การติดเชื้อทางเดินหายใจเกิดจากอะไร

โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนต้น เริ่มตั้งแต่ช่องจมูกจนถึงเหนือกล่องเสียง (Upper  respiratory infection) เป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่ม acute URI ซึ่งการติดเชื้อส่วนใหญ่ จะเป็นการติดเชื้อไวรัส รองลงไปการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนการติดเชื้อราพบได้น้อย โดยมักเกิดในกรณีร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งอวัยวะที่ร่วมอยู่ในระบบทางเดินหายใจส่วนบน คือ โพรงจมูก เยื่อจมูก เยื่อบุโพรงจมูก ไซนัส ลำคอ ต่อมทอนซิล ท่อนซิล คอบวมและกล่องเสียง

โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เป็นโรคพบบ่อยมาก แต่ไม่มีสถิติที่พบแน่นอน เพราะมักแยกศึกษาเป็นโรคๆ ไป เช่น ในผู้ใหญ่พบเป็นโรคหวัดได้บ่อยถึง 2-4 ครั้งต่อปี เป็นต้น

โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน พบเกิดในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงผู้สูงอายุ

สาเหตุการเกิดโรค

1.ส่วนใหญ่ของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนเกิดจากเชื้อไวรัส ได้แก่ Influenza , Rhinovirus, Parainfluenza, Adenovirus เป็นต้น

2. การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคไซนัสอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โรคต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน โรคหูชั้นกลางอักเสบ เป็นต้น

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน โรคที่ต้องระวังในเด็กคือ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งจะพบได้บ่อยในช่วงนี้ เนื่องจากอากาศมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ร่างกายอาจจะปรับสภาพได้ไม่ทัน อีกทั้งฤดูฝนมีการระบาดของเชื้อโรค ทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคทางระบบหายใจหลายชนิด ทำให้เกิดการเจ็บป่วยของโรคระบบหายใจได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

พญ.มณินทร วรรณรัตน์ กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ โรงพยาบาลเวชธานี ได้ให้ข้อมูลว่า โรคระบบทางเดินหายใจ หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอวัยวะในระบบนี้เริ่มตั้งแต่ จมูก คอ ไซนัส กล่องเสียง หลอดลมและปอด ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย และมีอาการตั้งแต่รุนแรงน้อยจนถึงมาก
ทั้งนี้ โรคหวัดในเด็กวัยเรียนที่ถือว่าเป็นปกติประมาณปีละ 6 – 8 ครั้ง สาเหตุของโรคหวัดในเด็กมากกว่า 60-70% เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีมากมาย ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางระบบหายใจมีมากกว่า 200 ชนิดขึ้นไป โดยไซโนไวรัสเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดและนอกจากนี้ อาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้ หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสจะทำให้มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เจ็บคอ ไอจาม คัดจมูก แสบตา น้ำตาไหล ตาแดง ส่วนใหญ่จะมีอาการอยู่ประมาณ 5-7 วัน ก็จะหายเป็นปกติ ถ้าเป็นหวัดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมักจะมีอาการไข้สูง บางรายอาจหนาวสั่น ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ซึ่งลักษณะของน้ำมูกมักจะมีสีเขียวปนเหลืองให้เห็นตั้งแต่วันแรกๆ ของโรค อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ และกดเจ็บร่วมด้วย จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบร่วมกับการรักษาตามอาการ
ส่วนโรคหลอดลมอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการโดยทั่วไปมักเริ่มด้วยอาการของโรคหวัดนำมาก่อน เช่น ไข้ น้ำมูกใส ต่อมามีอาการไอ เริ่มต้นมักจะไอแห้งๆ แล้วตามมาด้วยไอมีเสมหะขาวใส หรือเหลือง ขึ้นกับชนิดของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการ เป็นได้ทั้งเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย อาการไอเป็นอาการเด่นที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ บางคนจะให้ประวัติว่าไอ มากจนอาเจียน หรือไอจนนอนไม่ได้ บางครั้งจะมีลักษณะของอาการหอบร่วมด้วย

ขณะที่ โรคปอดอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อปอดเอง พบได้ในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และมักจะรุนแรงมากกว่า เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการที่พบจะประกอบด้วย ไข้ ไอ หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก ในเด็กเล็กมักจะมีอาการงอแงมากกว่าปกติ ไม่ยอมกินอาหารและน้ำ แยกจากภาวะหลอดลมอักเสบ ได้จากการตรวจร่างกาย จะฟังได้ยินเสียงผิดปกติของปอด สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งพบได้ทั้งจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย นอกจากนั้น อาจเกิดจากการสูดสำลักอาหาร และน้ำ รวมทั้งสารเคมีต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา ในเด็กที่เป็นปอดอักเสบหลายๆ ครั้ง อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจอย่างถาวรได้ เช่น ทำให้เกิดเป็นโรคถุงลมปอดโป่งพอง , โรคหลอดลมตีบแคบได้ง่ายเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น

ดังนั้นเด็กที่ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่ผู้ปกครองควรนำมาพบแพทย์ ได้แก่ เด็กอายุน้อย โดยเฉพาะน้อยกว่า 3 เดือน , ไข้สูงหายใจหอบ , ปวดบริเวณโพรงจมูก , ปฎิเสธไม่ยอมรับอาหารและน้ำ , อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์
เมื่อทราบถึงอาการของโรคระบบทางเดินหายใจกันแล้ว ในช่วงฝนตกแบบนี้ คุณพ่อ คุณแม่ที่ลูกเล็ก ๆ ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเด็ก ๆ จะมีภูมิต้านทานน้อย การรักษาอาจจะหายช้ากว่าปกติได้ ควรให้การดูแลที่เหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกันตัวอย่างเช่น การจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านที่อยู่อาศัยให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่เข้าไปบริเวณที่มีคนแออัดจำนวนมาก ล้างมือก่อนรับประทานขนม หรืออาหาร รวมทั้งมีการออกกำลังกายที่เหมาะสม กินอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดก็จะช่วยให้โอกาสการติดเชื้อลดลง นอกจากนี้ ในปัจจุบันก็มีวิวัฒนาการของวัคซีนต่างๆ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ , วัคซีนไอพีดี ที่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางระบบหายใจที่มีประสิทธิภาพ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

พญ.มณินทร วรรณรัตน์
กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ โรงพยาบาลเวชธานี

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Super Kid’s Center ชั้น 3
โทร.027340000 ต่อ 3310, 3312, 3319

รู้หรือไม่? “อาการติดเชื้อ” ในระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่มักจะเกิดได้ง่ายช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าในช่วงหน้าร้อนแบบนี้จะไม่ป่วย ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เมืองไทยอยู่ในหน้าร้อนแต่ก็มีพายุโซนร้อนหอบเอาฝนและความชื้นมาทักทายบ่อยๆ จึงทำให้หลายคนป่วยและมี “อาการติดเชื้อ” ในระบบทางเดินหายใจ ในหน้าร้อนได้เช่นกัน ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของ “โควิด-19” ยังไม่คลี่คลาย คนไทยก็ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น

สำหรับ “อาการติเชื้อ” หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่พบในเมืองไทย สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่มักจะมีอาการไม่รุนแรงและหายเองได้ แต่หากเกิดกับเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุก็สุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงได้มากกว่าที่คิด มีข้อมูลจาก สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เกิดจากการติดเชื้อโรคที่บริเวณระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่จมูก คอ หลอดลมไปจนถึงปอด เชื้อที่เป็นสาเหตุเกิดได้ทั้งการติดเชื้อไวรัส และการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดขึ้นได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง และสามารถหายได้เอง

“อาการติดเชื้อ” ทางเดินหายใจเหล่านี้สามารถบ่งชี้โรคได้หลายโรค และมีอาการป่วยในลักษณะคล้ายกันมาก ดังนั้นต้องเช็คให้ชัวร์ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ วันนี้ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ จึงได้รวบรวมโรคติดเชื้อที่พบบ่อย อาการที่ต้องรู้ รวมถึงคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษา และวิธีดูแลตัวเองให้ถูกต้องมาฝากกัน ดังนี้

1. โรคหวัดหรือจมูกอักเสบ (Common Cold/acute rhinitis)

รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน อาจารย์ประจำสาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เคยให้ข้อมูลทางวิชาการไว้ว่า โรคหวัดหรือโรคจมูกอักเสบ (acute rhinitis) เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดเฉียบพลัน พบได้บ่อยโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน หรือฤดูหนาว  สาเหตุเกิดจากร่างกายติดเชื้อไวรัส (ได้แก่ rhinovirus, influenza, parainfluenza, adenovirus)

อาการ : มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหรือมึนศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล (ใส, ขุ่น หรือเหลืองเขียว) เจ็บคอ

การติดต่อ : โดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน เชื้อโรคจะปนเปื้อนกับฝอยละอองของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ที่มีขนาดเล็กจะล่องลอยอยู่ในอากาศ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดสูดลมหายใจเข้าไปก็จะติดเชื้อได้ หรือติดต่อได้โดยการสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง รวมถึงการสัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ของเล่น หนังสือ ฯลฯ หรือจับต้องจุดสัมผัสร่วมสาธารณะ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ราวโหนรถเมล์ เป็นต้น

การดูแลตัวเอง : ควรหลีกเลี่ยงอากาศเย็น หากเปิดแอร์ต้องปรับอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาฯ เลี่ยงการดื่มหรืออาบน้ำเย็น เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย กินอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารเผ็ดหรือรสจัด งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำความสะอาดช่องคอบ่อยๆ เช่น แปรงฟัน หรือกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปากหรือน้ำเกลือหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรดื่มหรือจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ หรือน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งและน้ำมะนาว ช่วยละลายเสมหะได้

การรักษา : ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน โดยไม่ต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ ถ้าผู้ป่วยปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและเหมาะสม

2. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

เป็นโรคติดต่อที่เกิดการระบาดใหญ่เป็นครั้งคราว สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ พบบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เชื้อไวรัสสามารถแพร่ระบาดได้ทั่วโลก พบได้ในทุกช่วงอายุ แต่ในเด็กเล็กจะติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ส่วนผู้สูงอายุเมื่อติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงกว่าคนหนุ่มสาว ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เอ (Influenza A virus) พบได้ประมาณร้อยละ 80 เป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่บ่อยครั้ง, ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี (influenza B virus) พบบ่อยรองลงมา และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซี (Influenza C virus) มีความรุนแรงน้อย

อาการ : มีไข้สูงเฉียบพลัน (39-40 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดตามร่างกาย อ่อนเพลียมาก อาจมีอาการคัดจมูก ไอ จาม เจ็บคอ น้ำมูกใส อาจมีเบื่ออาหาร ถ่ายอุจจาระเหลว คลื่นไส้อาเจียน

การติดต่อ : เชื้อไวรัสติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศจากการไอหรือหายใจรดกัน หรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูก ผู้ที่มีเชื้อไวรัสในร่างกายสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนที่จะมีอาการ และต่อไปได้อีก 3-5 วันหลังจากที่มีอาการแล้ว หรือบางรายไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน

การดูแลตัวเอง : พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ ทานอาหารอ่อนย่อยง่าย รักษาร่างกายให้อบอุ่น อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เช็ดตัวลดไข้บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น อาการจะหายได้เองภายใน 7-14 วัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน (แต่ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคปอดอักเสบติดเชื้อ หลอดลมอักเสบ ต้องไปพบแพทย์ หากอาการรุนแรงมากจะเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวได้)

การรักษา : ใช้การรักษาประคับประคองอาการ มีทั้งยากินและยาฉีด เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาฆ่าเชื้อ (แต่การใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็นจะทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้) หรือใช้ยาต้านไวรัสในรายที่อาการรุนแรง ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งได้ผลดีมากในการช่วยลดความรุนแรงของโรคได้

3. โรคคออักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบ (acute pharyngitis or tonsillitis) 

เกิดจากเยื่อบุภายในคออักเสบ เป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อยมาก สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (40-80%) เชื้อไวรัสส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Rhinovirus, Adenovirus และ Coronavirus รองลงมาเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย (20%) คือ กลุ่มสเตรปโตคอกคัส Streptococcus spp. สามารถพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ ในเด็กจะพบได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่

อาการ : มีไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอมาก คอแดงมาก มีจุดหนองที่คอ กลืนอาหารหรือกลืนน้ำลายแล้วเจ็บ แสบคอ อาจพบต่อมน้ำเหลืองโต หากติดเชื้อไวรัสสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่ถ้าหากติดเชื้อแบคทีเรียอาจทำให้มีอาการป่วยยาวนานกว่า (เชื้อไวรัสมักใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-3 วัน ส่วนเชื้อแบคทีเรียใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2-5 วัน)

การติดต่อ : ผ่านทางน้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่กระจาย จากการไอหรือหายใจรดกัน หรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสจมูก ช่องปาก ระยะเวลาแพร่เชื้อสามารถแพร่ได้ก่อนเกิดอาการและหลังเกิดอาการ (ระยะเวลานานขึ้นกับชนิดของเชื้อ)

การดูแลตัวเอง : พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ ทานอาหารอ่อนย่อยง่าย รักษาร่างกายให้อบอุ่น อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เช็ดตัวลดไข้บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น

การรักษา : หากอาการคออักเสบเป็นอยู่นานเกิน 7 วัน หรือเมื่อกินยาสามัญประจำบ้านแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน หรือหายใจหอบเหนื่อยและมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ต้องไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะเน้นการรักษาประคับประคองอาการจนหายดี

4. โรคหลอดลมอักเสบ (acute bronchitis)

มีทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง สำหรับโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันพบได้บ่อยกว่า เป็นโรคทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อที่หลอดลม สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น Adenovirus, Rhinovirus, Influenza, Parainfluenza, RSV) และเชื้อแบคทีเรีย เช่น Mycoplasma, Chlamydia ทำให้เยื่อบุหลอดลมเกิดการอักเสบบวม ทำให้การไหลผ่านอากาศทำได้ไม่ดี พบบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว พบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ

อาการ : ไอมาก อาจไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะก็ได้ ไอบ่อยไอถี่หรือไอเป็นชุด อาจเจ็บกล้ามเนื้อหน้าอกหรือชายโครง หายใจลำบาก คัดจมูก น้ำมูกไหล ไข้ต่ำๆ

การติดต่อ : ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในละอองฝอยกระจายอยู่ในอากาศ จากการไอหรือหายใจรดกัน ระยะเวลาแพร่เชื้อสามารถแพร่ได้ก่อนเกิดอาการและหลังเกิดอาการ

การดูแลตัวเอง : พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น รับประทานอาหารอุ่นและย่อยง่าย เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ฝุ่น เขม่าควันต่างๆ หรือสารที่ระคายเคืองทางเดินหายใจ

การรักษา: ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่ถ้ามีอาการไอรุนแรงก็ควรพบแพทย์ แพทย์จะจ่ายยาละลายเสมหะ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรียอาจพิจารณาจ่ายยาฆ่าเชื้อ

5. โรคปอดอักเสบหรือปอดบวม (pneumonia)

โรคปอดอักเสบหรือปอดบวม เป็นโรคทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดการติดเชื้อบริเวณปอด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย และทำให้เกิดการอักเสบ บวม ทำให้การแลกเปลี่ยนอากาศทำได้ไม่ดี พบบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว พบผู้ติดเชื้อได้ทุกเพศทุกวัย อย่างโรค “โควิด-19” ก็เป็นหนึ่งในโรคปอดอักเสบรุนแรงเฉียบพลัน สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019, Adenovirus, Influenza, Parainfluenza, RSV

อาการ : มีไข้ ไอแห้ง หายใจลำบาก และหายใจหอบเหนื่อย หากเกิดในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปี จะมีอาการรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้

การติดต่อ : เกิดการระบาดได้โดยติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายและเสมหะ โดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในละอองฝอยกระจาย จากการไอหรือหายใจรดกัน หรืออาจเกิดจากการสำลักเชื้อลงสู่ปอด การระบาดสามารถเกิดได้ในบริเวณที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก

การดูแลตัวเอง : หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีคนแออัด ลดการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย กินร้อน ช้อนส่วนตัว ล้างมือบ่อยๆ หากอยู่นอกบ้าน มือจับสิ่งของหลายอย่าง อย่าเอามือสัมผัสจมูกหรือขยี้ตา โดยเฉพาะในสถานการณ์การระบาดของ “โควิด-19” ในตอนนี้ควรกักตัวอยู่บ้าน ปฏิบัติตามกฎเคอร์ฟิวอย่างเคร่งครัด ช่วยกันลดการระบาดในไทยให้มากที่สุด

หากมีอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย หายใจเจ็บหน้าอกมาก แน่นหน้าอก มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดอาการเข้าได้กับโรคปอดอักเสบ ควรสวมหน้ากากอนามัยแล้วไปพบแพทย์ทันที!

การรักษา : อาจพิจารณาใช้ยาฆ่าเชื้อตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ ร่วมกับการให้ออกซิเจนเสริม และการรักษาตามอาการจนอาการหายดี

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

flow chart แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน lmyour แปลภาษา กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่เรือ การเขียน flowchart โปรแกรม ตัวรับสัญญาณ wifi โน๊ตบุ๊คหาย ตัวอย่าง flowchart ขั้นตอนการทํางาน ผู้แต่งกาพย์เห่ชมไม้ ภูมิปัญญาหมายถึง มีสัญญาณ wifi แต่เชื่อมต่อไม่ได้ เชื่อมต่อแล้ว ไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ /roblox promo code redeem 3 พระจอม มีที่ไหนบ้าง AKI PLUS รีวิว APC UPS APC UPS คือ Adobe Audition Adobe Bridge Anapril 5 mg Aqua City Odaiba Arcade Stick BMW F10 jerk Bahasa Thailand Benz C63 ราคา Bootstrap 4 Bootstrap 4 คือ Bootstrap 5 Brackets Brother Scanner Brother iPrint&Scan Brother utilities Burnt HD C63s AMG CSS เว้น ช่องว่าง CUPPA COFFEE สุราษฎร์ธานี Cathy Doll หาซื้อได้ที่ไหน Clock Humidity HTC-1 ColdFusion Constitutional isomer Cuppa Cottage เจ้าของ Cuppa Cottage เมนู Cuppa Cottage เวียงสระ DMC DRx จ่ายปันผลยังไง Detroit Metal City Div class คือ Drastic Vita