใด การตั้งราคาสินค้าก็ไม่ให้ต่างกันมากกับรายอื่นๆ ในตลาดเดียวกัน ไม่สูงเกินไปและไม่ต่ำเกินไป ให้พอมีกำไรและเงินออมบ้างพอประมาณ บางส่วนเก็บไว้สำหรับซื้อผักพรุ่งนี้ บางส่วนเก็บไว้ใช้เกื้อกูลแบ่งปันสังคม ด้านสังคม แม่ค้าขายผักไม่ใช่ขายเฉพาะตัวเองคนเดียว ก็มีเพื่อนขายผักด้วยกัน ไม่เบียดเบียนเอาเปรียบแม่ค้าคนอื่น ก็ควรปรึกษาหารือกันบางคนไปซื้อผ่านจากที่หนึ่งมาถูกแล้วก็แบ่งปันกันขาย การรักษาความสมดุลทางสิ่งแวดล้อมก็โดยทำการค้าขายโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เลือกซื้อขายสินค้าที่สะอาดปราศจากสารเคมีตกค้าง หมั่นรักษาความสะอาดของสินค้า ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดบริเวณสถานที่ตั้งขาย ทิ้งขยะให้ถูกที่ มีการจัดการอย่างดี เก็บขยะอย่างดี เก็บไว้เพื่อนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพส่งให้กับเจ้าของสวนผักต่างๆ ในการรักษาสมดุลทางวัฒนธรรม แม่ค้าอาจรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม และรักษาสาธารณสมบัติในพื้นที่ที่ตนอยู่อาศัยมานานเอาไว้ ลักษณะอย่างนี้จึงกล่าวได้ว่าแม่ค้าขายผักก็พึ่งตนเองได้ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตตามแนวทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 เทียบได้กับเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า เป็นการร่วมมือรวมกลุ่มกันของคนที่มีความเข้มแข็ง และสามารถพึ่งตนเองได้แล้วในระดับต่างๆ เพื่อร่วมมือกันช่วยเหลือกันในกิจกรรมต่างๆ เช่น กลุ่ม/องค์การสหกรณ์ต่างๆ ธนาคารโคกระบือ กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ กลุ่มผลิตแม่บ้านต่างๆ ยกตัวอย่าง แม่ค้าในตลาดอาจจะหารือกันกับแม่ค้าคนอื่นๆ หาแหล่งสินค้าร่วมกัน รักษาความสะอาดของสถานที่ร่วมกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความสามัคคีระหว่างกันมากขึ้น การรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่างๆ จะทำให้เกิดความสามัคคีขึ้นในระดับท้องถิ่นที่มี ที่ไม่ใช่เฉพาะชนบทเท่านั้น ในตลาดก็สามัคคีกัน เวลารวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกันก็เกิดการเรียนรู้ที่จะทำงานกับผู้อื่น เรียนรู้ที่จะต้องอดทนต่อปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน และเกิดการแลกเปลี่ยนแบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แบ่งปันประสบการณ์ แบ่งปันกำลังทรัพย์กำลังกายกำลังใจ ให้กำลังใจก็เป็นการแบ่งปัน ความสามัคคีก็จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างชุมชน สร้างองค์การ สร้างกลุ่มตามแนวทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 เพื่อสร้างความพอเพียงที่เกิดขึ้นในชุมชน ในสังคม เช่น กองทุนสัจธรรมออมทรัพย์ ที่ดีในแง่แต่ละชุมชนต้องมีกองทุนสวัสดิการ แล้วไม่ใช่สวัสดิการเฉพาะสมาชิกของกองทุนเท่านั้น ต้องแบ่งส่วนหนึ่งช่วยเหลือคนอื่นในชุมชน ที่ยังยากจนขาดแคลน ที่ยังไม่เพียงพอ คนในแต่ละชุมชนจะรู้เองว่าใครเป็นคนจนในชุมชนของเขา แต่ละภูมิประเทศแต่ละภูมิศาสตร์ คงสภาพความยากจนจะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นชุมชนที่พอเพียงก็จะดูที่การมีกองทุนสวัสดิการที่แบ่งส่วนหนึ่งเอามาดูแลคนยากจน คนด้อยโอกาสในสังคมนั้นด้วย ถึงจะบอกได้ว่าชุมชนนั้นได้สร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3 เป็นความร่วมมือกันในระดับเครือข่าย หรือเป็นการขยายเครือข่ายความร่วมมือออกไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ เช่น เครือข่ายกลุ่มสัจธรรมออมทรัพย์ เครือข่ายข้าว สำนึกรักบ้านเกิดของดีแทค เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ผลิตข้าวปลอดสารพิษนำมาแลกเปลี่ยนสินค้ากับเครือข่ายยมนาที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือชุมชนอาจจะมีการแลกเปลี่ยนทำงานร่วมมือกันกับองค์การธุรกิจเอกชน บริษัทน้ำมันบริษัทต่างๆ มูลนิธิภาครัฐเป็นความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มองค์การต่างๆ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้าหรือทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 3 ปัจจัยในการทำงานให้เหมาะสมกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงการจะสร้างคนทุกคนให้ขับเคลื่อนองค์การไปสู่ความสำเร็จได้ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ต้องสร้างแรงกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากสถานการณ์เหล่านี้ทำให้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ถูกนำมาปรับใช้กับการบริหารทรัพยากรบุคคล แต่ในความเป็นจริงหลักการทำงานตามแนวทาง 2 ห่วง ประกอบด้วยประมาณตน มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และ 2 เงื่อนไข คือ ความรู้คุณธรรม ซึ่งเป็นกรอบการทำงานที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมคนทำงาน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมและทำงานมี 5 ประการได้แก่
สื่อสารโดยการพูดและการแสดงท่าทางอย่างเหมาะสมพร้อมกับวิเคราะห์ก่อนจะสื่อสารใดๆออกไปขณะเดียวกันในบางสถานการณ์เคร่งเครียดจะต้องหลีกเลี่ยงการสื่อสารโดยใช้อารมณ์
การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการทรัพยากรบุคคลการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการจัดการทรัพยากรบุคคลนั้นสามารถประยุกต์ได้ในลักษณะงานต่างๆดังนี้
การนําเศรษฐกิจพอเพียงการประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 ( พ. ศ. 2550- 2554) เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุลยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือเรียกว่าสังคมสีเขียว( Green Society) ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 จะไม่เน้นเรื่องตัวเลข การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท ดร. สมเกียรติ อ่อนวิมล เรียกว่า วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง คือความไม่รู้ว่าจะนำปรัชญานี้ไปใช้ทำอะไรผู้นำสังคมทุกคน ทั้งนักการเมือง และรัฐบาล มักใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียง เป็นข้ออ้างในการทำกิจกรรมใดๆเพื่อให้รู้สึกได้สนองพระราชดำรัส และให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี หรือเศรษฐกิจพอเพียง ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อตัวเอง ซึ่งความไม่เข้าใจนี้อาจเกิดจากการสับสนว่าเศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้มีความเข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้วกลับไปสู่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ดร. ทิศนา เเข็มมณี (2546:2-7) ได้วิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีใหม่ พบว่าทฤษฎีใหม่นี้ มีศักยภาพที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในศาสตร์ต่างๆได้เป็นอย่างดีโดยมีหลักสำคัญดังนี้
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ จึงประกอบด้วยหลักการ หลักวิชาการและ
การปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงการนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันสามารถทำได้ดังนี้
เศรษฐกิจพอเพียง มีประโยชน์ต่อประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนิสิตนักศึกษา นักเรียน ข้าราชการพนักงานบริษัท ก็สามารถนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการเรียน การทำงาน ตลอดจนการดำเนินชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสามารถกระทำได้ดังนี้ 1.1 ยึดความประหยัดตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีวิตอย่างจริงจัง ดังพระราชดำรัสว่า ”ความเป็นอยู่ที่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง” 1.2 ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้องสุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรงชีวิตก็ตาม ดังพระราชดำรัสที่ว่า”ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบและการหาเลี้ยงชีพของตนเป็นหลักสำคัญ” 1.3 ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์ และแข่งขันในทางด้านการค้า การประกอบอาชีพแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรงดังอดีต ซึ่งมีพระราชดำรัสเรื่องนี้ว่า”ความสุข ความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง ความสุข ความเจริญ ที่บุคคลแสวงหาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาจากความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากคนอื่น” 1.4 การแสวงหาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนจนถึงขั้น พอเพียงในการดำรงชีวิตเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยต้องขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้เกิดรายได้เพิ่มพูนขึ้นจนถึงขั้นพอเพียง ดังพระราชดำรัสที่ให้ความชัดเจนว่า”การที่ต้องการให้ทุกคนพยายามที่จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง เพื่อที่จะให้ตนเองมีความเป็นอยู่ที่ก้าวหน้า ที่มีความสุข พอมีพอกิน เป็นขั้นหนึ่งและขั้นต่อไปคือ ให้มีเกียรติว่ายืนได้ด้วยตนเอง” 1.5 ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละเลิกอบายมุขให้หมดสิ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราโชวาทว่า”พยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเครื่องทำลายตัวทำลายผู้อื่น พยายามลดพยายามละความชั่วที่ตัวเองมีอยู่ พยายามก่อความดีให้แก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรักษาและเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่ให้งอกงามสมบูรณ์ขึ้น ทรงย้ำเน้นว่าคำสำคัญที่ดีที่สุดคือคำว่า “พอ” ต้องสร้างความพอที่สมเหตุสมผลให้กับตนเองให้ได้ และเราก็จะพบกับความสุข”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวคิดการเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้มีความรู้ความเข้าใจ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ โดยจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักการทฤษฎีใหม่ 3 ขั้นคือ ขั้นที่ 1 มีความพอเพียง เลี้ยงตัวเองได้ บนพื้นฐานของความประหยัดและลดการใช้จ่าย ขั้นที่ 2 รวมกันในรูปกลุ่ม เพื่อทำการผลิต การตลาด การจัดการ สวัสดิการการศึกษาและการพัฒนาสังคม ขั้นที่ 3 สร้างเครือข่ายกลุ่มอาชีพ และขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หลากหลาย โดยประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาครัฐ ในด้านเงินทุน การตลาด การผลิต การจัดการ และข่าวสารข้อมูล |