ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ doc

ประวัติของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

        นับแต่โบราณมนุษย์ได้มีความพยายามคิดค้นหาตัวช่วยหรือเครื่องมือที่ช่วยในการคํานวณ ตัวอย่างเครื่องมือที่ช่วยในการคํานวณที่เก่าแก่ที่สุด ได้แก่ ลูกคิด (abacus) ซึ่งถูกคิดค้นกว่าเมื่อ 5,000 ปีมาแล้วจากนั้นก็ได้มีความพยายามคิดค้นเครื่องมือใหม่ ๆ มาช่วยในการคํานวณมากมาย จนกระทั่งได้มีการคิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้น โดยอาจแบ่งยุคของคอมพิวเตอร์ได้ 5 ยุค ดังนี้

 1. คอมพิวเตอร์ยุคแรก (1940-1956) เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกมีขนาดใหญ่ เนื่องจากถูกสร้างจากหลอดสุญญากาศ (vacuum tube) นอกจากนี้ยังใช้กําลังไฟสูงและเกิดความร้อนมาก ทําให้เครื่องร้อนจัดแม้จะมีระบบระบายความร้อนแล้ว หน่วยความจําเป็นดรัมแม่เหล็ก (magnetic drum) สื่อที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือบัตรเจาะรู การสั่งงานใช้ภาษาเครื่อง (machine language) ซึ่งเป็นรหัสตัวเลขฐานสอง (binarydigit) ที่มนุษย์เข้าใจได้ยาก 

ภาพที่ 1 คอมพิวเตอร์ยุคแรก

ที่มา : //web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/hardware/index01.htm

 2. คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 (1956-1963) เป็นยุคที่หันมาใช้ทรานซิสเตอร์ (transistor) แทนหลอดสุญญากาศ ทําให้กินไฟน้อยลง มีความร้อนน้อยลงมาก และมีขนาดเล็กลง รวมถึงมีประสิทธิภาพการทํางานดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสํารองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาขึ้นไปเป็นภาษาสัญลักษณ์ ได้แก่ ภาษาแอสแซมบลี (assembly) และภาษาระดับสูงที่คนสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ทําให้การเขียนโปรแกรมสามารถทําได้ง่ายขึ้น

 ภาพที่ 2 หลอดสูญญากาศ

ที่มา : //www.chakkham.ac.th/technology/computer/web02.htm

 3. คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 (1964-1971) เป็นยุคที่มีการคิดค้นแผงวงจรรวม (integrated circuit: IC) ขึ้น ซึ่งมีผลให้คอมพิวเตอร์ทํางานเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก แผงวงจรรวมเป็นชิป (chip) ขนาดเล็กที่ทํางานได้เทียบเท่าทรานซิสเตอร์หลายร้อยตัว ทําให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทํางานเร็วขึ้นแต่มีขนาดเล็กลง ผู้ใช้ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางแป้นพิมพ์ (keyboard) และจอภาพ (monitor) ทําให้การป้อนข้อมูลและการเขียนโปรแกรมทําได้ง่ายขึ้น ในยุคนี้เป็นยุคที่มีภาษาระดับสูงถูกพัฒนาขึ้นมากมาย เช่น ภาษาอาร์พีจี (RPG) ภาษาเบสิก (BASIC) เป็นต้น

ภาพที่ 3 ไอซี

ที่มา : //oknation.nationtv.tv/blog/patumnafang/2012/08/27/entry-1

 4. คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 (1971-1984) มีการพัฒนาแผงวงจรรวมขนาดใหญ่ (Large-ScaleIntegration : LSI) และจากนั้นก็มีการพัฒนาเป็น แผงวงจรขนาดใหญ่มาก (Very Large-Scale Integartion :VLSI) โดยชิปตัวเดียวมีความสามารถเทียบเท่าทรานซิสเตอร์นับล้านตัว ทําให้เกิดไมโครโปรเซสเซอร์

(microprocessor) ตัวแรกของโลกขึ้นคือ Intel 4004 ที่ผลิตโดยบริษัทอินเทล คอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และราคาถูกลงจนคนทั่วไปสามารถหาซื้อได้ มีการใช้

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer : PC) กันอย่างแพร่หลาย ด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาไปอย่างมากเช่นกัน มีภาษาคอมพิวเตอร์ที่เขียนได้ง่ายขึ้น เช่น ภาษาซี (c) ภาษาปาสคาล (pascal) มีการพัฒนา

ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (database)

 5. คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 (1985-ปัจจุบัน) จากยุคที่ 4 ซึ่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิดผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น มีการแข่งขันสูง ราคาของคอมพิวเตอร์จึงถูกลง มีการพัฒนาส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิก (Graphic User Interface : GUI) ซึ่งทําให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ง่ายขึ้น ความก้าวหน้าด้านการสื่อสารข้อมูลก็มีมากขึ้น ทําให้เกิดการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกันเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ กลายเป็นระบบอินเทอร์เน็ต (internet) ด้านฮาร์แวร์เครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง เป็นอุปกรณ์ที่พกพาได้ง่าย เช่น แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ สายรัดข้อมืออัจฉริยะ เป็นต้น

ภาพที่ 4 คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

ที่มา : //bcom57233.blogspot.com/2014/07/blog-post.html

ประเภทของคอมพิวเตอร์

       คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถจําแนกตามขนาดและประสิทธิภาพในการทํางานของเครื่องได้เป็น4 ประเภท คือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer) และไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer)

 1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในการคํานวณและประมวลผลสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แก้ปัญหาที่ซับซ้อนและต้องการความอย่างรวดเร็ว เช่น งานควบคุมทางอวกาศ งานควบคุมขีปนาวุธ งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ และการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลาย ๆ วัน เป็นต้น

ภาพที่ 5 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 

ที่มา : //sites.google.com/a/pccpl.ac.th/computertech/

 2.เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ตัวเครื่องอาจมีลักษณะเป็นตู้และต้องมีห้องเครื่องโดยเฉพาะ มีหน่วยความจําขนาดใหญ่มาก สามารถให้บริการผู้ใช้จํานวนหลายร้อยคนที่ใช้โปรแกรมที่แตกต่างกันพร้อม ๆ กันได้ มักใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสําหรับเป็นศูนย์บริการข้อมูลต่าง ๆ เช่น ธนาคาร และบริษัทข้ามชาติ เป็นต้น

ภาพที่ 6  เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ 

ที่มา : //chay-1234.blogspot.com/2010/11/mainframe-computer.html

 3. มินิคอมพิวเตอร์ เดิมเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง (midrange computer) แต่ปัจจุบันขนาดของเครื่องเล็กลงและมีขนาดใกล้เคียงกับไมโครคอมพิวเตอร์ แต่มีความเร็วสูงกว่า ส่วนใหญ่จะนําไปใช้เป็นศูนย์กลางของข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) ขององค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่เรียกว่า เซิร์ฟเวอร์ (server) หรือเครื่องแม่ข่ายนั่นเอง

 ภาพที่ 7 มินิคอมพิวเตอร์

ที่มา : //web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/hardware/index2.htm

 4. ไมโครคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer) มักเรียกสั้น ๆว่า พีซี (PC) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่นิยมใช้งานส่วนตัวหรืองานสํานักงานทั่วไป แบ่งได้หลายลักษณะตามขนาด ได้แก่ เดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ (desktop computer) โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ (notebookcomputer) แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ (tablet computer) และคอมพิวเตอร์มือถือ (handheld computer)

           4.1 เดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาสําหรับวางบนโต๊ะหรือใต้โต๊ะ ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นแบบแนวตั้ง (vertical model) หรือแบบทาวเวอร์ (tower model) อุปกรณ์รับเข้าและอุปกรณ์ส่งออก เช่น เมาส์ (mouse) คีย์บอร์ด (keyboard) และเครื่องพิมพ์ (printer) จะอยู่ภายนอกตัวเครื่อง

           4.2 โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ หรือแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถระดับเดียวกับเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ แต่มีขนาดเล็ก น้ําหนักเบาสามารถนําติดตัวไปยังที่ต่าง ๆ ได้ การทํางานของโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี และพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากการเสียบปลั๊กไฟโดยตรง อุปกรณ์รับเข้าทั้งคีย์บอร์ดและแผ่นสัมผัส (touch surface)อยู่รวมกับตัวเครื่อง ส่วนอุปกรณ์ส่งออกซึ่งได้แก่จอภาพจะเชื่อมต่อกับตัวเครื่องด้วยบานพับ

           4.3 แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ตพีซี (tablet PC) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ น้ําหนักเบา พกพาสะดวก รับข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านจอสัมผัส(touch screen) โดยใช้ปากกาดิจิทัล (digital pen) หรือปลายนิ้ว แทนการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ การทํางานของแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรีเช่นเดียวกับโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์แต่ใช้ได้นานกว่า

           4.4 คอมพิวเตอร์มือถือ หรือเครื่องช่วยงานส่วนบุคคลแบบดิจิทัล (personal digitalassistant) เรียกสั้น ๆ ว่า พีดีเอ (PDA) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุด สามารถพกพาไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้เกือบทุกที่ เหมาะสําหรับการกําหนดนัดหมาย การเก็บที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ รวมถึงการเล่นเกมต่าง ๆ ได้รับความนิยมอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสมาร์ทโฟน

 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี

       ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารทําให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจําวันของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกล่าวได้ว่ามีการนําไปใช้ในทุกวงการหรือสายงานเลยทีเดียว ซึ่งในหัวข้อนี้จะขอยกตัวอย่างดังนี้

 1. เทคโนโลยีกับภาครัฐ

จะเห็นได้ว่าภาครัฐมีความตระหนักถึงความจําเป็นในการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งาน เช่น การบันทึกข้อมูลประชาชนในงานทะเบียนราษฎร์ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเกิด ตาย การย้ายที่อยู่ หรือการทําบัตรประชาชน โดยมีโครงการสมาร์ทการ์ด (smart card) ซึ่งอยู่ในโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) ตั้งแต่ปี 2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การบริการในภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้

มีหน่วยงานในภาครัฐอีกหลายแห่งได้รับการผลักดันในมีบริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น กรมสรรพากรเปิดบริการ (e-revenue) ให้ยื่นแบบเสียภาษีผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

 2. เทคโนโลยีกับธุรกิจ

แวดวงธุรกิจเป็นแวดวงที่มีการแข่งขันสูง ยิ่งในยุคสารสนเทศที่ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วยิ่งทําให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานในการดําเนินงาน เช่น นําระบบโปรแกรมบัญชีมาใช้งานแทนการลงบัญชีในสมุด นําโปรแกรมประมวลผลคํามาใช้แทนการเขียนหรือพิมพ์เอกสารด้วยเครื่องพิมพ์ดีด การนําโปรแกรมนําเสนอมาช่วยนําเสนองานแก่ลูกค้าหรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีหลายธุรกิจที่นําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริการลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น

           2.1 เทคโนโลยีกับสายการบิน

สายการบินนับว่าเป็นธุรกิจที่นําเทคโนโลยีมาใช้ในการดําเนินงานมากที่สุดอย่างหนึ่ง นับตั้งแต่การสํารองที่นั่งโดยสาร ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถสํารองที่นั่งได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งสามารถ เช็คที่นั่ง ซื้อบริการเสริม หรือเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ํา (low cost airline) ที่พยายามลดต้นทุนการสํารองที่นั่งโดยใช้แรงงานคน รวมถึงค่านายหน้าที่ต้องจ่ายให้กับตัวแทน (agent) ทําให้มีการผลักดันให้ผู้โดยสารจองที่นั่งผ่านเว็บด้วยตนเอง เห็นได้จากโปรแกรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ รวมทั้งการเปิดจองที่นั่งล่วงหน้าหลาย ๆ เดือนก็เป็นกลยุทธในการสร้างรายได้ให้กับสายการบินเช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยลดเอกสารที่เป็นกระดาษทั้งในสํานักงานรวมถึงมีการออกตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (e-ticket) ให้ผู้โดยสารผ่านทางอีเมลอีกด้วย

           2.2 เทคโนโลยีกับสถาบันการเงิน

สถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร มีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการดําเนินงานและให้บริการลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน นับตั้งแต่การนําเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (Automatic Teller Machine :ATM) มาให้บริการแก่ลูกค้า สําหรับในประเทศไทยธนาคารไทยพาณิชย์ธนาคารแรกที่นําเครื่องฝากและถอนเงินอัตโนมัติหรือเอทีเอ็มมาใช้ในปี 2526 และต่อมาธนาคารอื่น ๆ ก็นํามาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ในปัจจุบันมีการพัฒนาระบบธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ (e-banking) ซึ่งทําให้ลูกค้าของธนาคารสามารถทําธุรกรรมทางการเงิน เช่น การจ่ายค่าบริการสินค้า โอนเงิน ซื้อของ ผ่านทางเว็บไซต์ของทางธนาคาร หรือผ่านทางโมบายแอพพลิเคชั่นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อย่างไรก็ตามยังมีข้อควรระวังในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานซึ่งผู้ใช้ควรศึกษาหาความรู้และติดตามข่าวสารเพื่อป้องกันตนเองด้วย

           2.3 เทคโนโลยีกับการธุรกิจนําเข้าและส่งออกสินค้า

การนําเข้าและส่งออกสินค้า หรือ อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต (import/export) มีการปรับปรุงบริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ เช่น กรมศุลกากรมีระบบ e-tracking ซึ่งใช้ติดตามสถานะการผ่านพิธีการศุลกากรทางอินเตอร์เน็ตว่าอยู่ในสถานะใด เช่น ข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้า ใบขนสินค้าขาออก ข้อมูลบัญชีสินค้าและข้อมูลใบกํากับการขนย้ายสินค้า เป็นต้น เป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการไม่ว่าจะอยู่แห่งใดก็สามารถสอบถามข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลาไปรษณีย์ไทยได้นําระบบติดตามและตรวจสอบสิ่งของฝากส่งทางไปรษณีย์มาให้บริการผ่านทางเว็บไซต์ //track.thailandpost.co.th/ ซึ่งทําให้ผู้ส่งสิ่งของทางไปรษณีย์ ไม่ว่าจะเป็น จดหมายลงทะเบียน พัสดุภัณฑ์ EMS ที่กังวลใจว่าเอกสารหรือสิ่งที่ส่งไปสูญหายหรือไม่ สามารถนําเลขที่ใบเสร็จมากรอกลงในเว็บเพื่อตรวจสอบได้ว่าของที่ส่งอยู่ไหนสถานะหรือส่งมาถึงที่ใด

 3. เทคโนโลยีกับการแพทย์

มีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานกับทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย ทั้งการพัฒนาเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษา เช่น เครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจ เครื่องตรวจวัดคลื่นสมอง เครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ที่สามารถตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายโดยสร้างภาพ 3 มิติของอวัยวะภายใน ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือการพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดซึ่งสามารถผ่าตัดผ่านกล้อง ช่วยให้คนไข้มีแผลเล็กลงและฟื้นตัวได้ไวขึ้น นอกจากนี้มีการสร้างฐานข้อมูลประวัติคนไข้ ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจสอบประวัติการเจ็บป่วยเบื้องต้น การแพ้ยา กลุ่มเลือด ฯลฯ ทําให้การตรวจรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

 4. เทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์

กล่าวได้ว่าเทคโนโลยีเป็นผลมาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็ทําความการจัดเก็บ วิเคราะห์ วิจัย เพื่อค้นหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น จะเห็นว่าหลังมีการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยขึ้น มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการวิจัยหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆมากมาย เช่น การถอดรหัสพันธุกรรมที่มีความซับซ้อนด้วยซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้หากใช้มนุษย์หรือเครื่องช่วยคํานวณธรรมดา

 5. เทคโนโลยีกับการศึกษา

สถานศึกษาต่าง ๆ ได้ให้ความสําคัญในการนําเทคโนโลยีมาช่วยในการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ซึ่งทําให้รูปแบบการเรียนการสอนเปลี่ยนไป ผู้เรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ และยังมีภาพและเสียงจากระบบมัลติมีเดียช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียนมากขึ้นนอกจากนั้นยังสามารถให้ผู้เรียนทําแบบฝึกหัดทบทวนบทเรียนด้วยตนเอง มีการให้คะแนนเพื่อประเมินตนเองหรือแม้กระทั่งการสร้างบทเรียนออนไลน์ ทําให้สามารถศึกษาผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากที่ไหนก็ได้ ซึ่งการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวรู้จักกันดีในชื่อ e-learning นั่นเอง

 เทคโนโลยีสมัยใหม่

     ปัจจุบันเทคโนโลยีได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ได้มีผลทําให้การดําเนินชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยม หรือมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

 1. Internet of Things

Internet of Things หรือเรียกย่อ ๆ ว่า IoT คือเทคโนโลยีที่เชื่อมอุปกรณ์และ เครื่องมือต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยที่มนุษย์สามารถสั่งการ ควบคุมการใช้งานต่าง ๆ ผ่านทางเครือข่าย เช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องใช้สํานักงาน เครื่องใช้ในชีวิตประจําวัน โดยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ดังนี้

          1.1 ประยุกต์ใช้ IoT ในบ้าน เป็นการเชื่อมโยงอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ทีวี ตู้เย็น หม้อหุงข้าว โทรศัพท์ แอร์ เครื่องทําน้ําอุ่น กล้องวงจรปิด เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น ขณะขับรถกลับบ้านสามารถที่จะใช้มือถือสั่งเปิดแอร์ที่บ้านก่อนที่จะกลับถึงบ้าน หรือตู้เย็นอัจฉริยะที่สามารถตรวจสอบสิ่งของภายในตู้เย็นและสามารถแจงข้อมูลได้โดยทันที

          1.2 ประยุกต์ใช้ IoT กับอุปกรณ์สวมใส่ เป็นอุปกรณ์ส่วนบุคคลแบบสวมใส่ เช่น หูฟัง แว่นตานาฬิกา สายรัดข้อมือ กําไล เป็นต้น ยกตัวอย่าง นาฬิกาสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับโทรศัพท์มือถือ การสั่งงานด้วยเสียง แจ้งเตือนการโทรเข้า หรือข้อความต่าง ๆ 

          1.3 ประยุกต์ใช้ IoT ในการดูแลเมือง เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ใช้ในการบริหารจัดการในระดับเมือง เช่น การจัดการจราจร น้ํา ขยะ พลังงาน เป็นต้น 

          1.4 ประยุกต์ใช้ IoT ทางการแพทย์ เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องด้านสุขภาพ ทางการแพทย์ เช่น สายรัดข้อมือใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และวัดความดันโลหิต การคํานวณการเดิน การวิ่งการออกกําลังกาย การรับประทานอาหาร

 2. การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ

การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (cloud computing) เป็นลักษณะการทํางานที่ผู้ให้บริการแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปของบริการแบบใดแบบหนึ่ง อาทิ การให้บริการซอฟต์แวร์ หรือ Software as a Service (SaaS) เช่น Google app ซึ่งให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านอินเทอร์เน็ตผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์บนเครื่องของตนเอง แต่ใช้บริการซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ผ่านทางโปรแกรมเว็บเบราเซอร์หรือ บริการระบบจัดเก็บข้อมูล หรือ data Storage as a Service (dSaaS) ซึ่งให้บริการพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล บางครั้งเรียกว่าเว็บสําหรับฝากไฟล์ ข้อดีคือ ไม่จําเป็นต้องกลัวข้อมูลสูญหาย สามารถกําหนดให้เป็นแบบส่วนตัวหรือสาธารณะได้ เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานได้ เป็นบริการฟรีไม่เสียค่าบริการ มีพื้นที่เก็บข้อมูล โดยไม่จําเป็นต้องซื้ออุปกรณ์จัดเก็บไฟล์ข้อมูล จําพวกแฟลชไดรฟ์ เมมโมรี่การ์ดหรือ อื่น ๆ และปลอดภัยจากไวรัส โดยจะขอยกตัวอย่างบริการที่เป็นระบบคลาวด์ ดังนี้

             2.1 Google Drive เป็นการบริการของ Google มีพื้นที่ให้ใช้บริการฟรี 15 GB โดยสามารถเพิ่มพื้นที่สําหรับเก็บข้อมูลได้แต่ต้องจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือน สามารถใช้งานได้บนเว็บไซต์ และอุปกรณ์แท็บเล็ต โดยสามารถเข้าไปแชร์ไฟล์ และโฟลเดอร์ได้อย่างอิสระ ประกอบด้วยGoogle doc ใช้สําหรับ สร้างเอกสาร แก้ไข พิมพ์ ร่วมกันหลาย ๆ คนGoogle Spread sheets ใช้สําหรับ เก็บและแบ่งปันรายการ ติดตามโครงการ วิเคราะห์ข้อมูลและติดตามผลลัพธ์ด้วยเครื่องมือแก้ไข สเปรดชีตที่มีประสิทธิภาพของเรา ใช้เครื่องมือเช่น สูตรขั้นสูงแผนภูมิในตัว ตัวกรองและตารางเปลี่ยนแกนเพื่อดูข้อมูลของคุณในมุมมองใหม่ๆGoogle Presentation ใช้สําหรับ สร้างสไลด์ที่สวยงามด้วยเครื่องมือแก้ไขงานนําเสนอ ซึ่งสนับสนุนสิ่งต่างๆ เช่น การฝังวิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนสไลด์แบบไดนามิก เผยแพร่งานนําเสนอของคุณทางเว็บ เพื่อให้ทุกคนสามารถดู หรือแบ่งปันงานนําเสนอแบบส่วนตัวได้Google Form ใช้สําหรับสร้างแบบสอบถาม หรือใช้สําหรับรวบรวมข้อมูล ผู้ใช้สามารถนําไปปรับประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบอาทิ เช่น การทําแบบฟอร์มสํารวจความคิดเห็น การทําแบบฟอร์มสํารวจความพึงพอใจ การทําแบบฟอร์มลงทะเบียน และการลงคะแนนเสียง

            2.2 Google Photo เป็นบริการที่สามารถจัดเก็บรูปและวีดีโอ โดยมีเงื่อนไขว่ารูปภาพทุกรูปต้องมีขนาดไม่เกิน 16 ล้านพิกเซล ถ้ารูปไหนมีความละเอียดเกินกว่านี้จะลดเหลือ 16 ล้านพิกเซล ส่วนวีดีโอก็สามารถจัดเก็บได้ในความละเอียดสูงสุดคือ Full HD หรือ 1080p

           2.3 Dropbox เป็นบริการที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลได้ฟรี 2 GB แต่มีความสามารถในการส่งข้อมูลที่รวดเร็ว เข้าถึงและแบ่งบันอย่างง่ายดาย ได้ทุกที่ สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แท็บเล็ต และบนเว็บ

           2.4 iCloud เป็นบริการของบริษัท แอปเปิ้ล มีพื้นที่ให้บริการทั้งหมด 5 GB สามารถเข้าใช้งานได้โดยอุปกรณ์ของ แอปเปิ้ล เช่น ไอแพด ไอโฟน และคอมพิวเตอร์ แต่จะต้องมี apple ID ถึงจะใช้งานได้

           2.5 Box เป็นบริการที่เน้นกลุ่มผู้ใช้ ทั้งบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยมีพื้นที่เริ่มต้นให้มากถึง 10 GBและรองรับไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่สุดไม่เกิน 250 MB

           2.6 One drive เป็นบริการของบริษัท ไมโครซอฟต์ สามารถเข้าใช้งานได้บนทุกระบบปฏิบัติการโดยมีพื้นที่เริ่มต้นให้มากถึง 7GB ผู้ใช้ต้องมีที่อยู่ อีเมล ของ ไมโครซอฟต์ ไม่ว่าจะเป็น Hotmail windowslive หรือ outlook

           2.7 Flickr เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการฝากไฟล์รูปภาพ และไฟล์วีดีโอของ yahoo.com โดยสมัครสมาชิกได้ฟรี ให้พื้นที่เก็บข้อมูลสูงถึง 1TB

ข้อดีในการใช้งานคลาวด์เทคโนโลยี

• มีบริการที่ไม่ต้องเสียค่าบริการให้เลือกใช้

• สามารถเก็บข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ เช่น รูปภาพ วีดีโอ เอกสารต่าง ๆ

• สามารถเข้าไปจัดการเอกสารได้ พร้อม ๆ กัน

• ค้นหาข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว

• ใช้งานได้กับทุก ๆ อุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน

• มีแอปพลิเคชั่นรองรับการใช้งาน

• ข้อมูลปราศจากไวรัส

ข้อจํากัดของการใช้งานคลาวด์เทคโนโลยี

• หากไม่เสียค่าบริการจะมีพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลจํากัด ต้องจ่ายเงินเพิ่มหากต้องการพื้นที่เพิ่ม

• มีความเร็วในการ ดาวน์โหลด และ อัพโหลด จํากัด

• มีการกําหนดขนาดของรูปภาพ ไม่สามารถเก็บข้อมูลภาพขนาดใหญ่ได้

• เกิดความเสี่ยงหากว่า ไฟล์ข้อมูลเป็นไฟล์ที่สําคัญ

3. เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ

เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ (3D printing technology) เป็นการนําวัสดุต่าง ๆ เช่น พลาสติก มาขึ้นรูปชิ้นงาน หรือในลักษณะการสร้างโมเดลเสมือนจริง เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติมีพัฒนาการยาวนานกว่า30 ปี แต่พึ่งได้รับความนิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้เนื่องจากมีการพัฒนาให้เข้าถึงผู้ใช้ทั่วไปได้มากขึ้น มีผู้คนหลากหลายกลุ่มงานได้นําเอาเครื่องพิมพ์สามมิติ (3D printer) มาใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ กัน ช่วยให้สามารถพิมพ์ภาพ

สามมิติให้มีรูปร่างเหมือนจริง ส่งผลให้วงการอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ นําเครื่องพิมพ์สามมิติมาใช้ในการสร้างต้นแบบ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ การบินและอวกาศ การแพทย์การทหาร สถาปัตยกรรม และการก่อสร้าง เป็นต้น

 4. ราสพ์เบอร์รีพาย

ราสพ์เบอร์รีพาย (Raspberry Pi) เป็นบอร์ดคอมพิวเตอร์ (computer board) แบบเปลือย มีขนาดเท่าบัตรเครดิต ราคาถูก ไม่มีคีย์บอร์ดและจอภาพ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์สําหรับการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์

 5. Stick computer

เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ย่อเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ให้มีขนาดเล็กลงเท่าแฟลชไดรฟ์ เพื่อให้สะดวกสําหรับพกพา ใช้งานง่าย เพียงเสียบเข้ากับช่อง เอชดีเอ็มไอ (HDMI) บนจอโทรทัศน์ ก็สามารถทํางานได้ไม่ต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

flow chart แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน lmyour แปลภาษา กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่เรือ การเขียน flowchart โปรแกรม ตัวรับสัญญาณ wifi โน๊ตบุ๊คหาย ตัวอย่าง flowchart ขั้นตอนการทํางาน ผู้แต่งกาพย์เห่ชมไม้ ภูมิปัญญาหมายถึง มีสัญญาณ wifi แต่เชื่อมต่อไม่ได้ เชื่อมต่อแล้ว ไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ /roblox promo code redeem 3 พระจอม มีที่ไหนบ้าง AKI PLUS รีวิว APC UPS APC UPS คือ Adobe Audition Adobe Bridge Anapril 5 mg Aqua City Odaiba Arcade Stick BMW F10 jerk Bahasa Thailand Benz C63 ราคา Bootstrap 4 Bootstrap 4 คือ Bootstrap 5 Brackets Brother Scanner Brother iPrint&Scan Brother utilities Burnt HD C63s AMG CSS เว้น ช่องว่าง CUPPA COFFEE สุราษฎร์ธานี Cathy Doll หาซื้อได้ที่ไหน Clock Humidity HTC-1 ColdFusion Constitutional isomer Cuppa Cottage เจ้าของ Cuppa Cottage เมนู Cuppa Cottage เวียงสระ DMC DRx จ่ายปันผลยังไง Detroit Metal City Div class คือ Drastic Vita