สวัสดีครับทุกคน ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีแบบนี้ หลายคนกำลังหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีกันอยู่ใช่ไหมครับ จะให้ซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์อย่างเดียวก็จะกระจุกตัวเกินไปเพราะไม่มีการกระจายความเสี่ยงเอาเสียเลย ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องกระจายความเสี่ยงโดยการใช้สิทธิอื่นๆ ด้วยนะครับ เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่เพิ่งเปิดใหม่ มาแทนกองทุน LTF ที่ปิดไปเมื่อปีที่แล้ว
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) คืออะไร
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) จากธนาคารกสิกรไทย (บลจ.กสิกร)
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) จากธนาคารกรุงเทพ (บลจ.บัวหลวง)
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) จาก บลจ.วรรณ
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา (บลจ.กรุงศรี)
ปีนี้หลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนก็ได้ออกกองทุนใหม่ๆ มาแทนกองทุนที่ได้ปิดไป เช่น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย ทำให้เราได้มีโอกาสลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนตามกองทุนที่หลากหลายและสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ด้วย มาดูกันว่าแต่ปีนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย มีกองทุนดีๆ อะไรบ้าง
K-FIXEDPLUS-SSF (กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส ชนิดเพื่อการออม)
- มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ A+ โดยลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้มีความผันผวนต่ำเพราะกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ที่หลากหลายและมีเสี่ยงต่ำอยู่ที่ระดับ 4
- กองทุนนี้เน้นลงทุนใน เงินฝาก หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน พันธบัตรหรือตราสารหนี้รัฐบาล ฯลฯ
- กองทุนนี้ไม่มีเงินปันผลแต่เน้นสะสมผลตอบแทนในระยะยาวจากการขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อครบสัญญา
- ความผันผวนต่ำ เพราะกระจายลงทุนในตราสารหนี้กว่า 70 ตัว โดยพิจารณาทั้งภาพรวมเศรษฐกิจและความเสี่ยง
K-GINCOME-SSF (กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม ชนิดเพื่อการออม)
- นโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan (ลงทุนแบบ Feeder Fund คือ เอาไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีกที) ซึ่ง JPMorgan ลงทุนใน ตราสารหนี้ ตราสารทุน อสังหาริมทรัพย์ (REITs) ทั้งหลักทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศมีความเสี่ยงปานกลาง ระดับ 5
- มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง เหมาะกับผู้ที่การเงินปันผลระหว่างทางด้วย
- บาลานซ์ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบผสม ให้ความผันผวนต่ำกว่าหุ้น และมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้
- สร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด จากการเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนสูง ทั้งในรูปดอกเบี้ยและเงินปันผล
K-CHANGE-SSF (กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม)
- กองทุนตราสารทุนมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Positive Change Fund (GBP) (ลงทุนแบบ Feeder Fund คือ เอาไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีกที) มีความเสี่ยงสูง ระดับ 6
- กองทุนหลักจะเน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม เช่น การศึกษา ความเท่าเทียม สุขภาพ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
- กองทุนนี้ไม่มีเงินปันผลแต่เน้นสะสมผลตอบแทนในระยะยาวจากการขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อครบสัญญา
K-STAR-SSF (กองทุนเปิดเค สตาร์ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม)
- เน้นลงทุนเฉพาะในหุ้นไทยของบริษัทที่มีความมั่นคง มีการเติบโตและผลตอบแทนสูง โดยผู้จัดการกองทุนจะจับจังหวะซื้อ-ขายหุ้นตลอดเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนสัดส่วนน้ำหนักการลงทุน เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะสั้น ทำให้มีความเสี่ยงสูง ระดับ 6
- สินทรัพย์ที่ลงทุนเช่น กลุ่มพลังงาน พาณิชย์ ธนาคาร ขนส่ง อาหาร/เครื่องดื่ม เงินฝาก หุ้นกู้
- ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลแต่เน้นสะสมผลตอบแทนในระยะยาวจากการขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อครบสัญญา
- บริหารด้วยกลยุทธ์เดียวกับกองทุน K-STAR-A(R) ที่ติดอันดับ 5 ดาว Morningstar
- ทำกำไรตลอดเวลา ด้วยเทคนิค Tactical Trading ผู้จัดการกองทุนจับจังหวะซื้อ-ขาย หุ้นตลอดเวลา เพื่อโอกาสทำกำไรในทุกช่วง
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่…
//www.kasikornasset.com/Pages/SSF.html
อย่าลืมนะครับ!! การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
ปรึกษาการวางแผนลดหย่อนภาษีด้วยกองทุนรวมฯ SSF ได้ทางไลน์หรืออินบ๊อกครับ (ใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุนตราสารทั่วไป เลขที่ทะเบียน 115446)
นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่ไทยยังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา และคนมีรายได้โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ประกอบกับการเก็บออมในระยะยาวยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีเงินเกษียณไม่เพียงพอ ดังนั้น การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF จึงตอบโจทย์การออมเพื่ออนาคตวัยเกษียณได้
โดยผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังสินทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงอันเกิดจากการกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า เนื่องจาก ภาวะตลาดการลงทุนทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับธนาคารกลางจากประเทศแกนหลักต่างอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมากเพื่อรักษาสภาพคล่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อการเข้าลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
นายสุรเดชกล่าวต่อไปว่า บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนหุ้นในกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สอดรับกับเทรนด์โลกอย่าง กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม (K-CHANGE-SSF) และกองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (K-CHANGE-RMF) และกองทุนหุ้นในกลุ่มประเทศมหาอำนาจที่มีความแข็งแกร่ง และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีต่อการเติบโตในอนาคตอย่าง กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (K-USA-RMF) และกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (K-CHINA-RMF)
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-ต่ำ ขอแนะนำ กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม ชนิดเพื่อการออม (K-GINCOME-SSF) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFIRMF) ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ถือเป็นการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว อีกทั้งยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีปลายปีนี้
กองทุน K-CHANGE-SSF เป็นกองทุนขายดีอันดับ 1 ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม SSF ทั้งอุตสาหกรรม (ข้อมูล: Morningstar ณ พ.ย. 63) มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Positive Change – Class B accumulation (GBP) ที่เน้นลงทุนในหุ้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อโลก และเป็นหุ้นเติบโตสูง (Growth Stock)
โดยมีตัวอย่างธุรกิจ อาทิ Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในโลก Tesla บริษัทผู้ผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า Moderna บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 และ Bank Rakyat Indonesia ธนาคารรัฐวิสาหกิจที่มีบริการทางการเงินสำหรับกลุ่มคนผู้มีรายได้ต่ำ ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นติดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar
โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทำผลงานได้อยู่ที่ 80.14% ต่อปี เอาชนะดัชนี MSCI ACWI ซึ่งอยู่ที่ 15.01% ต่อปี (ข้อมูล: Morningstar ณ วันที่ 30 พ.ย. 63) สำหรับผู้ที่สนใจในนโยบายการลงทุนดังกล่าว และต้องการลงทุนเพื่อการเกษียณ ก็สามารถเลือกลงทุนได้ในกองทุน K-CHANGE-RMF
กองทุน K-USA-RMF มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds US Advantage Fund – Z Shares ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพสูงในตลาดสหรัฐฯ สอดรับกับกระแสยุคดิจิทัล และมีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาวอาทิ Amazon, Twitter, Spotify, Shopify และ Square โดยใช้กลยุทธ์ Bottom-up Approach ในการเลือกหุ้นแบบรายตัว (Stock Selection) ทั้งนี้ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนหลักสามารถทำผลงานได้โดดเด่นอยู่ที่ 67.39% ต่อปี เอาชนะดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 17.46% ต่อปี (ข้อมูล: Morningstar ณ วันที่ 30 พ.ย. 63)
กองทุน K-CHINA-RMF มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) – USD ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนทุกชนิด (All China) ที่เป็นหุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่มีคุณภาพสูง (High Quality) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy) อาทิ Alibaba, Tencent และ Meituan-Dianping ทั้งนี้ กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี และมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 66.34% ต่อปี เอาชนะดัชนี MSCI China 10/40 ซึ่งอยู่ที่ 35.43% ต่อปี (ข้อมูล: Morningstar ณ วันที่ 30 พ.ย. 63)
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุน K-GINCOME-SSF ที่เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก ตราสารหนี้ และหุ้น เป็นต้น ผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Investment Funds – Global Income Fund, Class A (mth)-EUR
โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา มุ่งหาสินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอ พร้อมโอกาสรับเงินปันผลระหว่างการลงทุน และสำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุน KFIRMF ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีความมั่นคงสูง และมีความผันผวนต่ำ
นายสุรเดชกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ง่ายๆ ด้วยเงินเพียง 500 บาท ผ่านแอป K PLUS หรือ K-My Funds และ ธนาคารกสิกรไทย หรือ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี
สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุน SSF และ RMF กสิกรไทย ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. 63 – 30 ธ.ค. 63 โดยยอดลงทุนสุทธิทุก 50,000 บาท รับ Cash Back 100 บาท (สูงสุด 1,000 บาท/ท่าน) สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางการลงทุนข้างต้น หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888