คนส่วนใหญ่มักมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการแพ้ยา เมื่อใดก็ตามที่มีอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการใช้ยา เช่น หลังทานยาแล้วง่วงนอน ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน แสบท้อง หรือมีผื่นขึ้น ก็จะเข้าใจกันว่าเป็นอาการแพ้ยาทั้งสิ้น ซึ่งความจริงแล้วอาการต่างๆ เหล่านี้เรียกรวมๆ ได้ว่าเป็นอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โดยอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยานั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ อาการข้างเคียงจากยา (Side effect) และการแพ้ยา (Drug allergy) ซึ่งการปฏิบัติตัวและการจัดการกับอาการข้างเคียงจากยาและการแพ้ยานั้นจะมีความแตกต่างกัน
อาการข้างเคียงจากยา (Side effect)
หมายถึง ผลใดๆ ที่ไม่ได้จงใจให้เกิดขึ้นจากยา ซึ่งเกิดขึ้นในการใช้ตามขนาดปกติในมนุษย์ และสัมพันธ์กับคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยา หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ว่าเกิดจากฤทธิ์ของยาเอง เช่น ทานยาแก้ปวด Ibuprofen แล้วมีอาการแสบท้องเนื่องจากยาระคายกระเพาะ เรียกว่าเป็นผลข้างเคียงจากยา อาจแก้ไขโดยทานยาหลังอาหารทันที ห้ามทานตอนท้องว่าง ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยเป็นโรคกระเพาะอาจต้องทานยาลดการหลั่งกรดร่วมด้วย ยารักษาความดันโลหิตสูง ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตของผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติ แต่บางครั้งอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ จนมีผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงจากความดันโลหิตต่ำจากยาได้ เช่น ลุกขึ้นแล้วหน้ามืด ใจสั่น หรือยารักษาโรคเบาหวาน ถ้าใช้เกินขนาด หรือผู้ป่วยทานอาหารน้อยลง อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยจะมีอาการใจเต้น ใจสั่น เหงื่อออก ถ้ามีอาการมากอาจจะหมดสติ ยาบางชนิดมีผลข้างเคียง ทำให้ง่วงนอน เช่น ยาในกลุ่มยาแก้แพ้ เช่น Chlorpheniramine, Hydroxyzine หลังทานยาควรหลีกเลี่ยงการขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน เช่น Doxycycline อาจแก้ไขโดยทานยาพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าอาการข้างเคียงจากยาเป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ของยาเอง และสามารถจัดการแก้ไขได้โดยการปรับเปลี่ยนวิธีทานยา และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องห้ามใช้ยาเสมอไป
การแพ้ยา (Drug allergy)
เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านยาที่ได้รับเข้าไป ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าผู้ใดจะแพ้ยาตัวไหน ลักษณะอาการแพ้ยา เช่น หลังทานยาแล้วมีผื่นคัน เปลือกตาบวม ริมฝีปากบวม มีแผลบริเวณเยื่ออ่อน ผิวหนังไหม้ เป็นต้น โดยหากพบว่าทานยาแล้วมีอาการแพ้ยาควรหยุดยาที่ต้องสงสัยทั้งหมด และพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างถูกวิธี และห้ามทานยาที่แพ้ซ้ำอีก เพราะจะทำให้เกิดการแพ้ซ้ำ และอาการแพ้อาจรุนแรงขึ้นจนบางครั้งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ควรมีการจดบันทึกชื่อยาไว้ แจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งว่าท่านแพ้ยาชื่ออะไร
โดยสรุป ถ้าจะเปรียบเทียบลักษณะอาการข้างเคียงจากยา และการแพ้ยานั้น อาการข้างเคียงจากยาเกิดจากฤทธิ์ของยาจะพบได้มากกว่าคือร้อยละ 95 อาการจะรุนแรงน้อยกว่า และอัตราการตายน้อยกว่า ส่วนการแพ้ยาแม้จะพบได้น้อยคือประมาณร้อยละ 5 แต่อาการมักจะรุนแรงกว่า และมีอัตราการตายสูงกว่า เนื่องจากแพทย์ไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดกับใครและอย่างไร ดั้งนั้น การจดจำและสังเกตยาที่ท่านแพ้เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ตัวท่านเองปลอดภัยจากการใช้ยา
คลื่นไส้อาเจียน อาการเริ่มต้นของอาการป่วยหลาย ๆ อาการ หรือ แม้แต่เดินทาง ขึ้นรถ ลงเรือ ก็ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
คลื่นไส้ เป็นอาการผะอืดผะอม อึดอัดมวนภายในท้อง ทำให้รู้สึกอยากอาเจียน แต่ยังไม่อาเจียน มักจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
อาเจียน คือ อาการสำรอกอย่างแรง เพื่อให้สิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารย้อนกลับออกมาทางปากอย่างรวดเร็ว โดยใช้กำลังของกล้ามเนื้อท้องและกล้ามเนื้อหายใจ รวมทั้งกะบังลม วันนี้เราจึงมีเทคนิคแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนมาฝากกัน
- สูดหายใจลึกๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด จะช่วยเพิ่มออกซิเจนในร่างกาย และบรรเทาอาการวิงเวียนหรือปวดหัวได้
- นั่งในที่อากาศปลอดโปร่ง หลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางสถานที่แออัด หรือมีผู้คนพลุกพล่าน เพราะจะยิ่งทำให้เราหายใจไม่ออก และคลื่นไส้มากยิ่งขึ้น
- ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ การค่อยๆ จิบเครื่องดื่มเย็นๆ จะช่วยให้เราสดชื่น และแก้อาการเมา วิงเวียน และคลื่นไส้ได้ อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้รสเปรี้ยวผสมโซดา แต่ควรค่อยๆ จิบทีละน้อย
- ทานยาแก้คลื่นไส้อาเจียน หากรู้ตัวอยู่แล้วว่าเรามักมีอาการคลื่นไส้ เมารถ เมาเรือ และใช้เทคนิคไหนก็เอาไม่อยู่ วิธีที่ได้ผลที่สุดคือการทานยาแก้คลื่นไส้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรให้เป็นผู้สั่งจ่ายยาให้ จะดีและปลอดภัยที่สุด
1. ยาที่กินเข้าไป อาจมีการระคายเคืองกระเพาะอาหาร (มักมีระบุในเอกสารกำกับยา หรือสอบถามจากเภสัชกร) ถ้าเป็นเพราะกรณีนี้ ควรกินยาหลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอา หาร
2. กรณียาที่กินอยู่มีผลข้างเคียงเนื่องจากตัวยาเอง ให้ทานยาแก้อาเจียน Motilium-M (Domperidone 10 mg) โดยทาน 1 เม็ด ก่อนอาหาร 30 นาที หรือ เวลามีอาการครับ
อนึ่ง ทั้ง 2 กรณี ถ้ามีการอาเจียนเกิดขึ้น ควรทานเกลือแร่ ORS (Oral rehydration salts) ร่วมด้วย โดยชงผงเกลือแร่ 1 ซอง ต่อน้ำ 1 แก้ว เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากการอาเจียน แต่ถ้าอาเจียนทุกครั้งที่กินยา ควรปรึกษาแพทย์
ข. ในกรณีของเด็กที่กินยาแล้วอาเจียน อาจปฏิบัติดังนี้
1. ในกรณีของ ยาเม็ด อาจบดยาแล้วผสมกับน้ำหวานหรือน้ำผึ้ง เพื่อลดอาการอาเจียน กรณีของยาน้ำก็อาจผสมน้ำหวานหรือน้ำผึ้งเพื่อช่วยให้ทานยาง่ายขึ้น และลดอาการอาเจียน ถ้ายาที่ทานมีการระคายกระเพาะอาหาร (อ่านได้จากเอกสารกำกับยา หรือสอบถามเภสัชกร) ก็ให้ทานยาพร้อมอาหาร หรือ หลังอาหารทันที
2. ควรกินยาแก้อาเจียน Motilium-M syrup (Domperidone 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ทาน 1/4 ช้อนชาต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) ทุก 8 ชั่วโมง หรือก่อนอาหาร 30 นาที เพื่อคุมการอาเจียนด้วย
ทั้งนี้ ในเด็กควรจะทานเกลือแร่ ORS เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ (แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ‘วิธีกินผงละลายเกลือแร่ในเด็ก’) เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากการอาเจียนด้วย โดยทานประมาณ 50 มิลลิลิตร (ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ถ้าเด็กอาเจียนมาก หรือ อาเจียนทุกครั้งที่ทานยา ควรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะกรณี เด็กอ่อน และเด็กเล็ก