ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้ามีนาคม 15, 2019
⚡👨🏫อันตรายจากไฟฟ้ามี 2 สาเหตุสำคัญด้วยกันคือ…⚡มีนาคม 18, 2019
กระแสไฟฟ้ามีกี่ประเภท?
มี 2 ประเภทด้วยกัน
ไฟฟ้ากระแสตรง DC ( Direct Current)
เช่น แบตเตอรี่ , กระแสเชื่อมของเครื่องเชื่อมอินเวอร์เตอร์, ถ่านไฟฉาย เป็นต้นทั้งชนิดประจุไฟฟ้าใหม่ได้และชนิดใช้แล้วทิ้ง และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
ไฟฟ้ากระแสตรงสามารถไหลผ่านตัวนำไฟฟ้า เช่น สายไฟ สารกึ่งตัวนำ ฉนวนไฟฟ้า
หรือแม้กระทั่งเคลื่อนที่ในภาวะสุญญากาศในรูปของลำอิเล็กตรอนหรือลำไอออน
ประเภท
ไฟฟ้ากระแสตรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทสม่ำเสมอ เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่ไหลอย่างสม่ำเสมอตลอดไปไฟฟ้ากระแสตรงประเภทนี้ได้มาจากแบตเตอรี่หรือ ถ่านไฟฉาย
ไฟฟ้ากระแสตรงประเภทไม่สม่ำเสมอ เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่เป็นช่วงคลื่นไม่สม่ำเสมอ ไฟฟ้ากระแสตรงชนิดนี้ได้มาจากเครื่องไดนาโมหรือ วงจรเรียงกระแส
ไฟฟ้ากระแสสลับ AC (Alternating Current)
หมายถึงกระแสที่มีทิศทางไปและกลับตลอดระยะเวลา
มีการสลับขั้วบวกและลบกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนกระแสตรง (Direct Current, DC หรือ dc) ที่ไฟฟ้าจะไหลไปในทิศทางเดียวและไม่ไหลกลับ
เช่น ไฟฟ้าที่ได้จากถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ของรถยนต์ เป็นต้น
ไฟฟ้ากระแสสลับจึงเป็นไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับบ้านเรือนหรือธุรกิจอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมากๆ รูปคลื่นเป็น sine wave
ในบางกรณี รูปคลื่นอาจเป็นสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยม
🏘ไฟบ้าน (220Vac)
🏢ไฟโรงงาน (380Vac) เป็นต้น
แรงดันไฟฟ้า (Voltage) มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
กระแสไฟฟ้า (Current) มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
⚡ POWERMETERLINE⚡วัดค่ากระแสไฟฟ้า(AC)นะคะ ได้ทั้งบ้าน โรงงาน โรงแรม โรงพยาบาล ฯ เพียงขอให้มีกระแสเราก็สามารถวัดได้นะคะ!!!!
💌 Inbox : m.me/powermeterline
📞 02-068-0699
📱 096-750-9982
💚 [email protected] : @Powermeterline (อย่าลืมใส่@ข้างหน้าตอนพิมพ์ชื่อด้วยนะคะ)
: 40,121
Powermeterline
Powermeterline
Related posts
มิถุนายน 26, 2020
ประวัติของไฟฟ้า
Read moreComments are closed.
ชนิดของสายไฟ สำหรับช่างไฟอาจถือเป็นเรื่องง่ายๆ แต่หากเราต้องเปลี่ยนสายไฟในบ้านด้วยตัวเองแล้ว จะบอกความแตกต่างของสายไฟแต่ละแบบได้อย่างไร? มาทำความรู้จักกับสายไฟแต่ละประเภทกัน
ชนิดของสายไฟ มีอีกเรื่องที่ชวนงงคือ สีของสายไฟ ที่มีทั้งสีเหลือง เขียว ดำ และสีอื่นๆ อีก ซึ่งคนทั่วไปไม่ได้เชี่ยวชาญงานไฟฟ้าต่างก็สงสัยว่าแต่ละสีไว้ใช้ทำอะไรบ้าง มีข้อแตกต่างอย่างไร เราจึงรวมข้อสงสัยนี้มาตอบให้กระจ่างชัดกัน
ทำความเข้าใจเรื่องระบบส่งไฟแบบง่ายๆ ก่อน
ระบบไฟฟ้า 1 เฟส
ระบบไฟฟ้าที่ใช้กันทั่วไปตามบ้าน เป็นกระแสสลับระบบ 1 เฟส 2 สาย แรงดัน 220 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิรตซ์ โดยสายไฟ 2 สายที่ใช้ สายหนึ่งจะมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่หรือเรียกว่าสายเคอร์เรนต์ (current line) ส่วนอีกสายจะเป็นสายนิวทรัล (neutral line) ที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ จะเห็นได้จากปลั๊กไฟตามบ้านที่มีช่องเสียบอยู่ 2 ช่อง ถ้าเอาไขควงสำหรับตรวจกระแสไฟฟ้าลองวัดดูจะเห็นได้ว่าช่องหนึ่งจะมีไฟแดงปรากฏ ส่วนอีกช่องจะไม่มีไฟแดงปรากฏ แสดงว่าไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน แต่เมื่อเวลาใช้งานกับหลอดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าจำเป็นต้องใช้ร่วมกันทั้ง 2 สายเพื่อให้กระแสไฟฟ้าครบวงจร ส่วนบางแห่งที่เห็นปลั๊กไฟมี 3 ช่องนั้นยังเป็นระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟสเหมือนกัน แต่ช่องที่เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นช่องที่ต่อกับสายดิน (ground) เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลลงดินเวลาเกิดไฟรั่วเป็นการเพิ่มความปลอดภัย
ระบบไฟฟ้า 3 เฟส
ระบบไฟฟ้า 3 เฟสเป็นระบบไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส 4 สาย แรงดัน 380 โวลต์ ความถี่ 50 เฮิรตซ์ โดยที่ 3 สายจะเป็นสายที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน โดยทั่วไประบบไฟฟ้า 3 เฟสเป็นระบบที่ไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไฟฟ้าระบบนี้ไม่สามารถนำมาใช้กับระบบแสงสว่างหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าตามบ้านได้โดยตรง แต่การนำระบบไฟฟ้า 3 เฟสเข้ามาใช้ในบ้านนั้นจะนำมาแบ่งแยกให้เป็นระบบไฟฟ้า 1 เฟส 3 ชุด แล้วกระจายไปตามจุดต่างๆ ที่มีการใช้ไฟฟ้า การกระจายจุดของการใช้งานเช่นนี้ทำให้ไฟฟ้าแต่ละเฟสไม่ถูกใช้งานมาก ถือเป็นการเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้า ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้า เพราะการคิดอัตราค่าใช้ไฟฟ้าซึ่งมีหน่วยเป็น กิโลวัตต์ – ชั่วโมงจะคิดเป็นอัตราก้าวหน้า คือยิ่งมีการใช้ไฟฟ้ามากก็จะยิ่งเสียค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงขึ้น ดังนั้นการกระจายการใช้ไฟฟ้าออกเป็น 3 ส่วน จึงทำให้การใช้ไฟฟ้าในแต่ละส่วนหรือแต่ละเฟสน้อยลง ไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูง
โดยสรุปคือ ทั้ง 2 แบบ สามารถนำมาใช้งานภายในบ้านได้เหมือนกัน หากนำ ระบบไฟฟ้า 3 เฟสมาใช้นั้นจะเสียค่าใช้จ่ายในตอนต้นค่อนข้างสูง เช่น ค่าติดตั้ง ค่าประกันการใช้ไฟฟ้า แต่สามารถประหยัดค่าใช้ไฟฟ้าได้ในระยะยาว ดังนั้นควรติดตั้งกับบ้านหรืออาคารที่ค่อนข้างใหญ่ มีการใช้ไฟฟ้าหลายจุดและเป็นปริมาณมากถึงจะคุ้มกว่า แต่หากเป็นบ้านหรืออาคารที่มีขนาดเล็กและมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าไม่มากควรติดตั้งระบบไฟฟ้า 1 เฟสก็เพียงพอครับ
ชนิดของสายไฟ ภายในบ้าน
นอกจากนี้สายไฟที่ใช้ภายในบ้านยังจำแนกประเภทได้อีก 3 อย่างหลักๆ ด้วยกัน ตามนี้เลย
- สายไฟ THW – สายทองแดงข้างในเป็นเส้นเดียว หุ้มฉนวนด้วยพลาสติก PVC จึงเหมาะสำหรับการเดินสายลอยภายในบ้าน ไม่ควรเดินสายลงดิน เพราะวัสดุไม่ทนทานความชื้น
- สายไฟ VAF – สายทองแดงข้างในเป็นเส้นเดียว มีฉนวนหุ้ม 2 ชั้น ชั้นแรกจะเป็นสีขาว ชั้นที่ 2 เป็นสีตามสายไฟ มีทั้งแบบ 2 สายและ 3 สาย ฉนวนเป็นพลาสติก PVC เช่นเดียวกัน จึงเหมาะสำหรับเดินสายไฟภายในบ้าน
- สายไฟ VCT – สายทองแดงข้างในเป็นแบบเส้นฝอย มีฉนวนหุ้มเป็นวัสดุพีวีซี (สีดำ) จึงเหมาะกับเดินสายไฟใช้งานภายนอก สามารถทนความชื้น และทนความร้อนได้ แต่ห้ามฝังดินโดยตรง (ต้องร้อยท่อ)
สีของสายไฟ เกี่ยวข้องและแตกต่างกันอย่างไร
ที่พูดมาข้างต้นเกี่ยวข้องกับสีสายไฟแน่นอน ซึ่งขอเล่าก่อนว่าปัจจุบันสีของสายไฟได้เปลี่ยนแปลงไปตามผลบังคับใช้ มอก.11-2553 ซึ่งต้องการเปลี่ยนสีขนาดแรงดัน และชื่อของของสายให้ตรงกับมาตรฐาน IEC code ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และร่วมถึงประเทศที่อยู่นี้กลุ่ม AEC ด้วย ให้เป็นในแนวทางเดียวกัน สร้างความเข้าใจให้ง่ายมากขึ้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
จากเดิม
- L1 – สีดำ
- L2 – สีแดง
- L3 – สีฟ้า
- N – สีเทา
- G – สีเขียวแทบเหลือง
เปลี่ยนใหม่
- L1 – สีน้ำตาล
- L2 – สีดำ
- L3 – สีเทา
- N – สีฟ้า
- G – สีเขียวแทบเหลือง
ซึ่งระบบ 1 เฟสและ 3 เฟส จะมีสีสายไฟแตกต่างกันตามนี้
ระบบ 1 เฟส
- สายเฟส (L) ฉนวนเป็น สีน้ำตาล
- สายนิวทรัล (N) ฉนวนเป็น สีฟ้า
- สายดิน (G) ฉนวนเป็น สีเขียวแถบเหลือง
ระบบ 3 เฟส
- สายเฟส (L1) ฉนวนเป็น สีน้ำตาล
- สายเฟส (L2) ฉนวนเป็น สีดำ
- สายเฟส(L3) ฉนวนเป็น สีเทา
- สายนิวทรัล (N) ฉนวนเป็น สีฟ้า
- สายดิน (G) ฉนวนเป็น สีเขียวแถบเหลือง
ทั้งนี้ การเปลี่ยน ซ่อมแซมสายไฟด้วยตนเอง ยังคงเป็นเรื่องอันตรายอยู่นัก แนะนำว่าให้ใช้ช่างผู้ชำนาญทำการเปลี่ยนให้จะปลอดภัยกว่า แต่ตอนไปเลือกซื้อก็ควรมีความรู้ไว้ติดตัวเช่นกัน