ในส่วนของรูปทรงและขนาดนั้น AirPods Pro และ AirPods Pro Gen 2 นั้นจะมาพร้อมรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันทุกประการ รวมถึงขนาดที่เท่ากันทั้ง 2 รุ่นทั้งตัวหูฟังและเคส โดยขนาดของหูฟังอยู่ที่ สูง: 30.9 x กว้าง: 21.8 x หนา: 24.0 มิลลิเมตร ส่วนของเคสอยู่ที่ สูง: 45.2 x กว้าง: 60.6 x หนา: 21.7 มิลลิเมตร
โดยส่วนที่แตกต่างกันจะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอยู่ตรงที่น้ำหนักครับ โดยตัวหูฟัง AirPods Pro ในรุ่นแรกจะหนักกว่าอยู่ที่ข้างละ 5.4 กรัม และส่วนของเคสในรุ่นที่ 2 จะหนักกว่าอยู่ที่ 50.8 กรัมครับ
2. การเชื่อมต่อและ Chipset ภายใน
สำหรับการเชื่อมต่อในรุ่น AirPods Pro Gen 2 ก็ขยับมาใช้ Bluetooth เวอร์ชัน 5.3 ที่เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุด จากเดิมที่ใช้เพียงเวอร์ชัน 5.0 เท่านั้น นอกจากนี้ด้านของ Chipset ภายในก็เป็นอีกจุดที่ได้รับการอัพเกรดโดยในรุ่น AirPods Pro Gen 2 ได้เปลี่ยนมาใช้ Chipset Apple H2 เป็นครั้งแรกจากที่ใช้ Apple H1 มาหลายรุ่น โดยข้อดีของ Chipset Apple H2 นั้นจะให้ประสบการณ์ในเรื่องของการฟังเสียงเพลงที่ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าเดิม รวมถึงยังปรับปรุงในเรื่องของเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio ที่จากในรุ่นก่อนหน้าจะมีเฉพาะค่าดั้งเดิมที่อาจจะไม่เหมาะกับศีรษะและช่องหูของผู้ใช้งานแต่ละคนที่แตกต่างกัน มาในรุ่นใหม่นี้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งการขับเสียงรอบทิศทางให้เข้ากับรูปทรงศีรษะและช่องหูของผู้ใช้งานที่แตกต่างกันได้แล้ว
นอกจากนี้ในตัวเคสสำหรับพกพายังมีการใส่ Chipset Apple U1 เข้ามาทำให้รองรับการค้นหาผ่านฟังก์ชัน Find My จากเดิมที่สามารถใช้ค้นหาได้เพียงแค่หูฟังเท่านั้น ในรุ่นนี้สามารถค้นหาเคสชาร์จได้แล้ว ที่สำคัญตัวเคสยังเพิ่มลำโพงมาสำหรับการส่งเสียงออกมาเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาอีกด้วยครับ
3. การตัดเสียงรบกวนและการรับเสียงจากภายนอก
ข้อดีของ Chipset Apple H2 นั้นไม่เพียงแต่เสียงที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ยังส่งผลในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนอีกด้วย จากเดิมในรุ่นที่แล้วก็สามารถตัดเสียงรบกวนได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว มาในรุ่นนี้สามารถตัดเสียงได้เงียบสนิทยิ่งกว่าเดิม รวมถึงฟังก์ชันรับเสียงจากภายนอกที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่จะรับเสียงจากภายนอกมาทั้งหมด ในรุ่นนี้สามารถตัดเสียงรบกวนที่ไม่จำเป็นออกไปได้ เพื่อการรับเสียงสนทนารอบตัวที่คมชัดมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ
4. จุกซิลิโคนและการควบคุม
Apple AirPods Pro 2 ยังมาพร้อมจุกซิลิโคนที่มากขึ้นกว่าเดิมอีก 1 คู่ จากเดิมที่จะให้มาเพียงแค่ 3 คู่ S, M และ L มาในรุ่นนี้มีการเพิ่มไซส์ XS เข้ามาอีก 1 ไซส์ ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีขนาดช่องหูเล็กมากๆ หรือเล็กกว่าผู้ใช้งานทั่วๆ ไปนั่นเองครับ อีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงนั่นคือส่วนของการควบคุมที่ในรุ่นที่ 2 สามารถเพิ่ม-ลดเสียงได้ที่ตัวหูฟังแล้ว ผ่านการลูบขึ้นลงที่ตัวหูฟังนั่นเอง โดยเป็นฟังก์ชันที่ผู้ใช้งานรอคอยมาอย่างยาวนานซึ่งทำให้การใช้งาน AirPods Pro 2 นั้นยอดเยี่ยมและง่ายขึ้นกว่าเดิมมากครับ
5. แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิม
Apple AirPods Pro 2 ยังได้รับการอัพเกรดในเรื่องแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น จากเดิมที่ใช้งานได้ 4.5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จากนั้นชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกเป็น 24 ชั่วโมง มาในรุ่นที่ 2 สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง จากนั้นชาร์จเพิ่มจากเคสได้อีกรวมเป็น 30 ชั่วโมง รับรองได้ว่าถูกใจผู้ใช้งานที่ต้องการหูฟังที่มีแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานอย่างแน่นอนครับ
นอกจากนี้ตัวเคสชาร์จยังเพิ่มตัวเลือกการชาร์จเข้ามา จากเดิมที่ชาร์จได้ผ่านสาย Lightning และ MagSafe มาในรุ่นที่ 2 นี้ตัวเคสชาร์รองรับการชาร์จผ่านที่ชาร์จ Apple Watch เป็นอีกตัวเลือกเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกการชาร์จที่หลากหลายและครบครันตอบโจทย์สาวก Apple แบบสุดๆ ครับ
เปรียบเทียบสเปคและฟีเจอร์ AirPods 2, AirPods 3 รุ่นใหม่ล่าสุด และ AirPods Pro ไปดูกันว่าแต่ละรุ่นมีอะไรแตกต่างกันบ้าง เผื่อใครกำลังสนใจรุ่นใหม่จะได้เห็นจุดแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น
เปรียบเทียบฟีเจอร์เด่น
ระบบเสียงตามตำแหน่งพร้อมการติดตามศีรษะแบบไดนามิกSpatial Audio
ระบบเสียงตามตำแหน่งพร้อมการติดตามศีรษะแบบไดนามิก—ทนเหงื่อและน้ำ (IPX4)ทนเหงื่อและน้ำ (IPX4)ชิป H1ชิป H1ชิป H1หวัดดี Siriหวัดดี Siriหวัดดี Siriฟังได้นานสูงสุด 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งฟังได้นานสูงสุด 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งฟังได้นานสูงสุด 4.5 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งฟังได้นานกว่า 24 ชั่วโมง
เมื่อมีเคสชาร์จฟังได้นานกว่า 30 ชั่วโมง
เมื่อมีเคสชาร์จฟังได้นานกว่า 24 ชั่วโมง
เมื่อมีเคสชาร์จการสลับอุปกรณ์อัตโนมัติการสลับอุปกรณ์อัตโนมัติการสลับอุปกรณ์อัตโนมัติเคสชาร์จเคสชาร์จ MagSafeเคสชาร์จ MagSafe
AirPods รุ่นใหม่พร้อมเคสชาร์จ สามารถฟังเพลงได้ยาวนานสูงสุดถึง 30 ชั่วโมง โดยเคสชาร์จรองรับ MagSafe และแค่ชาร์จ AirPods ในเคสเพียง 5 นาที ก็ฟังเพลงได้นานถึงประมาณ 1 ชั่วโมง
เปรียบเทียบเทคโนโลยีด้านระบบเสียงและเซ็นเซอร์
ระบบเสียงตามตำแหน่งพร้อมการติดตามศีรษะแบบไดนามิกSpatial Audio
ระบบเสียงตามตำแหน่งพร้อมการติดตามศีรษะแบบไดนามิก——ระบบช่องระบายอากาศเพื่อการรักษาแรงดันให้เท่ากันเซ็นเซอร์คู่แบบออปติคัลเซ็นเซอร์ตรวจจับผิวหนังเซ็นเซอร์คู่แบบออปติคัลอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการพูดอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการพูดอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการพูด—เซ็นเซอร์แรงกดเซ็นเซอร์แรงกดไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่งไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่ง
ไมโครโฟนที่หันเข้าด้านในไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่ง
ไมโครโฟนที่หันเข้าด้านใน
AirPods 3 รองรับ Spatial Audio ระบบเสียงตามตำแหน่งจะทำให้เสียงอยู่ล้อมรอบตัวผู้ใช้เพื่อสร้างประสบการณ์การฟังแบบสามมิติที่เหมือนในโรงภาพยนตร์ และเมื่อมาพร้อม Dolby Atmos ด้วยแล้ว บอกเลยว่านี่จะเป็นเสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยได้ยินจาก AirPods
นอกจากนี้ก็มีเซ็นเซอร์ตรวจจับผิวหนังแบบใหม่จะสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างหูกับพื้นผิวอื่นๆ อย่างกระเป๋าเสื้อหรือโต๊ะได้อย่างแม่นยำ และจะหยุดเล่นชั่วคราวเมื่อ AirPods ไม่ได้อยู่ในหู
เปรียบเทียบการควบคุมและการเชื่อมต่อ
หรือรับสายโทรศัพท์บีบหนึ่งครั้งเพื่อเล่น หยุดพัก
หรือรับสายโทรศัพท์พูดว่า “หวัดดี Siri” เพื่อทำสิ่งต่างๆ อย่างเล่นเพลง โทรออก หรือเรียกดูเส้นทางบีบสองครั้งเพื่อข้ามไปข้างหน้าบีบสองครั้งเพื่อข้ามไปข้างหน้า—บีบสามครั้งเพื่อข้ามไปข้างหลังบีบสามครั้งเพื่อข้ามไปข้างหลัง—บีบค้างไว้เพื่อเรียกใช้งาน Siriบีบค้างไว้เพื่อสลับระหว่างการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟและโหมดฟังเสียงภายนอก—พูดว่า “หวัดดี Siri” เพื่อทำสิ่งต่างๆ อย่างเล่นเพลง โทรออก หรือเรียกดูเส้นทางพูดว่า “หวัดดี Siri” เพื่อทำสิ่งต่างๆ อย่างเล่นเพลง โทรออก หรือเรียกดูเส้นทางBluetooth 5.0Bluetooth 5.0Bluetooth 5.0
AirPods 3 มีเซ็นเซอร์แรงกดที่ก้านหูฟังสามารถใช้ควบคุมความบันเทิงได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถบีบเพื่อเล่น หยุดพัก และข้ามเพลง หรือจะรับสายและวางสายก็ได้
ทั้งหมดนี้ก็เป็นสรุปฟีเจอร์ เปรียบเทียบ AirPods 2, AirPods 3 และ AirPods Pro แตกต่างกันตรงไหนบ้าง จะได้ตัดสินใจกันได้ง่ายมากขึ้นในการเลือกจับจองเป็นเจ้าของหูฟังจาก Apple ครับ