อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพมีคุณธรรมเด่นชัดในเรื่องอะไรมากที่สุดที่เราควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

"สุชีโวภิกขุ" คือ นามฉายาของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เมื่อครั้งท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดกันมาตุยาราม   ชื่อเสียงของท่านโด่งดัง เป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งยวดในหมู่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนเสมอมา จากผลงานการประพันธ์ทั้งในเชิงวิชาการและด้านวรรณกรรม   เป็นที่ประจักษ์ถึงความรอบรู้ด้านพระพุทธศาสนาเป็นเลิศ และความสามารถในการเล่าพระธรรมอย่างยากที่จะมีใครทัดเทียมได้   มรดกงานวรรณกรรมอันล้ำค่านี้ ได้สร้างคุณูปการอันสำคัญยิ่งให้แก่บรรณพิภพไทย

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2460 อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ กำเนิด ณ ตำบลบางไทรป่า อำเภอบางปลา (อำเภอบางเลนในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม มีพี่น้องรวม 12 คน แต่เสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ไปถึง 11 คน เหลือท่านเพียงคนเดียว พ่อแม่จึงตั้งชื่อท่านว่า "บุญรอด"

เมื่ออายุราว 13 ปี หลังจากที่เรียนจบชั้นประถมปีที่ 5 ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาต่อในทางพุทธศาสนา ณ วัดสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จนสอบไล่นักธรรมและภาษาบาลี เปรียญธรรม 7 ประโยคได้ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ต่อมาท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดกันมาตุยาราม เมื่อ พ.ศ. 2480 และได้รับฉายาว่า "สุชีโวภิกขุ" หลังจากอุปสมบทได้ 2 พรรษา ก็สอบไล่เปรียญธรรม 9 ประโยคได้

ในขณะที่ท่านเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ ณ วัดกันมาตุยารามนั้น นอกเหนือจากความรู้ภาษาบาลีอันแตกฉานแล้ว ท่านมีความชำนาญอื่น ๆ หลายวิชา อาทิ ภาษาอังกฤษ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภาษาสันสกฤต และภาษาปรากฤต   อีกทั้งท่านยังขวนขวายศึกษาวิชาสมัยใหม่อื่น ๆ จากตำราทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศด้วย ทำให้ท่านเป็นภิกษุหนุ่มที่มีความรู้ในวิชาการสมัยใหม่ โลกทัศน์กว้างไกล และมีวิธีการเทศนาสั่งสอนพระพุทธศาสนาในแนวใหม่ที่ทันสมัย เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นพระภิกษุไทยรูปแรกที่บรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษ

เมื่อท่านเห็นว่าความรู้ในวิชาการสมัยใหม่เป็นประโยชน์ต่อการสั่งสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มถ่ายทอดวิชาเหล่านั้นแก่ภิกษุสามเณรที่วัดกันมาตุยาราม และริเริ่มประยุกต์พระพุทธศาสนาให้เข้ากับสังคมร่วมสมัย ซึ่งต่อมา พระเถรานุเถระจากคณะธรรมยุตได้ทราบเรื่อง และสนับสนุนเทคนิคการสอนของอาจารย์สุชีพ จนกระทั่งจัดตั้งขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า "สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย" ใน พ.ศ. 2488

บทบาทของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพนับว่าเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการริเริ่มสถาบันการศึกษาขั้นสูงของพระพุทธศาสนา หลังจากนั้น ท่านได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎฯ เป็นรูปแรก และเป็นผู้วางรากฐานด้านวิชาการและการบริหารให้แก่มหาวิทยาลัยจนกระทั่งลาสิกขา เมื่ออายุ 35 ปี ใน พ.ศ. 2495 รวมเวลาที่ท่านดำรงอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี

นอกเหนือจากก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ อาจารย์สุชีพยังมีผลงานที่โดดเด่นในด้านวิชาการทางพระพุทธศาสนาที่เป็นอมตะ คือ การจัดทำพระไตรปิฏกฉบับประชาชน ซึ่งเป็นการย่อความพระไตรปิฎกจำนวน 45 เล่ม ให้เหลือเพียง 5 เล่ม เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการศึกษาพระธรรมเป็นภาษาไทยสำเร็จเป็นคนแรก นับว่าเป็นผลงานที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการศึกษาพระไตรปิฏกและพุทธศาสนาประเทศไทย

ในด้านวรรณกรรม อาจารย์สุชีพเป็นผู้ริเริ่มการแต่งนวนิยายอิงหลักธรรม อันได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง “กามนิต” ที่ท่านได้อ่านเมื่อครั้งเป็นสามเณร โดยนวนิยายอิงหลักธรรมนี้ คือ นวนิยายที่อาศัยเรื่องราวจากพระพุทธประวัติ สอดแทรกการสั่งสอนหลักธรรม ทำให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสทั้งในแง่วรรณกรรมและหลักธรรมะไปพร้อม ๆ กัน

ผลงานเรื่องแรกของท่าน คือเรื่อง “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” บอกเล่าเรื่องราวขององคุลิมาลกับพระพุทธเจ้า ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือธรรมจักษุ เมื่อ พ.ศ. 2494 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม และได้รับการขอร้องให้ประพันธ์อีกหลาย ๆ เรื่อง ต่อมาท่านจึงประพันธ์เรื่อง “กองทัพธรรม” บอกเล่าเรื่องของพระสารีบุตรกับพระธรรมเสนาบดี และเรื่อง “ลุ่มน้ำนัมมทา” “เชิงผาหิมพานต์” และ “นันทะ-ปชาบดี” ตามลำดับ โดยนวนิยายอิงหลักธรรมของอาจารย์สุชีพนี้ นับว่าเป็นการริเริ่มการเผยแผ่พุทธศาสนาในรูปแบบใหม่ รวมถึงทำให้เกิดนวนิยายแขนงใหม่ในวงการวรรณกรรมไทยซึ่งต่อมาเป็นที่นิยมของนักอ่านทั่วไป และส่งอิทธิพลต่อนักประพันธ์ให้ประพันธ์นวนิยายในแขนงเดียวกันนี้อีกหลายท่าน เช่น วศิน อินทสระ ทวี วรคุณ สุทัสสนา อ่อนค้อม เป็นต้น

หลังจากอาจารย์สุชีพลาสิกขา ท่านยังได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงเป็นอาจารย์สอนและที่ปรึกษาในสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย และในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงแก่กรรมในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 เวลา 15.51 น. สิริรวมอายุ 83 ปี 21 วัน

ด้วยผลงานที่ได้กล่าวมา ผนวกกับอุปนิสัยส่วนตัวที่อ่อนน้อม มีเมตตากรุณา และตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมคำสอน ทำให้อาจารย์สุชีพเป็นที่รักและเคารพยิ่งของศิษย์ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

...................................................................

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพมีคุณธรรมเด่นชัดในเรื่องอะไรมากที่สุดที่เราควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

ประวัติและผลงาน
อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ

บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย
และผู้ริเริ่มจัดทำ “พระไตรปิฎกฉบับประชาชน”
และ “พจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนา”

ประวัติทั่วไป

คัดลอกจาก “ปูชนียบุคคลของชาว มมร. อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ”
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๕ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๓

ข้อมูลส่วนตัว

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เกิด ณ ตำบลบางไทรป่า
อำเภอบางปลา (คืออำเภอบางเลนในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๖๐ ในครอบครัวที่มีอาชีพค้าขาย

การศึกษาและการอุปสมบท

ในวัยเด็ก อาจารย์ได้ศึกษาจบชั้นประถมปีที่ ๕ ซึ่งเทียบมัธยมปีที่ ๒ ในสมัยนั้น
เมื่อจบการศึกษาเบื้องต้นแล้ว ได้เข้าเรียนภาษาบาลีที่วัดกันมาตุยาราม กรุงเทพฯ
อายุราว ๑๓ ปี ก็กลับไปบรรพชาเป็นสามเณร
เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อในทางพระศาสนาต่อไป
ณ วัดสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

โดยเป็นศิษย์ของพระปฐมนคราจารย์ (วงศ์ โอทาตวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดสัมปทวน
และเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมในขณะนั้น แล้วจึงเข้ามาศึกษาเล่าเรียนต่อ
ณ วัดกันมาตุยาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ จนสอบไล่นักธรรมและบาลี
ได้เป็นเปรียญธรรม ๗ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร

ได้อุปสมบท ณ วัดกันมาตุยาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐
โดยเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร)
วัดเทพศิรินทราวาส เป็นพระอุปัชฌาย์

ได้รับฉายาว่า สุชีโว หลังจากอุปสมบทได้ ๒ พรรษา
ก็สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒

ซึ่งในปีเดียวกันนั้น มีผู้สอบไล่ ๙ ประโยคได้ ๓ รูป คือ
(๑) พระมหาบุญรอด สุชีโว คืออาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ
(๒) พระมหาบุญมี อเวรี (สมสาร) วัดบรมนิวาส
ภายหลังลาสิกขาและเปลี่ยนชื่อเป็น เชวง สมสาร
(๓) พระมหาเช้า ฐิตปญฺโญ (ยศสมบัติ) วัดเขาแก้ว จังหวัดนครสวรรค์
สุดท้ายได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมคุณาภรณ์
เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์

นอกจากจะมีความรู้ภาษาบาลีแตกฉานเป็นอันดีแล้ว
อาจารย์ยังมีความรู้ในภาษาสันสกฤตและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาวิชาการสมัยใหม่ต่าง ๆ ที่เป็นว่าภิกษุสามเณรควรจะเรียนรู้
เพื่อประโยชน์แก่การที่จะนำมาประยุกต์กับ
การสั่งสอนพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

ซึ่งวิชาการทั้งหลายเหล่านี้ อาจารย์ก็พยายามขวนขวายศึกษาเอาด้วยตนเอง
โดยการอ่านตำรับตำราทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
จนกล่าวได้ว่า อาจารย์เป็นพระหนุ่มที่มีหัวก้าวหน้า มีโลกทรรศน์กว้างไกล
และมีวิธีการเทศนาสั่งสอนพระพุทธศาสนาแนวใหม่ที่ทันสมัย
เป็นที่นิยมชมชอบและเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนทั่งประเทศในขณะนั้น
ในนามว่า “สุชีโวภิกขุ” ดังที่ ท่านพุทธทาส
ได้กล่าวถึงอาจารย์ไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่าน
(คือเรื่อง เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา เล่ม ๑) ว่า

“คุณสุชีพ หรือสุชีโวนั่นแหละ ที่ (เป็นดาวเด่น) เป็นคนแรก (ในยุคนั้น)
รุ่นอ่อนกว่าผมหน่อย(*๑) เขามีผลงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนั้นเขาเป็นผู้นำคนหนุ่มยุวพุทธ
ให้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นผู้ก่อหวอด ก่อรากมหาวิทยาลัยสงฆ์วัดบวรฯ (*๒)
เป็นคนแรกที่เทศน์เป็นภาษาอังกฤษในประเทศไทย เขาจัดให้เป็นพิเศษ
มีฝรั่งมาฟังหลายคน ตอนหลังผมเคยไปฟังด้วย
เจ้าคุณลัดพลี (พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์) พาไป คุณชำนาญก็เคยพาไปเยี่ยมแกถึงกุฏิ”

*๑ ท่านพุทธทาส เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ แก่กว่าอาจารย์สุชีพ ๑๑ ปี
*๒ หมายถึง สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย

ริเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์

จากประสบการณ์ของอาจารย์เองทำให้เห็นว่า
ความรู้ภาษาต่างประเทศและความรู้ในวิชาการสมัยใหม่นั้น
เป็นประโยชน์ต่อการสั่งสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
ฉะนั้น อาจารย์จึงมีความปรารถนาที่จะให้ภิกษุสามเณรได้เรียนรู้วิชาการเหล่านี้
เพื่อจะได้เป็นศาสนทายาทที่มีคุณภาพ ทันโลกทันเหตุการณ์
อันจะทำให้สามารถสั่งสอนพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล

ด้วยความปรารถนาดังกล่าวแล้ว อาจารย์จึงได้ริเริ่มสอนภาษาอังกฤษ
และวิชาการสมัยใหม่บางวิชาที่สามารถสอนได้ด้วยตนเองแก่ภิกษุสามเณรวัดกันมาตุยาราม
เป็นการกระตุ้นให้พระหนุ่มเณรน้อยสนใจใฝ่รู้ในวิชาการต่าง ๆ
และเห็นคุณประโยชน์ของวิชาการเหล่านั้นในแง่ของการนำมาส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

อาจารย์ได้เริ่มสอนภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ อีกบ้าง แก่ภิกษุสามเณรที่สนใจ
โดยใช้ชั้นล่างของกุฏิที่พักของอาจารย์นั่นเองเป็นสถานที่เรียน
ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากพระหนุ่มเณรน้อยไม่น้อย มีผู้มาเล่าเรียนกันมาก

ต่อมา ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) วัดบวรนิเวศวิหาร
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ ณ ตึกหอสมุดมหามกุฎราชวิทยาลัย หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร
ได้ทราบว่าอาจารย์ได้เปิดสอนภาษาและวิชาการสมัยใหม่แก่พระภิกษุสามเณร
ที่วัดกันมาตุยารามดังกล่าวแล้ว วันหนึ่งท่านจึงได้ปรารภกับอาจารย์ว่า
เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ทำไมไม่ตั้งเป็นโรงเรียนสอนกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสีย

จากคำปรารภของ ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) นี้เอง
ที่เป็นแรงกระตุ้นและแรงใจให้อาจารย์เกิดความคิดที่จะก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น
ต่อมาเมื่อได้นำความคิดนี้ไปปรึกษากับพระเถรานุเถระในคณะธรรมยุต
ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นส่วนมาก จะมีติติงอยู่บ้างก็เป็นส่วนน้อย
อันเนื่องมาจากยังไม่ค่อยแน่ใจในระบบการศึกษาและวิธีการ

ในที่สุดพระเถรานุเถระในคณะธรรมยุตก็ได้มีการประชุมกัน
และมีมติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น ในนามของมหามกุฎราชวิทยาลัย
อันเคยเป็นสถาบันการศึกษาของพระสงฆ์มาแต่เดิมแล้วโดยเรียกว่า

“สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย”

เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ แต่ครั้งยังไม่ได้ทรงกรม
ในฐานะองค์นายกกรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
ได้ทรงลงพระนามประกาศตั้ง เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๘๘
สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย จึงเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา
หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกในประเทศไทย

ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ ก็คืออาจารย์สุชีพ
และผู้ที่เป็นแรงผลักดัน และให้การสนับสนุนอย่างสำคัญ
จนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้
ก็คือ ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)
หากขาดแรงสนับสนุนจากพระมหาเถระท่านนี้เสียแล้ว
การจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก

อันที่จริงความดำริที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา
หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นในประเทศไทยนั้น มิใช่เพิ่งเกิดในครั้งนี้เป็นครั้งแรก
เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ได้ทรงพระดำริไว้เมื่อกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้ว

โดยทรงพระดำริที่จะใช้พื้นที่บริเวณบางลำพูทั้งเกาะ เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา
และการที่พระองค์ทรงจัดตั้ง มหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้น ก็เพื่อเป็นการปูทาง
ไปสู่การจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของพระพุทธศาสนา หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์นั่นเอง
แต่ยังมิทันจะได้ทรงดำเนินการตามพระดำริ ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน

ฉะนั้น การจัดตั้งสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ขึ้นครั้งนี้
จึงเป็นการสานต่อพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นให้เป็นจริงขึ้นนั่นเอง

ในระหว่างนี้ อาจารย์ได้เป็นผู้สนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญขึ้นอีกอย่างหนึ่ง
คือ ยุวพุทธิกสมาคม โดย อาจารย์เสถียร โพธินันทะ
ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของอาจารย์ เป็นผู้นำในการจัดตั้ง
แล้วยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ก็ได้จัดตั้งขึ้น ณ วัดกันมาตุยาราม เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๔๙๑
และยังคงเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญองค์กรหนึ่ง
ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยสืบมาจนปัจจุบัน

การลาสิกขาและผลงานในฐานะพุทธศาสนิกชนตัวอย่าง

ลาสิกขา

เมื่อจัดตั้งสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นแล้ว
อาจารย์สุชีพซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระศรีวิสุทธิญาณ
ก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎฯ เป็นรูปแรก
อาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎฯอยู่ ๕ ปี
ได้เป็นผู้วางรากฐานทั้งในด้านวิชาการและการบริหารให้แก่มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้มาตั้งแต่ต้น
ถึงวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๕ อาจารย์ก็ลาสิกขา
การลาสิกขาของอาจารย์นับเป็นข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์เมืองไทยข่าวหนึ่งในยุคนั้น

เมื่ออาจารย์ลาสิกขาแล้ว ท่านเจ้าคุณพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) วัดเทพศิรินทราวาส
ขณะยังเป็นพระมหาประยูร เปรียญ ๙ ก็ได้รับเลือก
ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยต่อมาเป็นรูปที่ ๒
(ต่อมาตำแหน่งเลขาธิการได้เปลี่ยนเป็นอธิการบดี
และผู้ที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นรูปแรกและรูปปัจจุบัน
ก็คือ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปัญญาจารย์ (ประจวบ กนฺตจาโร) วัดมกุฎกษัตริยาราม

ชีวิตการทำงาน

หลังจากที่ลาสิกขาแล้ว อาจารย์ก็ยังช่วยเหลือกิจการของสภาการศึกษามหามกุฎฯอยู่ตลอดมา
โดยการเป็นกรรมการ เป็นที่ปรึกษา
และเป็นอาจารย์บรรยายวิชาทางพระพุทธศาสนาและศาสนาเปรียบเทียบ

อาจารย์ได้เข้ารับราชการครั้งแรกในกระทรวงวัฒนธรรม
(ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ และยุบเลิกไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑)
โดยเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นรัฐมนตรีว่าการ และระหว่างนั้น ได้รับพระราชทานยศในกองทัพเรือเป็น ว่าที่นาวาตรี
ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติอีกตำแหน่งหนึ่ง

ต่อมาได้ลาออกจากกระทรวงวัฒนธรรมแล้วเข้าทำงาน
ในองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อสท.)
ในฐานะที่ปรึกษาและต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ
และรองผู้อำนวยการ ตามลำดับ
อาจารย์ได้ทำงาน ณ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จนกระทั่งเกษียณอายุเมื่อกลางเดือนเมษายน ๒๕๒๐

เมื่อเกษียณอายุจากหน้าที่การงานแล้ว
อาจารย์ก็ได้อุทิศชีวิตให้แก่กิจการทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่
ได้กลับมาช่วยกิจการทางวิชาการของสภามหามกุฎราชวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่
โดยการเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเป็นผู้บรรยายวิชาทางพระพุทธศาสนา
เป็นกรรมการสภาการศึกษาของคณะสงฆ์

นอกจากนี้ ก็ยังได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษ
บรรยายวิชาทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยของรัฐอีกหลายแห่ง
เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยรามคำแหง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น

กิจการทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจารย์ได้เข้ามาช่วยอย่างเต็มตัว
หลังจากที่อาจารย์เกษียณอายุแล้ว ก็คือ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.)
โดยได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการอำนวยการ
อาจารย์ต้องดูแลรับผิดชอบกิจกรรมทางวิชาการของ พสล. เป็นส่วนใหญ่

ลักษณะการประพันธ์อันโดดเด่น

อาจารย์เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการประพันธ์ สามารถประพันธ์ได้ทั้งในเชิงร้อยแก้วและร้อยกรอง
ผลงานในทางการประพันธ์ของอาจารย์ จึงมีทั้งเป็นบทกวีความเรียงทางวิชาการ
บทความ และนวนิยาย ข้อเขียนของอาจารย์ซึ่งรวมไปถึงบทเทศนา
และการบรรยายธรรมด้วย เป็นถ้อยคำสำนวนแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ
แต่กะทัดรัด ชัดเจน และมีความไพเราะอยู่ในตัว

อาจารย์ได้เริ่มแสดงความสามารถในทางการประพันธ์
และการบรรยายตั้งแต่ยังเป็นสามเณรเปรียญ
ผลงานที่โดดเด่นที่ทำให้อาจารย์เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนามว่า “สุชีโวภิกขุ”
และตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือความสามารถในการมอง
และอธิบายพระพุทธศาสนาในแง่มุมที่แปลกใหม่ อันเป็นแง่มุมที่ไม่เคยมีใครมองมาก่อน
หรือเป็นแง่มุมที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
และนำเอาประเด็นที่สำคัญและโดดเด่นของพระพุทธศาสนาในแง่มุมนั้น ๆ
ออกมาแสดงให้คนทั่วไปได้รู้จัก

ตัวอย่างของผลงานของอาจารย์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถดังกล่าวนี้
ก็เช่น หนังสือเรื่อง “คุณลักษณะพิเศษบางประการแห่งพระพุทธศาสนา”
ซึ่งก็มีแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย รวมทั้งบทความและปาฐกถาอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
ผลงานที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของอาจารย์ก็คือการอธิบายพระพุทธศาสนาแนวใหม่
โดยการนำเอาความรู้วิชาการสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ ปรัชญา สังคมศาสตร์ เป็นต้น
มาประยุกต์กับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ทำให้คนทั่วไปเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ดีและง่ายขึ้น
ทั้งทำให้มองคุณค่าของพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาว่ามีความทันสมัย
สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกสถานการณ์
หากศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี

สานต่อพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพมีคุณธรรมเด่นชัดในเรื่องอะไรมากที่สุดที่เราควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

นอกจากนี้ การอธิบายพระพุทธศาสนาในแนวประยุกต์ดังกล่าวนี้
ยังเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า บรรดาศาสตร์หรือวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ
ที่กำลังศึกษาหรือตื่นเต้นกันอยู่ในปัจจุบันนั้น
ล้วนเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้เคยแนะนำสั่งสอนประชาชนมาแล้วทั้งนั้นในหลักการใหญ่ ๆ
ความสามารถในการอธิบายพระพุทธศาสนาแนวใหม่ หรือแนวประยุกต์นี้เอง
ที่ทำให้นาม “สุชีโวภิกขุ” ดังกระฉ่อนไปทั่วประเทศ

ผลงานของอาจารย์ในด้านนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงของอาจารย์เป็นที่รู้จัก
และเป็นที่นิยมชมชอบไปทั่วประเทศเท่านั้น แต่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อวงการศึกษา
และเผยแผ่พระพุทะศาสนาด้วยเป็นอันมาก เพราะเป็นการจุดประกายแห่งความริเริ่ม
และความสนใจในการศึกษาวิจัยทางพระพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นในวงการศึกษา
และวงการนักวิชาการของไทย และในเวลาต่อมาก็ได้มีการศึกษาวิจัยทางพระพุทธศาสนา
ในแนวประยุกต์กันอย่างจริงจัง และกว้างขวางยิ่งขึ้น

ผลงานของอาจารย์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความริเริ่มในด้านนี้
ก็เช่น ความเรียงเรื่อง “พระพุทธศาสนาในแง่ปรัชญาและวิทยาศาสตร์”,
“พระพุทธศาสนากับสันติภาพของโลก”, “แง่คิดบางประการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา” เป็นต้น

ผลงานของอาจารย์ด้านนี้ก็กล่าวได้ว่าเป็นการสานต่อพระดำริ
ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส อีกประการหนึ่งเช่นกัน
เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาพระองค์แรกของไทย
ที่ทรงริเริ่มการอธิบายพระพุทธศาสนาในแนวประยุกต์
หรือการอธิบายพระพุทธศาสนาให้เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อความเข้าใจของคนร่วมสมัย
ดังจะเห็นได้จากงานพระนิพนธ์ของพระองค์ท่าน เช่น พุทธประวัติ ธรรมวิภาค ธรรมวิจารณ์
และธรรมนิพนธ์อื่น ๆ อีกเป็นอันมาก ซึ่งได้ทรงนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นต้น มาประยุกต์ในการอธิบายพระพุทธศาสนา
แต่เมื่อสิ้นสมัยของพระองค์ท่านแล้ว แนวพระดำริดังกล่าวนี้ก็ถูกลืมเลือนไปเพราะไม่มีผู้สานต่อ

ริเริ่มการประพันธ์นวนิยายอิงหลักธรรม
มิติใหม่ของการเผยแผ่พระศาสนา

ผลงานที่เป็นการบุกเบิกของอาจารย์อีกอย่างหนึ่ง
ในทางวรรณกรรมและวงการพระพุทธศาสนาของไทย ก็คือ
การแต่งนวนิยายอิงหลักธรรม

ความบันดาลใจที่ทำให้อาจารย์ริเริ่มงานด้านนี้เกิดขึ้น
เมื่ออาจารย์อ่านเรื่อง กามนิต ของ คาล เยลเลรุป
ขณะเป็นสามเณรอายุราว ๑๕-๑๖ ปี
เรื่องนี้เดิมประพันธ์ขึ้นในภาษาเยอรมัน และแปลเป็นภาษาอังกฤษ
ต่อมาผู้รู้ของไทยได้แปลจากภาษาอังกฤษสู่ภาษาไทยในชื่อว่า กามนิต

นวนิยายเรื่องนี้ผู้ประพันธ์ได้อาศัยเรื่องราวจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
ประกอบกับเรื่องราวจากคัมภีร์ฝ่ายพราหมณ์บ้าง สร้างเป็นเรื่องราวขึ้น
โดยมุ่งให้ผู้อ่านได้รับรสทั้งในแง่วรรณกรรม ศาสนาและศีลธรรม ไปพร้อม ๆ กัน
อาจารย์เห็นว่าเป็นวิธีการสั่งสอนศีลธรรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ดีวิธีหนึ่ง
เมื่ออ่านเรื่องกามนิตในครั้งนั้น อาจารย์มีความประทับใจมากถึงกับตั้งใจไว้ว่า
เมื่อศึกษาพระพุทธศาสนามีความรู้พอ ก็จะแต่งเรื่องทำนองนี้ขึ้นบ้าง

ครั้นอายุได้ ๒๒ ปี ขณะยังเป็นพระเปรียญ ๙ ประโยค อาจารย์ก็สามารถทำได้ตามที่ตั้งใจไว้
คือได้แต่งเรื่อง ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ขึ้น
และนำลงตีพิมพ์ในหนังสือธรรมจักษุ เป็นตอน ๆ เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔
นับเป็นผลงานทางนวนิยายอิงหลักธรรม เรื่องแรกของอาจารย์ และของวงการวรรณกรรมไทยด้วย

เมื่อจบเรื่องใต้ร่มกาสาวพัสตร์ อันเป็นเรื่องราวของพระองคุลิมาลแล้ว
เรื่อง กองทัพธรรม อันเป็นเรื่องของพระสารีบุตร พระธรรมเสนาบดีก็ตามมา
และจากนั้นอาจารย์ก็ได้รับการขอร้องให้แต่งเรื่องอื่น ๆ อีกกลายเรื่องตามลำดับ
คือเรื่อง ลุ่มน้ำนัมมทา เป็นการอธิบายเรื่องราวความเป็นมาของรอยพระพุทธบาท
เรื่อง เชิงผาหิมพานต์ เป็นการสรรเสริญคุณของพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก
เรื่อง อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก เป็นเรื่องราวของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก
เรื่อง นันทะปชาบดี แสดงเรื่องราวของราชวงศ์ศากยะและความเป็นมาของภิกษุณีในพระพุทธศาสนา

ผลงานทางนวนิยายอิงหลักธรรมของอาจารย์
นอกจากจะถือได้ว่า เป็นก้าวใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านวรรณกรรมแล้ว
ยังถือได้ว่าเป็นการริเริ่มมิติใหม่ในวงวรรณกรรมของไทยด้วย
เพราะหลังจากผลงานชั้นบุกเบิกของอาจารย์ปรากฏสู่บรรณโลกแล้ว
ต่อมาไม่นานก็ได้เกิดนวนิยายอิงหลักธรรมโดยนักประพันธ์คนอื่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง
จนเป็นที่รู้จักกันดีและเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านโดยทั่วไป

ผลงานอมตะ “พระไตรปิฎกฉบับประชาชน”

ผลงานที่ทำให้อาจารย์เป็นบุคคลอมตะตลอดไป
ในวงการวิชาการทางพระพุทธศาสนาของไทยก็คือ
พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ซึ่งเป็นการย่อความพระไตรปิฎกจำนวน ๔๕ เล่ม
ให้เหลือเพียง ๕ เล่ม ซึ่งภายหลังได้รวมพิมพ์เป็นหนังสือขนาดใหญ่เล่มเดียวจบ

นับเป็นผลงานที่อาจารย์ผู้ริเริ่ม และทำเสร็จเป็นคนแรกในประเทศไทย
เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาพระไตรปิฎก และศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการช่วยให้คนทั่วไปที่สนใจหรือต้องการจะศึกษาพระไตรปิฎก
สามารถอ่านหรือศึกษาได้สะดวกในเวลาอันสั้น
ช่วยให้เข้าใจสารัตถะและจับประเด็นสำคัญของคำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง
โดยไม่ต้องเสียเวลาอ่านพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม ซึ่งทั้งยากแก่การทำความเข้าใจ
และยืดยาวชวนเบื่อสำหรับคนทั่วไป

ผลงานชิ้นนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากแล้ว
ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกฉานในพระไตรปิฎกและความวิริยะอุตสาหะของอาจารย์
ในอันที่จะสร้างสรรค์สิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาอีกด้วย

ผลงานอมตะ “พจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนา”

งานริเริ่มในทางวิชาการอีกชิ้นหนึ่งของอาจารย์ ที่ควรแก่การบันทึกไว้ในที่นี้ก็คือ
พจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนา ไทย-อังกฤษ และอังกฤษ-ไทย
ซึ่งอาจารย์ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มทำขึ้นเป็นคนแรกในประเทศไทย
และได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ จากนั้นมาก็ได้มีผู้รู้ท่านอื่น ๆ
ได้สร้างงานประเภทนี้ขึ้นมาอีกหลายชิ้น
ซึ่งก่อให้เกิดผลดีแก่วงการศึกษาพระพุทธศาสนาของไทยเป็นอย่างมาก

นอกจากความริเริ่มในทางการศึกษา การเผยแผ่ และทางวรรณกรรมแล้ว
อาจารย์ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้มองเห็นการณ์ไกลในทางวิชาการ
เพราะในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ คือสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยขึ้นนั้น
อาจารย์ได้เป็นผู้ชี้นำให้บรรจุวิชาการใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบุคคลากรของคณะสงฆ์
และเอื้อประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้พระนักศึกษาได้ศึกษาหลายวิชา
เช่น วิชาปรัชญา ตรรกวิทยา ศาสนาเปรียบเทียบ เป็นต้น
โดยบรรจุเป็นวิชาบังคับให้พระนักศึกษาได้ศึกษา ตั้งแต่เริ่มเปิดการศึกษา
ของสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นต้นมา
ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาใด ๆ ในประเทศไทยเปิดสอนวิชาเหล่านี้
สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้บุกเบิก
ในการเปิดสอนวิชาดังกล่าวเหล่านี้ในประเทศไทย
ต่อมาอีกเกือบ ๒ ทศวรรษ มหาวิทยาลัยของรัฐและสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ
จึงได้เริ่มเปิดสอนวิชาเหล่านี้ขึ้น และได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

ตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในสมณเพศตลอดมา จนถึงเวลาที่ยังรับราชการอยู่
อาจารย์มักได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนหรือเป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปประชุมหรือดูงาน
ในด้านพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมในประเทศต่าง ๆ ทั้งในเอเซีย ยุโรป และอเมริกา อยู่เสมอ

โดยลักษณะส่วนตัว อาจารย์เป็นผู้มีอัทธยาศัยอ่อนน้อม
ดำเนินชีวิตแบบสงบและเรียบง่าย มีเมตตากรุณาต่อทุกคน
ไม่เบื่อหน่ายในการที่จะให้คำแนะนำหรือปรึกษาในทางวิชาการแก่ศิษย์หรือผู้สนใจ
มีวาจาในเชิงสร้างสรรค์และส่งเสริมให้กำลังใจแก่ทุกคนที่มีโอกาสพบปะสนทนาด้วยเสมอ
อาจารย์จึงเป็นที่เคารพรักของบรรดาศิษย์และผู้รู้จักคุ้นเคยทั่วไปอย่างจริงจัง

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้ถึงแก่มรณกรรม
ในวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ รวมอายุ ๘๓ ปี

ผลงานใดของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ที่มีความเด่นชัด

ผลงานการประพันธ์ สุชีพได้ผลิตงานวิชาการออกมามากมาย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ งานที่ทำให้อาจารย์สุชีพ โด่งดังมากที่สุดได้แก่ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ซึ่งริเริ่มเขียนตั้งแต่ยังเป็นสามเณรอายุ 18 ปี อีกเล่มหนึ่งที่กล่าวขวัญถึงมากได้แก่ คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพมีคุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่างอะไรบ้าง

2) คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง 2.1 เป็นผู้ใฝ่รู้เป็นอย่างยิ่ง อาจารย์สุชีพเป็นเปรียญ 9 ตั้งแต่อายุพรรษายังน้อย เป็นผู้ฝักใฝ่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ได้นำเอาหลักธรรมมารจนาเป็นนิยายอิงธรรมะหลายเล่ม อันเป็นแนวทางใหม่แห่งการประยุกต์ธรรม เช่น ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เชิงผาหิมพานต์ ฯลฯ

เหตุใดท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ จึงได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย”

สุชีพ ปุญญานุภาพ (13 เมษายน พ.ศ. 2460 — 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2543) เป็นนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับทั้งจากพุทธศาสนิกชนและคณะสงฆ์ไทยอย่างกว้างขวาง ในฐานะที่สมบูรณ์ด้วยวิชาความรู้ทางพระพุทธศาสนาอย่างเยี่ยมยอด หาใครเทียมได้ยาก ในเวลาเดียวกัน ก็มีความประพฤติที่ดีงาม สุภาพอ่อนโยน ระหว่างที่ท่านเคยบวชเป็นพระอยู่ในชื่อว่า สุชีโว ...

ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้สุชีพ ปุญญานุภาพ ว่าอย่างไร

สุชีพ ปุญญานุภาพ เกิด 13 เมษายน พ.ศ. 2460 ที่ตำบลบางไทรป่า อำเภอบางปลา (อำเภอบางเลน ในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 12 คนที่เกิดร่วมพ่อแม่เดียวกัน แต่ทั้งหมดเสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ เหลือท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ท่านว่า "บุญรอด" ภายหลัง ท่านได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น 'สุชีพ' ตามฉายาภาษาบาลี ...