คือ ที่นอนที่มีส่วนประกอบสำคัญไม่ว่าจะเป็น ตัวสปริง หรือขดลวดที่แกนกลางด้านในของที่นอน เป็นส่วนสำคัญที่ทั้งรับน้ำหนัก และกระจายน้ำหนักให้ทั่วที่นอน ส่วนด้านบน และด้านล่างของตัวขดลวดภายในนั้น
จะมีชั้นต่างๆ ที่ในแต่ละยี่ห้อจะมีการจำนวนชั้นด้านในไม่เท่ากัน แต่จะเน้นหลักๆ ในการช่วยในการรองรับน้ำหนัก และให้เกิดความสบายต่อผู้ใช้งาน รวมถึงช่วยเพิ่มความแน่นให้กับตัวที่นอนในขณะที่มีการลงน้ำหนักลงบนที่นอน
ที่นอนสปริงมีคุณสมบัติอย่างไร
จุดเด่นหลักของที่นอนสปริงก็คือ มีการกระจายน้ำหนักของผู้นอนได้ทั่วเตียง รวมถึงการรองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ทำให้นอนสบายไม่ปวดหลัง ด้วยขดลวดภายในมากกว่า 400 ขดลวดที่ยึดกับตัวโครงเหล็กชั้นใน รวมถึงการวางแผ่นเสริมภายในที่นอนตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป
1.ชั้นแรกแกนตาข่าย และไฟเบอร์
เป็นส่วนที่อยู่ชั้นนอกสุด และเป็นชั้นที่สัมผัสกับผู้ที่นอนได้โดยตรง อีกทั้งเป็นชั้นที่ควบคุมรูปทรงของโครงเตียงภายนอกเอาไว้ และป้องกันไม่ให้ตัวสปริงเมื่อใช้ไปนานหลายปี ทะลุออกมาด้านนอก หรือมีการเลื่อนตัวโผล่ขึ้นมาให้ผู้นอนสัมผัสได้ ส่วนตัวตาข่ายผ้าที่หุ้มด้านนอกจะมีการเคลือบสารป้องกันไรฝุ่น, ภูมิแพ้ และเชื้อรา
2.ชั้นที่สองแผ่นไฟเบอร์ หรือโฟม
ทำหน้าที่เป็นเสมือนเบาะที่รองรับน้ำหนัก ผ่านตัวโฟมอัดที่จะช่วยให้เวลานอนมีความรู้สึกสบาย มีความแน่นของที่นอน หากมีการใช้งานที่นอนในระยะเวลาที่อยู่ในการใช้งานได้ดีนั้น จะสัมผัสได้ถึงความแน่น และยืดหยุ่นของตัวสปริงด้านใน
3.ชั้นที่สามแผ่นไฟเบอร์ หรือแผ่นโฟมอัดอย่างบาง
ส่วนนี้จะใช้ในการกระจายน้ำหนักของผู้นอน ให้ลงไปบนขดลวดสปริงตรงกลางเท่าๆ กัน เพราะหากมีการลงน้ำหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป ก็จะทำให้ขดลวดส่วนนั้น มีการเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้น จะมีปัญหาที่นอนที่ไม่มีความสมดุล มีความยวบไม่เท่ากัน
ข้อดี ข้อเสียที่นอนสปริง
ข้อดีที่นอนสปริง
1.มีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับดี ในการลงน้ำหนัก รวมถึงชั้นรองภายในที่นอน ที่มีส่วนช่วยให้การนอนหลับสบายไม่ปวดหลัง
2.อายุการใช้งานที่นาน แต่ไม่เท่ากับที่นอนยางพารา ซึ่งตัวขดลวดสปริงด้านในที่นอนจะเสื่อมสภาพไปก่อน
3.ระบายอากาศและความร้อนได้ดี อีกทั้งยังไม่เก็บความชื้นที่จะเป็นสาเหตุของ เชื้อรา หรือกลิ่นเหม็นอับ เหมาะกับสภาพอากาศที่ร้อนชื้น เราสามารถที่จะนอนเปิด แอร์อินเวอร์เตอร์ ใส่ เสื้อขนเป็ด ไปพร้อมกับการนำ หมอนขนเป็ด , หมอนขนห่าน , หมอนยางพารา ห่ม ผ้านวม เพื่อช่วยให้นอนหลับได้สบายตลอดทั้งคืน
ps : เราแนะนำยี่ห้อของที่นอนสปริงที่ใช้ดีรุ่นหนึ่ง คือ ที่นอนสปริง ashman โปรดคลิกเพื่ออ่านหัวข้อ ที่นอนสปริงตัวท็อป ตัวไหนดี
ข้อเสียที่นอนสปริง
1.ไม่เหมาะกับการใช้นอนที่มีจำนวนมากกว่า 1 คน เพราะในการขยับ หรือพลิกตัว อีกฝ่ายจะรับรู้ได้ตลอด
2.ตัวขดลวดด้านในจะมีการเสื่อมสภาพได้เร็ว หากมีการใช้งานไม่ถูกต้อง อย่างเช่น การกระโดด หรือกระแทกน้ำหนักลงบนเตียงบ่อยๆ
3.เสียงดังเวลาขยับ หรือพลิกตัวบนเตียง ซึ่งหากเป็นที่นอนสปิรงในแบบพ็อกเก็ตสปริงนั้น ก็อาจจะมีเสียงที่ไม่ค่อยดัง แต่ในระยะเวลาใช้งานที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่นอนสปริงแบบ Pocket Spring หรือ แบบ Bonnell Spring จะมีเสียงดังเพิ่มมากขึ้นตามการใช้งาน
ที่นอนสปริง vs ที่นอนยางพารา
เราจะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วสำหรับที่นอนทั้ง 2 แบบนั้น ต่างให้การใช้งานที่เหมือนจะไม่แตกต่างกัน ในเรื่องของการรองรับน้ำหนัก และความยืดหยุ่นของที่นอน แต่ในความคล้ายกัน กลับมีจุดที่แตกต่างกันในแต่ละคุณสมบัติ
1.การรองรับน้ำหนัก
หากพูดถึงเรื่องการรับน้ำหนักตัวนั้น เราอาจจะต้องยอมรับที่นอนยางพารา ที่ให้คะแนนสูงกว่า ด้วยความเป็นเนื้อยางพารา ที่มีความหนา และแน่นของเนื้อใน ยิ่งทั้งหากใครที่มีน้ำหนักมากนั้น แนะนำให้เลือกใช้ที่นอนแบบที่เป็นยางพาราเท่านั้น เพราะนอกจากรองรับน้ำหนักได้ดีกว่าแล้ว ยังกระจายน้ำหนักได้ทั่วทั้งเตียงได้มากกว่า อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่นานกว่า ไม่ต้องเจอกับปัญหาเตียงยุบ และไม่ต้องเสี่ยงต่อการปวดเมื่อยกระดูกสันหลังอีกด้วย
2.ความยืดหยุ่น
ในเรื่องของการยืดหยุ่น หรือการสปริงตัวของที่นอนๆ ที่เป็นแบบขดลวดสปริงด้านในจะมีมากกว่าที่นอนแบบยางพารา ซึ่งหมายความว่า หากเราไม่ใช่คนที่มีน้ำหนักตัวเยอะจนเกินไปนั้น การแนะนำให้เลือกใช้ที่นอนสปริง ก็จะดีในด้านของความแน่นของที่นอนส่วนหนึ่ง และอีกส่วนก็คือการทำงานของขดลวดด้านในตัวที่นอน ที่ช่วยให้ความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี
3.การเคลื่อนไหว พลิกตัว
หากเป็นการนอนที่มากกว่า 1 คนแนะนำให้มีตัวเลือกอีกหนึ่งทางคือ ที่นอนแบบยางพารา เพื่อที่แต่ละคนจะไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ด้วยความแน่นของเนื้อยางพารานั่นเองถึงแม้จะเป็นที่นอนแบบพ็อกเก็ตสปริงก็ตาม ที่มีการสัมผัสถึงการเคลื่อนไหว ของคนที่นอนด้วยบนเตียงเดียวกันน้อยมาก แต่ก็ยังสามารถรับรู้ได้ ในเวลาที่อีกฝ่ายพลิก หรือขยับตัว ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การนอนหลับไม่สนิท หรือนอนไม่หลับเลย
4.ราคา
ที่นอนสปริงจะมีระดับราคาที่ถูกกว่าที่นอนยางพารา แต่ในบางยี่ห้ออาจจะมีราคาที่สูงมากกว่าระดับราคาที่นอนแบบสปริงเดียวกันก็เป็นได้ และรวมถึงมีระดับราคาที่สูงเท่าๆ หรือมากกว่าที่นอนยางพารา ซึ่งเกิดจากการบุชั้นด้านใน ทั้งด้านบน และด้านล่างของที่นอนให้มีหลายชั้น เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่นาน และมีการยุบตัวของที่นอนได้ช้า
5.เสียงดัง
ส่วนที่เรียกว่าเป็นข้อจำกัดของที่นอนสปริง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม จะมีเสียงดังเวลาพลิกตัว หรือขยับตัว ซึ่งอาจจะแตกต่างกันในระดับความดังของขดลวดเท่านั้น อย่างเช่น หากเป็นพ็อกเก็ตสปริง (Pocket Spring Mattress) จะมีเสียงที่ดังน้อยกว่าที่นอนแบบบอนแนลล์สปริง (Bonnell Spring Mattress)
โดยเฉพาะหากมีการใช้งานที่นอนแบบสปริงจนเกินอายุการใช้งานแล้วนั้น เสียงจะยิ่งดังกว่าเดิม การมีตัวเลือกเพิ่มเติมอย่าง ที่นอนยางพารา , ที่นอนเป่าลม ที่สามารถวางบน เตียง 2 ชั้น หรือ เก้าอี้พับนอน ได้ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกเสริมได้อีกทางหนึ่ง
ที่นอนสปริง กับ พ็อกเก็ตสปริงต่างกันอย่างไร
หลักๆ แล้วจะต่างกันในเรื่องของเสียงขดลวดที่ดัง ในเวลาที่นอนลงบนที่นอนเท่านั้น ด้วยความที่มีโครงสร้างการวางขดลวดที่แตกต่างกัน
1.ที่นอนสปริงแบบบอนแนลล์ (Bonnell Spring Mattress)
การวางขดลวดภายในจะยึดเกี่ยวสัมพันธ์กันหมด และเกี่ยวยึดกับตัวโครงเหล็กของเตียง ดังนั้นเมื่อเรานอนลงบนที่นอน การรองรับน้ำหนักจะกระจายไปทั่วเตียง และเป็นสาเหตุของการที่อีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงการขยับตัว หรือพลิกตัวของคนที่นอนข้างๆ ได้
2.ที่นอนสปริงแบบพ็อกเก็ต (Pocket Spring Mattress)
รูปแบบการวางขดลวดที่เป็นอิสระซึ่งกันและกัน ไม่มีการเกี่ยวยึดต่อกันระหว่างขดลวด รวมถึงการหุ้มด้วยผ้าอีกชั้น ดังนั้นในเวลาที่มีใครคนหนึ่งนอนลงบนที่นอน ก็จะมีการลงน้ำหนักที่ขดลวด ณ ตำแหน่งนั้นที่เดียว แต่ด้วยความเป็นวัสดุขดลวด ที่มีความยืดหยุ่น ดังนั้นการรับรู้ถึงการขยับตัวของอีกฝ่าย ที่นอนบนเตียงเดียวกันก็อาจจะน้อยกว่าแบบแรก
วิธีเลือกซื้อที่นอนสปริง
1.ขนาดและความหนา
เราควรรู้และดูขนาดพื้นที่ในห้องนอน รวมถึงเตียงนอนว่าต้องใช้ที่นอนขนาดเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็น 3.5 ฟุต, 5 ฟุต หรือ 6 ฟุต และความหนาที่ควรเลือก ควรอยู่ระหว่าง 7-10 นิ้ว ซึ่งยิ่งมีความหนาเท่าไหร่ จะช่วยให้การรองรับในเวลานอนได้ดีมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นตัวช่วยบอกในเรื่องของ อายุการใช้งานของที่นอนนั้นๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย
2.รูปแบบของตัวสปริงด้านใน
ในรูปแบบของขดลวดด้านใน ในการใช้งานได้จริงนั้นเรามีความต้องการ ที่จะให้ตัวปริงมีการกระจายน้ำหนักไปทั่วทั้งเตียง หรือเพียงแค่ขดลวด ณ จุดที่เรานอนเพียงเท่านั้น ซึ่งหากมีการกระจายไปเพียงจุดที่เรานอน ก็จะช่วยเรื่องแรงสะเทือนให้น้อยลง แต่ก็จะมีความยืดหยุ่นที่น้อยตามไปด้วย
3.มุมขอบด้านนอก
เลือกในแบบที่หากเราสังเกตจากภายนอกของที่นอน จะมีการเสริมที่ตัวขอบด้านบน และด้านล่างของตัวขดลวดสปริงที่อยู่ตรงกลางที่นอนด้านใน ซึ่งจะช่วยให้เกิดความแข็งแรง ทนทาน รวมถึงมีอายุในการใช้งานได้นาน จะไม่มีปัญหาการเสียรูปทรงของเตียง หรือขดลวดสปริงทะลุออกมาด้านนอก
4.กันไรฝุ่น แบคทีเรีย และสารก่อภูมิแพ้
ในปัจจุบันการผลิตชุดเครื่องนอนหลายอย่าง ที่มองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะโรคภูมิเริ่มเข้ามาให้เราได้เห็นกับคนรอบข้าง รวมในบางคนที่ไม่เคยได้เป็นก็มาเป็น ดังนั้นในการเลือกพิจารณาซื้อนั้น ควรมีการดูที่นอนสปริงที่มีการกำหนด
คำถามที่พบบ่อยของที่นอนสปริง
Q ที่นอนสปริงควรนอนด้านไหน
A นอนด้านไหนก็ได้แต่ข้อแนะนำคือ ควรที่จะมีการพลิกที่นอนในช่วงระยะเวลา 3 เดือนหลังจากการใช้งานไปแล้ว โดยการพลิกที่นอนจากด้านบนให้ลงไปด้านล่าง และให้สลับส่วนหัวนอนมาที่ปลายเตียงแทน การทำในแบบนี้นั้น ถือว่าเป็นอีกวิธีที่ช่วยถนอมการใช้งานที่นอนแบบขดลวด อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นกว่าเดิมได้อีกด้วย
Q ที่นอนสปริงเสียงดังไหม
A ในการซื้อมาใช้งานในช่วงแรกๆ นั้น เสียงของขดลวดสปริงอาจจะไม่ดังเท่าไหร่ สำหรับเวลาที่เรานอนพลิกตัว หรือขยับตัวบนที่นอน แต่ด้วยความเป็นที่นอนที่มีขดลวดด้านในแล้วนั้น ย่อมมีเสียงเวลานอน หรือเวลาขยับพลิกตัวบนเตียงอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าหากเราเลือกในแบบพ็อกเก็ตสปริงแล้ว เสียงก็จะดังน้อยกว่าที่นอนสปริงแบบธรรมดา หรือ บอนแนลล์สปริง
แต่เราอาจจะต้องรู้ข้อจำกัดของที่นอนในรูปแบบนี้ว่า ในระยะเวลาจำนวนปีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นนั้น เสียงที่เกิดจากสภาพการใช้งานของขดลวดทุกวัน ก็จะมีเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนปี
โดยเฉพาะหากมีการใช้งานที่เกินกว่า 7 ปีขึ้นไปแล้ว ขดลวด หรือตัวสปริงภายในก็จะเสื่อมสภาพการใช้งานไปเรื่อยๆ จนอาจจะไม่เพียงแค่เสียงดังเท่านั้น การผิดรูปทรงของตัวที่นอน ไม่ว่าจะเป็นการยุบตัวของที่นอน หรือมีส่วนของขดลวดสปริงนูนออกมาทางใดทางหนี่งของตัวที่นอนก็ย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้น
Q ที่นอนสปริงอายุการใช้งาน
A เราจะดูที่ตัวขดลวดสปริงด้านในเป็นส่วนสำคัญ เพราะเมื่อไหร่ที่ขดลวดด้านในเสื่อมสภาพแล้ว ที่นอนสปริงก็จะมีความยวบ, ไม่มีความยืดหยุ่น รวมถึงเตียงมีการเสียทรงที่อาจจะบุบทั้งด้านนอก หรือบนที่นอน อายุการใช้งานของที่นอนปริงจะอยู่ที่ 5-7 ปีโดยประมาณ
เกร็ดความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับที่นอนสปริง
1.หากเลือกที่นอนที่เป็นขดลวดสปริงแล้วนั้น ควรเลือกที่นอนที่มีความสูงอย่างน้อย 8 นิ้วขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความสูงมาตรฐานอยู่ที่ 9-10 นิ้วจะทำให้นอนสบายมากยิ่งขึ้น
2.ที่นอนที่เป็นขดลวดสปริงเหมือนกัน แต่ระดับราคาอาจจะมีความแตกต่างกันมาก หรือน้อยก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ การเสริมตัวขอบทั้งด้านนอกตัวที่นอน รวมถึงระดับชั้นด้านในที่มีการเสริมไฟเบอร์ และแผ่นอัดโฟม
ซึ่งอาจมีจำนวนชั้นที่ไม่เท่ากัน และจำนวนของขดลวดภายในที่มีไม่เท่ากันในแต่ละยี่ห้อ และแต่ละรุ่นอีกด้วย ซึ่งโดยปกตินั้นจะมีขดลวดตั้งแต่ 400 ขดลวดขึ้นไป ทั้งหมดนี้มีผลต่ออายุการใช้งานที่มากหรือน้อยร่วมด้วย
3.ที่นอนสปริงถึงแม้จะมีคุณสมบัติ ที่สามารถทั้งรองรับน้ำหนัก และมีความยืดหยุ่นสูงในขณะที่เราทิ้งตัวลงนอน นอนสบาย ไม่ปวดหลังแต่หากเป็นที่นอนที่ผ่านการใช้งานมานานแล้ว ตัวสปริงด้านในย่อมจะมีคุณสมบัติที่ไม่สมบูรณ์ มีผลทำให้เกิดการยุบตัวของเตียง และขอบด้านข้างมีส่วนของสปริงยื่นออกมา อีกทั้งที่นอนอาจมีการเสียทรง โครงสร้างตัวที่นอนที่ไม่เหมือนเดิม
หากที่นอนมีสภาพดังกล่าวแล้ว เราไม่ควรที่จะใช้ต่อไป เพราะอาจสร้างความปวดเมื่อยให้กับร่างกายมากกว่าเดิม หรือทำให้โครงสร้าง และสรีระร่างกายของเรา โดยเฉพาะในส่วนของกระดูกสันหลังทำให้เกิดการคดงอ หรือผิดรูปได้
4.ด้วยคุณสมบัติเด่นของที่นอนประเภทนี้ เราจึงมักคิดว่า สปริงด้านในตัวที่นอน มีความแข็งแรง และสามารถรองรับน้ำหนักเท่าไหร่ หรือรับการกระแทกมากแค่ไหนก็ได้ การกระโดดบนที่นอนบ่อยครั้ง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้โครงสร้างลวดสปริงด้านใน จะเกิดการเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้น
5.หากที่นอนมีความยืดหยุ่นมากเกินไป เราอาจจะต้องดูในเรื่องของความแน่นของตัวที่นอนร่วมด้วย หมายถึงตัวเสริมขอบของที่นอน และแผ่นชั้นเสริมด้านในที่นอน ที่เป็นตัวกั้นระหว่างขดลวดสปริงด้านในตรงกลาง
กับพื้นผิวสัมผัสตัวที่นอน ที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้โดยตรง เมื่อนั่งหรือนอนลง ต้องให้ความรู้สึกแน่น และมีความยืดหยุ่นของตัวสปริงที่ไม่มากจนเกินไป
เพราะหากตัวที่นอนมีความยืดหยุ่นมาก แต่แผ่นรองชั้นที่นอนมีความบาง จนสามารถรับรู้ได้ถือ ความยืดหยุ่นของตัวสปริงด้านในที่นอนมากจนเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาที่นอนเสื่อมสภาพได้เร็ว นั่นหมายถึงที่นอนยี่ห้อนั้น มีการรองแผ่นเสริมด้านในที่เป็นตัวกลางระหว่าง ผู้นอนกับขดลวดสปริงที่บาง และมีจำนวนชั้นที่น้อยจนเกินไป
วิธีเลือกที่นอนง่าย ๆ
ขอบคุณช่องยูทูป Klong9furnitureสรุป
การเลือกที่นอนที่นอกจากจะต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเราเอง อย่างเช่น ความชอบที่นอนที่ให้ความนุ่ม แต่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี หรือมีความยืดหยุ่น ไม่รู้สึกถึงความแข็งเวลาทิ้งตัวลงนอน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องไปด้วยกันได้กับ ปัญหาทางร่างกายที่เรามีร่วมด้วย เพราะหากเรามีภาวะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อันเนื่องมาจากการทำงานนั่งโต๊ะ หรือทำงานที่ต้องใช้แรงยกของในทุกๆ วัน การเลือกที่นอนที่นุ่มจนเกินไป ก็อาจจะสร้างผลเสียให้กับร่างกาย หรืออวัยวะส่วนที่ยังบาดเจ็บอยู่ให้มากขึ้นได้
ดังนั้นการเลือกพิจารณาซื้อที่นอนสักครั้งหนึ่ง จึงควรมีทั้งตัวเลือกที่เป็นความชอบส่วนตัว และเหมาะกับสภาพความเป็นจริงของร่างกายเราในตอนนี้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถพิจารณาวัสดุ ที่นำมาทำเป็นที่นอน ได้ตรงกับการใช้งานได้จริง