สินทรัพย์หนึ่งที่น่าสนใจ คือ กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี รวมถึงเงินฝาก จึงเหมาะกับคนที่ต้องการพักเงินลงทุนในช่วงสั้นๆ ระยะสั้น และต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับเงินลงทุน
แน่นอนเมื่อความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำตามไปด้วย ดังนั้น หากเข้าใจและยอมรับกับเงื่อนไขนี้ได้ กองทุนรวมตลาดเงินจึงเป็นหลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดการลงทุนมีความผันผวน
แต่ถึงจะมีความเสี่ยงต่ำ ก่อนตัดสินใจลงทุนก็ต้องดูให้ละเอียด เริ่มจากศึกษานโยบายการลงทุนแต่ละกองทุนว่าเป็นอย่างไร เช่น สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้แต่ละประเภทเป็นอย่างไร
จากนั้นให้พิจารณาค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วดูผลการดำเนินงานในอดีต เช่น 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี เป็นต้น และพยายามเลือกกองทุนรวมที่สร้างผลตอบแทนเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
ถัดมาให้ดูความสามารถบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุน ซึ่งมักจะสะท้อนออกมาจากการสร้างผลตอบแทนให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ และควรเลือกกองทุนรวมที่มีการกระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุน
ถ้าอยากรู้ว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ที่จะลงทุนนั้น “กำไร” หรือ “ขาดทุน” ให้ดูจากผลการดำเนินงานของกองทุนรวม คือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV) ที่หมายถึง มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุนรวมหักค่าใช้จ่ายและหนี้สินของกองทุนรวมนั้น โดยจะคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนตามราคาตลาด (Mark to Market) ในแต่ละวัน เพื่อสะท้อนมูลค่าที่เป็นจริงตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
NAV สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของกองทุนว่าเติบโตหรือไม่ มี “กำไร” หรือ “ขาดทุน” มากน้อยเพียงใด รวมถึงแสดงราคาซื้อหรือราคาขายคืนของกองทุนรวม เช่น กองทุน ABC ราคาซื้อ 10 บาทต่อหน่วย ผ่านไป 1 ปี NAV อยู่ที่ 12 บาทต่อหน่วย แสดงว่ามี “กำไร” ขณะที่กองทุน XYZ ราคาซื้อ 10 บาทต่อหน่วย ผ่านไป 1 ปี NAV อยู่ที่ 7 บาทต่อหน่วย แสดงว่า “ขาดทุน”
ส่วนใครประเมินตามนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกกองทุนไหนดี ลองดูจาก 10 กองทุนเด่นที่ WMU คัดมาให้ก็ได้นะ
สำหรับคนที่ยังเก็บเงินออมระยะสั้นแบบเดิมๆ คือ ฝากในบัญชีธนาคารเพียงอย่างเดียว เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ไหนดี บทความนี้จะมาแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) และ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short – Term Fixed Income Fund) เพื่อเป็นทางเลือกในการพักเงิน
กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้อายุสั้นๆ โดยมากมีอายุไม่เกิน 1 ปี เปิดให้ซื้อขายได้ทุกวันทำการ ตอนนี้ผลตอบแทนเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 1.0%-1.4% ต่อปี เมื่อนักลงทุนขายกองทุนรวมตลาดเงินจะได้รับเงินคืนในวันทำการถัดไป (T+1) ทำให้มีสภาพคล่องใกล้เคียงกับเงินฝากออมทรัพย์ นอกจากนี้เมื่อเราขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินเมื่อไหร่ เราจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายวันทันที โดยผลตอบแทนจะอยู่ในรูปของ Capital Gain หรือส่วนต่างราคาของราคาที่ซื้อและราคาที่ขาย หมายความว่าผลตอบแทนจะสะท้อนอยู่ในราคาแล้ว หากคุณขายกองทุนรวมตลาดเงิน คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาทันที ไม่เหมือนเงินฝากออมทรัพย์ ที่ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยให้ทุกๆ 6 เดือน ซึ่งหากเราถอนเงินก่อนวันที่ธนาคารคิดดอกเบี้ยให้ เราก็จะไม่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์นั้น
ยกตัวอย่าง นายมั่งคั่ง ซื้อกองทุนรวมตลาดเงิน xyz จำนวน 10,000 บาทในวันที่ 2 มกราคม 256x เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี กองทุนนี้สร้างผลตอบแทน 1% เขาตัดสินใจขายก็จะได้ผลตอบแทนทันที 100 บาท ผลตอบแทนที่ได้นี้ ไม่ต้องเสียภาษี และเขาจะได้เงินทั้งหมด 10,100 บาทเข้าบัญชีในวันทำการถัดไป นอกจากนี้นายมั่งคั่งจะสามารถขายกองทุนรวมตลาดเงิน xyz เมื่อใดก็ได้ ก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นสัดส่วนตามระยะเวลาที่ลงทุนทันที
ในขณะที่นายอดออม มีเงินฝากออมทรัพย์ 10,000 บาท ฝากไว้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 256x เช่นกัน ธนาคารประกาศอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์อยู่ที่ 1% ต่อปี นายอดออมจะไม่ได้รับดอกเบี้ยทันที แต่ธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชี ณ สิ้นเดือนมิถุนายน และสิ้นเดือนธันวาคม (กรณีธนาคารประกาศจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน) หากนายอดออมถอนเงินออกไปก่อนวันที่ธนาคารคิดดอกเบี้ยให้ นายอดออมก็จะไม่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์นั้น
นอกจากกองทุนรวมตลาดเงินแล้ว ยังมีกองทุนอีกประเภทหนึ่งที่ทำหน้าที่พักเงิน สามารถขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน ได้เงินในวันทำการถัดไปเช่นกัน แต่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น กองทุนประเภทนี้ คือ Short - Term Fixed Income Fund หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นนั่นเอง วิธีการที่ผู้จัดการกองทุนเพิ่มผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นให้สูงขึ้นกว่ากองทุนรวมตลาดเงินได้ ทำโดยการแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้น ตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือตราสารหนี้ในต่างประเทศ หรือเงินฝากในต่างประเทศ
กองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเหมาะกับใคร
- ผู้เริ่มต้นการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้นชินกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงๆ และอยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน
- ผู้ที่ต้องการเก็บเงินสดไว้เป็นค่าใช้จ่ายในระยะสั้น เพื่อสำรองเป็นสภาพคล่อง หรือเผื่อกรณีฉุกเฉิน
- ผู้ที่มีเป้าหมายที่จะต้องใช้เงินแน่ๆ ในอีก 1 ปีข้างหน้า ทำให้ไม่สามารถนำเงินก้อนนี้ไปเสี่ยงได้เลย ดังนั้นจึงอาจจะต้องพักเงินไว้ที่กองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นแทน
กองทุนรวมตลาดเงินมีค่าใช้จ่าย ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทจัดการเรียกเก็บจากการบริหารเงินลงทุนให้เรา อยู่ที่ประมาณ 0.5 – 0.6%
- ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการดูแลทรัพย์สินของกองทุนให้แก่ผู้ลงทุน อยู่ที่ประมาณ 0.1%
- ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน (Registrar Fee) สำหรับบริหารจัดงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานทะเบียนของผู้ถือหน่วยลงทุนอยู่ที่ประมาณ 0.05%
โดย NAV (Net Asset Value) ที่เราเห็นบนหน้าเว็บไซต์ของแต่ละบริษัทจัดการนั้น ได้หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่กองทุนรวมเรียกเก็บไปแล้ว เราสามารถคำนวณผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาขายและราคาซื้อได้ทันที
สำหรับวิธีการเลือก กองทุนรวมตลาดเงิน และ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น นั้น ด้วยความที่เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ทำให้เลือกได้ไม่ยาก นักลงทุนสามารถจัดลำดับจากผลตอบแทนที่กองทุนแต่ละกองทำได้เลย (การทำ Ranking ผลตอบแทน) สามารถเข้าไปเปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลังได้ที่ www.morningstarthailand.com/ หรือเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้จากกองทุนรวมตลาดเงินกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเฉลี่ย 3 หรือ 5 ธนาคารขนาดใหญ่ และหากกองทุนรวมนั้นมีการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ก็ให้เปรียบเทียบผลตอบแทนกับตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชนในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว หากผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวม ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ อาจเลือกเงินฝากประจำก็ได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เราจะได้รับแน่นอน ในขณะที่ผลตอบแทนของกองทุนเป็นแค่ข้อมูลในอดีต มีสิทธิ์ที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้อีกตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของโลกและของประเทศไทย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องการพักเงินของคุณด้วย