เรื่องราวของ IP Address ถูกกล่าวขานกันมาพร้อมกับ การขยายตัวของระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่ใช้ภาษาในการสื่อสารกันที่เรารู้จักกันดีในชื่อ TCP/IP (Transmission Control Protocol/ Internet Protocol) และจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำจำนวน IP Address ไม่พอต่อความต้องการ จึงมีการพัฒนา IPv6 มาเสริมทัพกับ IPv4 เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ แต่ถึงอย่างไร IPv4 ยังคงเป็นพื้นฐานสำหรับโลกอินเตอร์เน็ตอยู่ต่อไปอีกนานทีเดียว เรื่องการกำหนดหมายเลข IP (IP Addressing) เป็นพื้นฐานที่ดี ทั้งยังเป็นความรู้เพิ่มเติมสำหรับผู้ที่สนใจ ได้พอสมควร
IP Address เปรียบเสมือนกับเลขที่บ้านของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต การส่งข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต ก็เหมือนกับการส่งจดหมาย ซึ่งต้องระบุบ้านเลขที่บนซองจดหมายเพื่อให้จดหมายถึงปลายทางได้อย่าถูกต้อง เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เน็ตเวิร์ค ก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีหมายเลขประจำเครื่อง ซึ่งก็คือ IP Address นั่นเอง ข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแต่ละเครื่อง (ต่อไปขอเรียกว่าโฮส) จะมีหมายเลข IP Address เพื่อบอกปลายทางที่จะติดต่อด้วยเสมอ IP Address ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็น IP version 4 หรือที่เรียกกันว่า IPv4 มีขนาด 4 byte แต่ละ byte มีขนาด 8 bit ดังนั้น IPv4 จึงมีขนาดเท่ากับ 32 bit เนื่องจากเป็นเลขฐานสอง เราคำนวณจำนวนโฮสได้จาก 2n ดังนั้นสามารถกำหนดหมายเลข IP Addressให้โฮสได้ทั้งหมด 232 = 4,294,967,296 โฮส แต่ก็ยังไม่พอใช้ นักพัฒนาจึงพัฒนา IP เป็น version 6 หรือ IPv6 ที่มีขนาด 128 bit และเริ่มนำมาเสริมกับ IPv4 ได้เป็น 2128
เมื่อ IP Address มีจำนวนมากขนาดนั้น เหตุผลหนึ่งคือเพื่อให้ง่ายต่อการจัดสรร จึงแบ่ง IPv4 ออกเป็น Class ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 Class ทำให้ง่ายต่อการจัดสรรขึ้นมาอีก
Class A0.0.0.0127.255.255.255824 = 16777216Class B128.0.0.0191.255.255.2551616 = 65536Class C192.0.0.0223.255.255.255248 = 256Class D224.0.0.0239.255.255.255-multicast addressClass E240.0.0.0247.255.255.255-Reserve
ตารางที่ 1 IP Address และจำนวนโฮสในแต่ละ Class
· Class A มี NetID = 8 bit จาก IP Address ทั้งหมด 32 bit จึงเหลือ HostID 24 bit ทำให้มีจำนวนaddress ในเน็ตเวิร์คเดียวกันได้ทั้งหมด เท่ากับ 224 = 16777216 address
· Class B มี HostID เท่ากับ NetID ดังนั้นมีจำนวน address เท่ากับ 216 = 65536
· Class C เป็น Class ที่เล็กที่สุดทีใช้งานกัน มี HostID 8 bit ทำให้มี address ได้เท่ากับ 28 = 256
· Class D นั้นเป็น Multicast Address โดยสงวนไว้ใช้สำหรับอุปกรณ์ที่จะต้องมีการส่งข้อมูลในกลุ่มเดียวกัน
· Class E ท้ายสุดของ IPv4 สงวนไว้ใช้ในอนาคต เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถของ IPv4 เอง
รูปแบบการเขียน จะมีหมายเลขเรียงกัน 4 ชุด โดยมีจุดคั่นกลาง มีด้วยกัน 2 ชุดคือ IP Address และ Subnet Maskโดยตัวเลข ชุดแรกเรียกว่า IP Address หรือ Host Address ชุดหลังเรียกว่า Subnet Mask เช่น 192.168.1.1/255.255.255.0 เป็นต้น
ตารางที่ 2 แสดงหมายเลข IP Address ระหว่างเลขฐานสิบ และ ฐานสอง จากตัวอย่างเมื่อเปลี่ยน 192 เป็นเลข ฐานสองจะมีค่าเท่ากับ 1100 0000 ต้องจะใช้ความสามารถในการเปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นฐานสอง ลองเปลี่ยนเลขถัดไปคือ 168.1.1 เป็น ฐานสอง จะได้เท่ากันกับในตาราง มีข้อแม้นิดนึงครับ คือต้องเปลี่ยนที่ละชุดตัวเลขระหว่างจุด
IP Addressฐานสิบฐานสอง (32 bit)192.168.1.11100 0000 . 1010 1000 . 0000 0001 . 0000 0001Subnet Mask255.255.255.01111 1111 . 1111 1111 . 1111 1111 . 0000 0000
ตารางที่ 2 ตัวอย่างหมายเลข IP Address และ Subnet Mask
มาถึงเรื่องต่อไป คือคำว่า Private IP กับ Public IP กันบ้าง คำว่า Private IP หรือบางทีเรียกกันว่า Internal IP ผมให้นิยามไว้ให้หมายถึง IP Address ที่ไม่ใช้บน Internet และไม่สามารถติดต่อกับ Public IP ได้ แต่ไม่ใช่ซะทีเดียว เราสามารถใช้เทคนิค ที่เรียกว่า NAT (Network Address Translation) เข้าช่วยได้ Private IP นี้สามารถกำหนดขึ้นมาใช้ได้เอง โดยทั่วไปแล้วจะใช้กับ Intranet ในหน่วยงาน ในส่วนของ Public IP หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า Real IP นั้นใช้ในเครือข่าย Internet โดยจะต้องขอไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแล IP Address ในแต่ละประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละหน่วยงานที่ขอ IP Address ต้องได้หมายเลขที่ไม่ซ้ำกับใครเลยในโลกนี้ด้วยครับ ในประเทศไทยหน่วยงานที่กำกับดูแลคือ thnic.net
Class A10.0.0.010.255.255.2552424 = 16777216Class B172.16.0.0172.32.255.2551616 = 65536Class C192.168.0.0192.168.255.25588 = 256
(Private IP) IP Address & Subnet Mask ที่ควรรู้
หลายคนเคยได้ยินคำว่า " IP Address " แต่มันคืออะไร? และ " Subnet Mask " คืออะไร? วันนี้เราจะพูดคุยถึงหัวข้อสองหัวข้อนี้กันดีกว่าเพื่อให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้นและเป็นพื้นฐานที่ควรรู้
IP Address คืออะไร?
IP Address คือ (Internet Protocol Address) เป็นหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์โดยคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายจะมีหมายเลขประจำเครื่องเป็นของตัวเองที่ใช้ Protocol TCP/IP โดยสามารถเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ คือ IP Address ก็เหมือนเลขที่บ้าน, หมายเลขห้อง, หมายเลขโทรศัพท์, เป็นต้น IP Address มีความสำคัญ เช่น การส่งไฟล์ หากันระหว่างสองเครื่องจำเป็นต้องมีที่อยู่ผู้ส่ง และ ผู้รับเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ จะไม่ได้เกิดความผิดพลาดของข้อมูลเวลาทำการส่ง IP Address จะประกอบไปด้วยตัวเลข 4 ชุดและจะมีเครื่องหมายจุดขั้นกลางระหว่างตัวเลขของชุด (Private IP) เช่น
- 10.10.0.1
- 172.16.0.1
- 192.168.0.1
โดยหมายเลข IP Address ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นจะไม่ซ้ำกัน โดยตัวเลขทั้ง 4 ชุดนี้จะแบ่งออกเป็น Network IP กับ Host ID ซึ่งจะเป็นตัวบอกให้เราทราบว่าคอมพิวเตอร์เรานั้นอยู่ใน Network วงไหน และ Class ไหน ดังภาพตัวอย่าง
- เครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับ IP Address เป็น : 10.0.0.96
สาเหตุที่ต้องทำการแบ่ง Class นั้นเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นการแบ่ง IP Address ออกเป็นหมวดหมู่นั้นเอง โดย IP Address จะมี 3 Class ด้วยกันโดยแต่ละ Class นั้นคือ (Private IP)
- Class A : 10.0.0.0 - 10.255.255.255
- Class B : 172.16.0.0 - 172.31.255.255
- Class C : 192.168.0.0 - 192.168.255.255
Subnet Mask คืออะไร?
พูดถึงเจ้าตัว Subnet Mask คือ เป็นค่า Parameter ซึ่งใช้ระบุควบคู่กับเจ้าตัว IP Address โดย Subnet Mask มีหน้าที่แบ่งแยกส่วนของ IP Address ว่าส่วนไหนเป็น Network Address และ ส่วนไหนเป็น Host Address โดยจะสามารถสังเกตได้เพราะทุกครั้งเมื่อเรากำหนดหมายเลข IP Address ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายต้องกำหนด Subnet Mask ลงไปด้วยทุกครั้ง IP Address จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอยู่ที่ Subnet Mask ที่เรากำหนดค่าไว้ให้
ในหนึ่ง Subnet Mask จะประกอบไปด้วย 3 อย่างหลัก ๆ คือ
- Subnet ID หรือ IP Address เริ่มต้นของแต่ละ Network
- IP Address ของสมาชิก
- Broadcast Address หรือ IP Address สุดท้ายของ Network
- Class A จะมี Subnet Mask เป็น 255.0.0.0
- Class B จะมี Subnet Mask เป็น 255.255.0.0
- Class C จะมี Subnet Mask เป็น 255.255.255.0
โดย IP Address Private Network ของแต่ละ Class นั้นจะมีดังนี้
- Class A : 10.0.0.0 - 10.255.255.255 มีสมาชิกในเครือข่ายทั้งหมด 16,777,214 เครื่อง
- Class B : 172.16.0.0 - 172.31.255.255 มีสมาชิกในเครือข่ายทั้งหมด 65,534 เครื่อง
- Class C : 192.168.0.0 - 192.168.255.255 มีสมาชิกในเครือข่ายทั้งหมด 254 เครื่อง
ในส่วนของ Mask bits จะเป็นตัวกำหนดว่าให้มีสมาชิกในระบบได้ทั้งหมดกี่เครื่องเช่น /24 จะมีสมาชิกในเครื่อข่ายได้ 256 เครื่องโดยแบ่งเป็น Subnet ID และ Broadcast Address จะเหลือ IP Address ที่สามารถใช้ได้ 254 เครื่อง
*MikroTik สามารถคำนวน Subnet Mask ได้เช่นกันเพียงแค่เอา Cursor ของเมาส์ไปจ่อที่ช่อง Address ก็สามารถรู้ได้ว่าใช้งานได้กี่เครื่องดังรูป