จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอดีตราชธานีของไทยมีหลักฐานของการเป็นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 โดยมีร่องรอยของที่ตั้งเมือง โบราณสถาน โบราณวัตถุ และเรื่องราวเหตุการณ์ในลักษณะ ตำนานพงศาวดาร ไปจนถึงหลักศิลาจารึก ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ใกล้เคียงเหตุการณ์มากที่สุด ซึ่งเมืองอโยธยาหรืออโยธยาศรีรามเทพนคร หรือเมืองพระราม มีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา มีบ้านเมืองที่มีความเจริญทางการเมือง การปกครอง และมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง มีการใช้กฎหมายในการปกครองบ้านเมือง 3 ฉบับ คือ พระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จ พระอัยการลักษณะทาส พระอัยการลักษณะกู้หนี้
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้เอกราชคืนมาได้ใน พ.ศ. 2127 และ เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชได้ในปลายปีเดียวกันแล้วทรงสถาปนา กรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยกวาดต้อนผู้คนจากกรุงศรีอยุธยาไปยังกรุงธนบุรีเพื่อสร้างเมืองใหม่ แต่กรุงศรีอยุธยาไม่ได้ กลายเป็นเมืองร้าง ยังคงมีคนรักถิ่นฐานบ้านเดิมอาศัยอยู่และราษฎรที่หลบหนีไปได้กลับเข้ามาอยู่รวมกัน ต่อมาได้รับการยกย่อง เป็นเมืองจัตวาเรียก "เมืองกรุงเก่า"
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงยกเมืองกรุงเก่าขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวาเช่นเดียวกับสมัยกรุงธนบุรี หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดการปฏิรูปการปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยการปกครองส่วนภูมิภาคนั้นโปรดให้จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลขึ้นโดยให้รวมเมืองที่ใกล้เคียงกัน 3 - 4 เมือง ขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง โดยในปี พ.ศ. 2438 ทรงโปรดให้จัดตั้งมณฑลกรุงเก่าขึ้น ประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ คือ กรุงเก่าหรืออยุธยา อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี พรหมบุรี อินทร์บุรี และสิงห์บุรี ต่อมาโปรดให้รวมเมืองอินทร์ และเมืองพรหมเข้ากับเมืองสิงห์บุรี ตั้งที่ว่าการมณฑลที่อยุธยา และต่อมาในปี พ.ศ. 2469 เปลี่ยนชื่อจากมณฑลกรุงเก่าเป็นมณฑลอยุธยา ซึ่งจากการจัดตั้งมณฑลอยุธยามีผลให้อยุธยามีความสำคัญทางการบริหาร การปกครองมากขึ้นการสร้างสิ่งสาธารณูปโภคหลายอย่างมีผลต่อการพัฒนาเมืองอยุธยาในเวลาต่อมา จนเมื่อยกเลิกการปกครองระบบเทศาภิบาล ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อยุธยาจึงเปลี่ยนฐานะเป็นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน
ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายบูรณะโบราณสถานภายในเมืองอยุธยาเพื่อเป็นการฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษประจวบกับในปี พ.ศ.2498นายกรัฐมนตรีประเทศพม่าเดินทางมาเยือนประเทศไทยและมอบเงินจำนวน200,000 บาท เพื่อปฏิสังขรณ์วัดและองค์พระมงคลบพิตร เป็นการเริ่มต้นการบูรณะโบราณสถานในอยุธยาอย่างจริงจัง ซึ่งต่อมากรมศิลปากรเป็นหน่วยงานสำคัญในการดำเนินการ จนองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก มีมติให้ขึ้นทะเบียนนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็น " มรดกโลก " เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534มีพื้นที่ครอบคลุมในบริเวณโบราณสถานเมืองอยุธยา
อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีมาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 1893 จนถึงวันที่ 7เมษายน 2310 เป็นเวลายาวนานถึง 417 ปี มีประวัติในการปกครอง การกอบกู้เอกราช วีรกรรมและด้านขนบธรรมเนียมประเพณีมากมาย เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหารดังคำกล่าวว่า " ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว " ทั่วทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยายังมากมายไปด้วยวัดวาอาราม ปราสาทราชวังและปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุมากมายกรุงศรีอยุธยามีพระมหากษัตริย์ปกครองอาณาจักรสืบต่อกันมา 33 พระองค์ มีราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันครองอาณาจักรรวม 5 ราชวงศ์
1. ราชวงศ์อู่ทอง 2. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
3. ราชวงศ์สุโขทัย 4. ราชวงศ์ปราสาททอง
5. ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา | |||
ลำดับ | พระนาม | ปีที่ครองราชย์ (พ.ศ.) | ราชวงศ์ |
1 | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) | 1893 - 1912 (19 ปี) | อู่ทอง |
2 | สมเด็จพระราเมศวร (โอรสพระเจ้าอู่ทอง) ครองราชย์ครั้งที่ 1 | 1912 -1913 (1 ปี ) | อู่ทอง |
3 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) | 1913 - 1931 (18 ปี) | สุพรรณภูมิ |
4 | สมเด็จพระเจ้าทองลัน (โอรสขุนหลวงพะงั่ว) | 1931 - 1931 (7 วัน) | สุพรรณภูมิ |
5 | พระราเมศวร | 1931 -1938 ( 7 ปี) | อู่ทอง |
สมเด็จพระราชาธิราช (โอรสพระราเมศวร) | 1938 -1952 (14 ปี ) | ||
6 | สมเด็จพระอินราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) โอรสพระอนุชาของขุนหลวงพระงั่ว | 1952 - 1967 (16 ปี) | สุพรรณภูมิ |
7 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โอรสเจ้านครอินทร์ | 1967 - 1991 (16 ปี) | สุพรรณภูมิ |
8 | สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (โอรสเจ้าสามพระยา) | 1991 - 2031 (40 ปี) | สุพรรณภูมิ |
9 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (โอรสพระบรมไตรโลกนาถ) | 2031 - 2034 (3 ปี) | สุพรรณถูมิ |
10 | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (โอรสพระบรมไตรโลกนาถ) | 2034 - 2072 (38 ปี) | สุพรรณภูมิ |
11 | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (โอรสพระรามาธิบดีที่ 2) | 2072 -2076 (4 ปี) | สุพรรณภูมิ |
12 | พระรัษฎาธิราช (โอรสพระบรมราชาธิราชที่ 4) | 2076 -2077 (1 ปี) | สุพรรณภูมิ |
13 | สมเด็จพระไชยราชาธิราช (โอรสพระรามาธิบดีที่ 2) | 2077 - 2089 (12 ปี) | สุพรรณภูมิ |
14 | พระแก้วฟ้า (พระยอดฟ้า) (โอรสไชยราชาธิราช) | 2089 - 2091 (2 ปี) | สุพรรณภูมิ |
15 | สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระเฑียรราชา) | 2091 - 2111 (20 ปี) | สุพรรณภูมิ |
16 | สมเด็จพระมหินทราธิราช (โอรสพระมหาจักรพรรดิ) | 2111 - 2112 (1 ปี) | สุพรรณภูมิ |
17 | สมเด็จพระมหาธรรมราชา | 2112 - 2133 (21 ปี) | สุโขทัย |
18 | สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (โอรสพระมหาธรรมราชา) | 2133 - 2148 (15 ปี) | สุโขทัย |
19 | สมเด็จพระเอกาทศรถ (โอรสพระมหาธรรมราชา) | 2148 -2153 (5 ปี) | สุโขทัย |
20 | พระศรีเสาวภาคย์ (โอรสพระเอกาทศรถ) | 2153 - 2153 (1 ปี) | สุโขทัย |
21 | สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (โอรสพระเอกาทศรถ) | 2153 - 2171 (17 ปี) | สุโขทัย |
22 | สมเด็จพระเชษฐาธิราช (โอรสพระเจ้าทรงธรรม) | 2172 - 2172 (8 เดือน) | สุโขทัย |
23 | พระอาทิตยวงศ์ (โอรสพระเจ้าทรงธรรม) | 2172 - 2199 (28วัน) | สุโขทัย |
24 | สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (ออกญากลาโหมสุริยวงค์) | 2172 - 2199 (27 ปี) | ปราสาททอง |
25 | สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (โอรสพระเจ้าปราสาททอง) | 2199 - 2199 (3 - 4 วัน) | ปราสาททอง |
26 | พระศรีสุธรรมราชา (อนุชาพระเจ้าปราสาททอง) | 2199 - 2199 (3 เดือน) | ปราสาททอง |
27 | สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (โอรสพระเจ้าปรารสาททอง) | 2199 - 2231 (32 ปี) | ปราสาททอง |
28 | สมเด็จพระเพทราชา | 2231 - 2246 (15 ปี) | บ้านพลูหลวง |
29 | สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) | 2246 - 2275 (6 ปี) | บ้านพลูหลวง |
30 | สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ (โอรสพระเจ้าเสือ) | 2275 - 2301 (24 ปี) | บ้านพลูหลวง |
31 | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (โอรสพระเจ้าเสือ) | 2275 - 2301 (26 ปี) | บ้านพลูหลวง |
32 | สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (โอรสพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) | 2301 - 2301 (2 เดือน) | บ้านพลูหลวง |
33 | สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์(พระเจ้าเอกทัศน์) (โอรสพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) | 2301 - 2310 (9 ปี) | บ้านพลูหลวง |