การเก็บภาษีอากร นอกจากมีวัตถุประสงค์ในการหารายได้เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่ายของรัฐบาลแล้ว ในปัจจุบันภาษีอากรยังเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการกระจายรายได้ ส่งเสริมความเจริญเติบโตธุรกิจการค้า รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ช่วยควบคุมการบริโภคของประชาชน หรือเพื่อสนองนโยบายบางประการของรัฐบาล (เช่น การศึกษา การสวัสดิการสังคม นโยบายประชากร) ด้วย
รัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับมักมีบัญญัติให้ประชาชนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรตามกฎหมายบัญญัติในการบัญญัติ กฎหมายภาษีอากรที่ดีนั้น มีหลักการบ่งประการที่ควรคำนึงถึง เพื่อประชาชนมีความสมัครใจในการเสียภาษีอากร และให้กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาษีอากรที่ดีมีลักษณะดังนี้
- มีความเป็นธรรม ประชาชนควรมีหน้าที่เสียภาษีอากรให้แก่รัฐบาล โดยพิจารณาถึงความสามารถในการเสียภาษีอากรของประชาชนแต่ละคน ประกอบกับการพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละคนได้รับเนื่องจากการดูแลคุ้มครองของรัฐบาล
- มีความแน่นอนและชัดเจน ประชาชนสามารถเข้าใจความหมายได้โดยง่าย และเป็นการป้องกัน มิให้เจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
- มีความสะดวก วิธีการกำหนดเวลาในการเสียภาษีอากรควรต้องคำนึงถึง ความสะดวกของผู้เสียภาษีอากร
- มีประสิทธิภาพ ประหยัดรายจ่ายผู้จัดเก็บและผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรทำให้จัดเก็บภาษีอากรได้มากโดยมีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บน้อยที่สุด
- มีความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ พยายามไม่ให้การเก็บภาษีอากรมีผลกระทบ ต่อการทำงานของกลไกตลาด หรือมีผลกระทบน้อยที่สุด
- มีความยืดหยุ่น สามารถปรับปรุงเพิ่มหรือลดจำนวนภาษีอากรให้เหมาะกันสถานการณ์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
การจำแนกประเภทภาษีอากร โดยพิจารณาจากลักษณะการรับภาระภาษีอากรนี้ แบ่งภาษีอากรออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทที่หนึ่ง
- ภาษีทางตรง ได้แก่ ภาษีที่ชำระภาษีตกแก่บุคคลที่กฎหมายประสงค์จะให้รับภาระ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งผู้เสียภาษีผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้ยาก เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล
- ประเภทที่สอง ภาษีทางอ้อม ได้แก่ ภาษีภาระภาษีไม่แน่ว่าจะตกแก่บุคคลที่กฎหมายประสงค์จะให้รับภาระหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้เสียภาษีผลักภาระไปให้ผู้อื่นได้ง่าย เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต
//www.gotoknow.org/posts/300089
ทั้งนี้ ทางบริษัท เอ็.ดี.ซอฟต์ จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบ ERP เพื่อให้ตอบสนองความต้องการ และ ครอบคลุม การใช้งาน ทุกแผนกภายในองค์กร เพื่อการจัดการบริหารที่ง่าย ยกตัวอย่างเช่น การออกเอกสารที่เกี่ยวกับบัญชีต่าง ๆ เช่น ใบแจ้งนี้, ใบวางบิล, ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จ, หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย, ใบสำคัญต่าง ๆ, รายงานภาษีซื้อ - ขาย, รวมไปถึงงบการเงินต่าง ๆ หากสนใจสามารถที่จะสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการได้ที่ สอบถามข้อมูลบริการ ได้ค่ะ
หลายคนคงจะสงสัยกันไม่น้อยเลยเกี่ยวกับประเภทของ ภาษี หรือรายละเอียดของ ภาษี แต่ละแบบนั้น วันนี้เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับภาษีแต่ละแบบให้ชัดเจนกันดีกว่า
ภาษีภาษี มี 5 ประเภทจำแนกได้ ดังนี้
- ภาษีอากรตามระดับที่จัดเก็บ ได้แก่
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต เรียกกันว่า ภาษีระดับประเทศ
- ส่วนภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย ภาษีท้องที่ เรียกว่า ภาษีระดับท้องถิ่น
- ภาษีอากรตามหลักการผลักภาระภาษี ได้แก่
- ภาษีทางตรง คือภาษีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น
- ภาษีทางอ้อม คือภาษีที่ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น
- ภาษีอากรตามวิธีการประเมินภาษี ได้แก่
- ภาษีตามมูลค่า คือภาษีที่เรียกเก็บตามมูลค่าของฐานภาษี ปกติจะ กำหนดอัตราภาษีเป็นร้อยละ เช่น ร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น
- ภาษีตามสภาพ เป็นภาษีที่จัดเก็บตามปริมาณของฐานภาษี ดังนั้นการจัดเก็บภาษีจึงจัดเก็บเป็นอัตราต่อปริมาณ เช่นจัดเก็บตามกิโลกรรม ตามชิ้นภาษีที่ จัดเก็บตามปริมาณได้แก่ ภาษีสรรสามิตร ภาษีศุลกากร
- ภาษีอากรตามลักษณะการนำเงินภาษีไปใช้ ได้แก่
- ภาษีทั่วไป จัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในกิจการทั่วไปของรัฐ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร เป็นต้น
- ภาษีเพื่อการเฉพาะอย่าง จัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในกิจการใดกิจการหนึ่ง โดยเฉพาะจะนำไปใช้เพื่อกิจการอื่นไม่ได้ เช่น ภาษีน้ำตาล ภาษีที่เก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นกองทุนน้ำมัน เป็นต้น
- ภาษีตามความถาวรของกฎหมายภาษีอากร ได้แก่
- ภาษีถาวร คือภาษีที่เก็บอยู่เป็นปกติในแต่ละปี เช่น ภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีโรงเรือน เป็นต้น
- ภาษีชั่วคราว คือภาษีที่จัดเก็บเป็นการชั่วคราวเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน หรือเพื่อ กิจการใดกิจการหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์นั้นแล้วก็จะยกเลิกการเก็บ เช่น การเก็บ ภาษีเพิ่มขึ้นในช่วงสงครามเพื่อนำไปใช้ในการป้องกันประเทศเป็นต้น
ผลกระทบของการจัดเก็บภาษีอากร
การจัดเก็บภาษีในแต่ละปีนั้น ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจหลายด้าน ที่สำคัญคือ ผลกระทบด้านการจัดสรรทรัพยากร ด้านการกระจายรายได้ และผลกระทบต่อผลผลิตของชาติ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
ผลกระทบด้านการจัดสรรทรัพยากร การเก็บภาษีคือการโอนย้ายทรัพยากรจาก ภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐ ดังนั้นผลกระทบจะเกิดกับส่วนใด ขึ้นอยู่กับว่า รัฐเรียกเก็บภาษีแต่ละประเภทจากคนกลุ่มใด เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่จัดเก็บจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้า ดังนั้น ถือว่าภาษีประเภทนี้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ใช้สินค้าหรือบริการ ที่ต้องส่งหรือโอนเงินให้กับรัฐบาล เป็นต้น
ผลกระทบด้านการกระจายรายได้ อย่างที่กล่าวไว้ว่าการจัดเก็บภาษีจะจัดเก็บจากผู้ที่มีเงินได้ ซึ่งมีผลทำให้รายได้ที่แท้จริงของผู้มีเงินได้ลดลง การจัดเก็บภาษีจึงมีผลต่อการกระจายรายได้ด้วย หมายความว่า ถ้าภาษีส่วนใหญ่ของประเทศเป็นภาษีทางตรงในอัตราที่ก้าวหน้า ภาระภาษีก็จะตกอยู่กับคนที่มีรายได้สูง ทำให้การกระจายรายได้มีความเป็นธรรม หรือถ้าภาษีนั้นเป็นภาษี ทางอ้อมเช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาระภาษีก็จะกระจายให้กับคนทุกกลุ่มที่ใช้สินค้าหรือบริการ ผลกระทบต่อการผลิตของชาติ การเก็บภาษีจะมีผลต่อการบริโภค การออม และการ ลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงการผลิตด้วย การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการผลิตจึง ขึ้นอยู่กับการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละประเภทเป็นสำคัญ เช่น การเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจะทำให้ รายได้ของผู้เสียภาษีน้อยลง การทำงานลดลง การจ้างงานลดลง ส่งผลให้การผลิตรมของชาติลดลง ไปด้วย เป็นต้น
การหลบหนีภาษีกับการหลบหลีกภาษี
การหลบหนีภาษี คือการที่ผู้เสียภาษีใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายหรือฉ้อฉลเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือเสียภาษีน้อยลง ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีความผิดและต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ตกตัวอย่างเช่น ผู้เสียภาษีไม่กรอกจำนวนเงินได้ที่แท้จริงในแบบแสดงรายการโดยเจตนา เพื่อให้เสียภาษีน้อย การตั้งราคาโอน (Transfer Pricing) ก็เป็นการหลยหนีภาษีเช่นเดียวกัน การตั้งราคาโอนในที่นี้คือ การที่บริษัทในเครือของบริษัทข้ามชาติ (Multinational Firm) ซื้อสินค้าจากบริษัทแม่หรือในบริษัทในเครือในต่างประเทศในราคาสูงกว่าความเป็นจริง เพื่อทำให้ต้นทุนสูง กำไรของบริษัทในประเทศไทยจะได้ต่ำ ทำให้เสียภาษีน้อยลง หรือการที่บริษัท ในประเทศไทยขายสินค้าให้แก่บริษัทแม่หรือบริษัทในเครือในต่างประเทศในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง กำไรจะได้ต่ำหรือขาดทุน ทำให้เสียภาษีน้อยลง หรือไม่ต้องเสียภาษีเลย
การหลบหลีกภาษี คือ การที่ผู้เสียภาษีใช้วิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือเสียภาษีน้อยลง ด้วยการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายภาษีอากร (Tax Loopholes) ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมาย ตัวอย่างของการหลบหลีกภาษีเช่น การที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยไม่นำเงินได้ที่ได้รับจาการทำงานหรือประกอบธุรกิจในต่างประเทศมายื่นแสดงรายได้ในปีภาษีเดียวกันกับที่ได้รับเงินได้นั้น แต่นำเข้ามาในปีภาษีอื่น ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีในปีภาษีนั้นๆ ซึ่งเป็นการหลบหลีกภาษีที่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะตามแนวทางการปฏิบัติของกรมสรรพากร หากผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยไม่นำเงินได้ที่ได้รับจากการทำงาน หรือประกอบธุรกิจในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับที่ได้รับเงินได้นั้น กรมสรรพากรจะไม่เก็บภาษีจากเงินได้ดังกล่าว
ได้รู้ถึงรายละเอียดของภาษีแต่ละประเภทกันไปแล้ว ผู้มีเงินได้ทุกคนก็ควรยื่นแบบแสดงรายได้กันอย่างถูกต้อง ไม่ควรหลีกเลี่ยงภาษี อย่าลืมว่า ภาษีเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปพัฒนาชาติ เมื่อชาติเจริญ ประโยชน์ก็จะกลับมาสู่ตัวเรานั่นเอง
ภาษีทางตรงกับทางอ้อมต่างกันอย่างไร
สำหรับภาษีทางตรง คือ ภาษีที่ไม่สามารถผลักภาระให้ผู้อื่นได้ แต่จะเรียกเก็บโดยตรงจากบุคคลที่กฎหมายประสงค์ให้รับภาระนั่นเอง ในขณะที่ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่สามารถผลักภาระไปยังผู้อื่นได้ คือ การจัดเก็บภาษีจากผู้ซื้อ หรือผู้บริโภคให้เป็นผู้รับชำระภาษีอากรแทนผู้ขายภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีประเภทใด ทางตรง ทางอ้อม
ผู้มีเงินได้ ประกอบด้วย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น เป็นภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องจ่ายภาษีเอง หรือภาษีที่เรียกเก็บโดยตรงจากผู้มีเงินได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่ต้องจ่ายภาษีเองภาษีทางอ้อมมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
ภาษีทางอ้อม คือภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภค เมื่อมีการซื้อสินค้าหรือบริการในประเทศไทย เป็นภาษีที่ผลักภาระให้กับผู้ซื้อหรือผู้บริโภคให้รับภาระภาษีแทนผู้ขาย ซึ่งมี 3 ประเภทด้วยกันที่เรียกเก็บจากผู้บริโภค เมื่อทำการซื้อสินค้าและบริการ ได้แก่ - ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือที่คุ้นชินกันในคำว่า “แวต (VAT)ภาระภาษีคืออะไร
ภาระภาษีตามกฎหมาย หมายถึง จำนวนหนี้ภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายต้องชำระ กล่าวคือรัฐบาลเก็บภาษีจากใครบุคคลนั้นเป็นผู้รับภาระภาษีตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ใครก็ตาม ที่ถูกเก็บภาษีเขาจะพยายามเลี่ยงภาษี หรือผลักภาระภาษีไปยังบุคคลอื่นเพื่อให้ตัวเองรับภาระภาษี น้อยที่สุด กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลเก็บภาษีจากหน่วยธุรกิจซึ่งเป็น ...