เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิด ในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายทุกชนิดต้องอาศัยน้ำ เซลล์จะไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีน้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ กระบวนการการย่อยอาหาร กระบวนการดูดซึมอาหาร และกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย น้ำที่เป็นของเหลวของเลือด ทำหน้าที่ขนส่งอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์ อีกทั้งนำของเสียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์มาขับถ่ายออกจากร่างกาย กระบวนการไหลเวียนเลือด และกระบวนการขับถ่ายของเสียในร่างกายไม่สามารถเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้น้ำช่วยให้การขับถ่ายกากอาหารในลำไส้ใหญ่เป็นไปโดยสะดวก ความผิดปกติของการถ่ายอุจจาระเกิดขึ้น เนื่องจากขาดสมดุลของการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่เซลล์ลำไส้ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอุจจาระร่วงหลายชนิด สร้างสารพิษที่มีผลต่อกลไกการควบคุมสมดุลสารน้ำภายในลำไส้
สารพิษรวมทั้งสารเคมีในร่างกายที่อาจเป็นพิษ ถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยอาศัยน้ำ เลือดทำหน้าที่ขนส่งสารเหล่านั้นไปทั่วร่างกายซึ่งสารนั้นละลายในน้ำ ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการทำลาย หรือเปลี่ยนแปลงสารพิษด้วยกลไกทางเคมีมากมาย หลายชนิด บางคนกล่าวเปรียบเทียบว่าตับเป็นโรงงานผลิตเอนไซม์ที่ทรงพลัง มากกว่าโรงงานใด ๆ ในโลก กระบวนการขับถ่ายสารพิษเกิดขึ้นร่วมกับการขับถ่ายทางปัสสาวะและอุจจาระ และน้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และช่วยรักษาระดับความเป็นกรดด่างของเลือดรวมทั้งของเหลวต่าง ๆ ในร่างกาย น้ำช่วยระบายความร้อนของร่างกายในรูปของเหงื่อ ซึ่งถือเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพยิ่ง
การสูญเสียน้ำ
ร่างกายเรามีกาสูญเสียน้ำรวมทั้งสิ้นประมาณ 3–5 ลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่ได้รับเลยทีเดียว ปริมาณของน้ำในร่างกายคนไม่แน่นอน ขึ้นกับอายุ ปริมาณของไขมันในร่างกาย และกิจกรรมของแต่ละคน คนที่ทำงานหนักกลางแจ้งอาจสูญเสียน้ำ 5 –12 ลิตรต่อวัน หรือคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บก็อาจเสียสมดุลของน้ำในร่างกายได้ง่าย โดยร่างกายจะสูญเสียน้ำทาง
- ผิวหนัง มีทั้งที่เรามองเห็นออกมาในรูปของเหงื่อ และน้ำที่ระเหยไปโดยที่เรามองไม่เห็น
- ปอด โดยการหายใจออก
- ทางอุจจาระ
- ทางปัสสาวะ
แล้วเราควรดื่มน้ำ ปริมาณ หรือ มากแค่ไหนใน 1 วัน ??
เราควรพยายามดื่มน้ำให้เป็นนิสัยโดย สำหรับผู้ชายควรดื่มไม่น้อยกว่า 3.7 ลิตร/วัน และหญิงควรไม่น้อยกว่า 2.7 ลิตรต่อวัน หรือวิธีง่ายๆ ก็สังเกตสีของปัสสาวะ ถ้าหากปัสวะมีสีเข้มแสดงว่าเราดื่มน้ำน้อยไป ถ้าหากสีปัสาวะต้องมีสีเหลือจางๆสภาพใส ไร้มูกหรือสิ่งเจอปนถือว่าอยู่ในระดับปรกติ
หวังว่าทุกคน คงจะให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำมากขึ้นและ ฝึกให้เป็นความเคยชินถึงแม้บางครั้งเราไม่รู้สึกหิวกระหายน้ำก็ตาม และลดการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟ ชานมไข่มุก มาดื่มน้ำเปล่าในอุณภูมิห้องปรกติเป็นประจำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับคนที่ออกกำลังกาย ระหว่างออกควรจิบน้ำไปด้วยเป็นระยะ จิบ เพราะขณะที่เราออกกำลังกายร่างกายเราจะสูญเสียน้ำเพื่อระบายความร้อน ออกมาในรูปของเหงื่อ ถ้าเราไม่จิบน้ำอาจเกิดภาวะร่างกายขาดน้ำได้ง่าย
ด้านแพทย์หญิงนฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กล่าวว่า กลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการดื่มน้ำให้เหมาะสม ได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคไต โรคหัวใจ จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนบางกลุ่มยังมีความเชื่อว่า การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยทำให้ผอมลง หรือกินน้ำบ่อยๆให้อิ่มเพื่อลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายไม่อยากอาหาร วิธีการเช่นนี้จะทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือโซเดียมมากยิ่งขึ้น การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้นอนไม่พอ เนื่องจากต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มนักกีฬาหรือผู้ออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมากขณะออกกำลังกายอยู่แล้ว ก็ไม่ควรดื่มน้ำเกิน 1 ลิตรในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายสูญเสียเกลือโซเดียมไปพร้อมกับเหงื่อ หากดื่มน้ำมากเกินไป น้ำจะไปเจือจางเกลือโซเดียมที่เหลืออยู่ ทำให้เกิดภาวะไฮโปแนทรีเมียได้เช่นกันหน้าที่สำคัญที่สุดของน้ำ คือ เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายทุกชนิดต้องอาศัยน้ำ เซลล์จะไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีน้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ กระบวนการการย่อยอาหาร กระบวนการดูดซึมอาหาร และกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
น้ำที่เป็นของเหลวของเลือดทำหน้าที่ขนส่งอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์ อีกทั้งนำของเสียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์มาขับถ่ายออกจากร่างกาย กระบวนการไหลเวียนเลือดและกระบวนการขับถ่ายของเสียในร่างกายไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ถ้าปราศจากสมดุลของสารน้ำในร่างกาย
น้ำช่วยให้การขับถ่ายกากอาหารในลำไส้ใหญ่เป็นไปโดยสะดวก ความผิดปกติของการถ่ายอุจจาระเกิดขึ้นเนื่องจากขาดสมดุลของการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่เซลล์ลำไส้ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอุจจาระร่วงหลายชนิดสร้างสารพิษที่มีผลต่อกลไกการควบคุมสมดุลสารน้ำภายในลำไส้
สารพิษ รวมทั้งสารเคมีในร่างกายที่อาจเป็นพิษ ถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยอาศัยน้ำ เลือดทำหน้าที่ขนส่งสารเหล่านั้นไปทั่วร่างกายซึ่งสารนั้นละลายในน้ำ ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสารพิษด้วยกลไกทางเคมีมากมายหลายชนิด บางคนกล่าวเปรียบเทียบว่าตับเป็นโรงงานผลิตเอนไซม์ที่ทรงพลังมากกว่าโรงงานใดๆในโลก กระบวนการขับถ่ายสารพิษเกิดขึ้นร่วมกับการขับถ่ายทางปัสสาวะและอุจจาระ
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อระบบการทำงานของร่างกาย ทั้งช่วยลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย รักษาระดับความดันโลหิต ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันการเกิดอาการท้องผูก และประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย
อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินพอดีอาจส่งผลให้เซลล์ในร่างกายเกิดอาการบวม และระดับแร่ธาตุในร่างกายเกิดการเจือจางและเสียสมดุล โดยเฉพาะโซเดียม ซึ่งอาจนำไปสู่อาการผิดปกติทางร่ายกายตามมา
สัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังดื่มน้ำมากเกินไป
- ลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น และปัสสาวะเริ่มเปลี่ยนสี
การลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นถือเป็นสัญญาณแรก ๆ ที่กำลังบ่งบอกถึงการดื่มน้ำที่มากเกินไป โดยจำนวนการเข้าห้องน้ำในหนึ่งวันจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6–8 ครั้งต่อวัน และสัญญาณอีกอย่างที่มักพบได้เมื่อดื่มน้ำมากเกินไปคือ สีของปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีใส ซึ่งสีของน้ำปัสสาวะในสภาวะที่ร่างกายเป็นปกติหรือได้รับน้ำที่เพียงพอ ควรจะเป็นสีเหลืองใสอ่อน ๆ
- พบอาการผิดปกติบางอย่างทางร่างกาย
การดื่มน้ำในปริมาณมากมักไม่พบอาการผิดปกติในช่วงแรก แต่หากยังดื่มน้ำปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ไตไม่สามารถขับน้ำออกไปได้หมด และอาจเกิดอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย รวมถึงทำให้ไตทำงานหนักขึ้นจนร่างกายเกิดความเครียดและอาการอ่อนเพลียตามมา
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าการดื่มน้ำมากเกินไปอาจส่งผลให้เซลล์ในร่างกายมีน้ำไปสะสมอยู่จนเกิดอาการบวม ซึ่งภาวะดังกล่าวอาจนำไปสู่อาการผิดปกติบางอย่างได้ เช่น อาการมึนงง สับสน ปวดศีรษะ และง่วงซึมจากการที่เซลล์ในสมองบวมจนสมองได้รับแรงกดทับ หรือบริเวณริมฝีปาก เท้า และมือ มีอาการบวมและเปลี่ยนสีไปจากการที่เซลล์บริเวณดังกล่าวบวม
นอกจากนี้ การดื่มน้ำที่มากเกินไปอาจส่งผลให้ระดับแร่ธาตุในร่างกายลดลงผิดปกติ โดยเฉพาะโซเดียม ส่งผลให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหรือตะคริว ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจนำไปสู่ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการชัก สูญเสียการรับรู้รอบตัว โคม่าไปจนถึงการเสียชีวิตได้
ดื่มน้ำมากเกินไปไม่เป็นผลดี แล้วควรดื่มน้ำปริมาณเท่าไร
การดื่มน้ำควรอยู่ในปริมาณที่พอดีต่อความต้องการของร่างกาย ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปหรือดื่มน้ำน้อยเกินไป โดยปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น กิจกรรมที่ทำ เพศ น้ำหนักตัว และสภาพอากาศที่อาศัยอยู่ เป็นต้น
ในเบื้องต้นอาจลองคำนวณปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมได้จากการนำน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมหารด้วย 30 ก็จะได้ปริมาณน้ำหน่วยเป็นลิตรที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน ตัวอย่างเช่น หากน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ก็ควรจะดื่มน้ำให้ได้ประมาณวันละ 1.66 ลิตรต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เสียเหงื่อมากเป็นประจำ สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร มีไข้ มีอาการอาเจียน ท้องเสีย กำลังป่วยเป็นโรคบางชนิด และคนที่ออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติเล็กน้อยหรือดื่มตามคำแนะนำของแพทย์
ทั้งนี้ แม้จะคำนวณปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมอย่างคร่าว ๆ ในแต่ละวันมาแล้ว แต่ควรแบ่งปริมาณการดื่มน้ำในระหว่างวันให้เหมาะสม โดยอาจสังเกตจากสัญญาณของร่างกาย อย่างความรู้สึกกระหายน้ำ ซึ่งการดื่มน้ำที่ดีควรจิบทีละน้อยตลอดทั้งวัน ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปในเวลาสั้น ๆ หรือดื่มน้ำมากกว่า 1 ลิตรภายใน 1 ชั่วโมงติดต่อกัน