เช่นเดียวกับการตั้งครรภ์ที่ ปลอดภัย ไร้ปัญหา เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจ
เตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์…สิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้าม
การตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์โดยไม่มีโรคแทรกซ้อนหรืออันตรายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์นั้น จะมาจากการเตรียมตัวที่ดีของคุณแม่ การดูแลความพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และควรที่จะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเริ่มจากการตรวจสภาวะร่างกายในปัจจุบันประกอบกับประวัติความเจ็บป่วยของคุณแม่และสมาชิกในครอบครัว เพื่อดูว่ามีข้อห้ามหรือข้อจำกัดใดๆ ในการตั้งครรภ์หรือไม่ รวมถึงมีโรคทางพันธุกรรมใดๆ ที่ผิดปกติหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ทำการรักษาก่อนการตั้งครรภ์ และไม่ส่งผลอันตรายต่อลูกน้อยก่อนตั้งครรภ์…ว่าที่คุณแม่ต้องตรวจอะไรบ้าง
1.ตรวจร่างกายโดยทั่วๆ ไปของคุณแม่
เพื่อดูความสมบูรณ์ของร่างกายว่าแข็งแรงพอไหม มีโรคบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ และที่เพิ่มเติมคือ แพทย์มักจะแนะนำให้ตรวจภายในเพื่อดูความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ร่วมด้วย2.ตรวจเลือดอย่างละเอียด
ควรตรวจเลือดดูก่อนว่ากรุ๊ปเลือดของพ่อกับแม่เข้ากันหรือไม่ ซึ่งกรุ๊ปเลือดที่พบบ่อยมากในคนไทยคือ A, B และ O และ Rh+ แต่บางคนก็อาจมีกลุ่มเลือด Rh- ซึ่งพบได้ยาก แต่ถ้าหากตรวจพบว่ามีเลือดเป็น Rh- การตั้งครรภ์ท้องสองจะมีความเสี่ยงอาจเกิดการแท้งได้ จึงต้องมีการสำรองเลือดในกลุ่มนี้เอาไว้ด้วย นอกจากนี้ยังต้องตรวจเช็คความเข้มของเลือดร่วมด้วย เพราะในช่วงตั้งครรภ์คุณแม่จะมีภาวะซีดสูงกว่าปกติ ดังนั้นควรเพิ่มความเข้มข้นของเลือดด้วยการกินธาตุเหล็กบำรุงก่อนการตั้งครรภ์ รวมไปถึงการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ดูเรื่องเบาหวาน ไขมันในเลือด และยังแนะนำให้ตรวจเลือดเพื่อคัดกรองธาลัสซีเมียด้วย เพราะถ้าหากคุณพ่อคุณแม่มีโรคนี้แฝงอยู่ ก็อาจจะถ่ายทอดไปสู่ลูกได้ และการตรวจเลือดยังครอบคลุมไปถึงการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โรคซิฟิลิส หรือโรคเอดส์ เพราะถ้ามีโรคเหล่านี้ ก็ไม่ควรจะปล่อยให้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น3.ตรวจสอบหาเชื้อและภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบชนิดบี
เนื่องจากเป็นเชื้อที่สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์และทางสายเลือด ซึ่งจะส่งผลต่อการมีลูกในอนาคตได้เช่นกัน และยังเป็นเชื้อสำคัญที่นำไปสู่ตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นมะเร็งตับ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยทุกวันนี้ การตรวจหาเชื้อและภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบีจึงเป็นสิ่งสำคัญ4.ตรวจหาภูมิคุ้มกันของหัดเยอรมัน
เพราะถ้าหากคุณแม่เป็นหัดเยอรมันตอนตั้งครรภ์ เด็กในครรภ์ก็จะมีความเสี่ยงที่จะพิการหรือตัวคุณแม่เองก็มีโอกาสแท้งได้สูงมากเช่นกัน5.ตรวจสุขภาพฟัน
การมีฟันผุและเหงือกติดเชื้อสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้ หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์ควรรับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันก่อนหน้าประมาณ 5 เดือน เพื่อเป็นการเผื่อเวลาในการรักษาฟันที่มีปัญหาทางที่ดีที่สุดของการวางแผนมีบุตร คือ ควรมีการตรวจร่างกายก่อนการแต่งงาน และควรตรวจร่างกายอีกครั้งก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ ขณะตั้งครรภ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับคุณแม่และลูกในครรภ์
• การเบิกและการรับเงินประกันสังคมสำหรับคนท้อง
ก่อนอื่นต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมกังนี้ก่อนครับ
• เอกสารสำหรับเบิกค่าฝากครรภ์ มีดังนี้
1.แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน ดาวโหลดได้ที่นี่ >> //bit.ly/2Kxpgv8
2. ใบเสร็จรับเงินค่าฝากครรภ์
3. ใบรับรองแพทย์หรือสมุดบันทึก
*ส่วนในกรณีให้คุณพ่อติดต่อแทนให้นำสำเนาทะเบียนสมรสหรือหนังสือรับรองของผู้ประกันตนกรณีไม่มีทะเบียนสมรส ดาวน์โหลดได้ที่นี่ >> //bit.ly/2zs5IpT
• เอกสารเตรียมเบิกค่าคลอดบุตร มีดังนี้
1. แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน ดาวโหลดได้ที่นี่ >> //bit.ly/2Kxpgv8
2. สำเนาสูติบัตรบุตร 1 ชุด (ถ้าคลอดบุตรแฝดให้แนบสำเนาสูติบัตรของคู่แฝดด้วย)
3. สำเนาหน้าแรกสมุดบัญชีธนาคาร (ออมทรัพย์) เห็นชื่อและเลขบัญชีชัดเจน
(11 ธนาคารที่สามารถทำรายการได้คือ กรุงเทพ, กสิกร, ไทยพาณิชย์, กรุงไทย, กรุงศรีฯ, ธนชาต, ธ.อิสลามฯ, CIMB, ออมสิน และ ธ.ก.ส.)
*ส่วนในกรณีให้คุณพ่อติดต่อแทนให้นำสำเนาทะเบียนสมรสหรือหนังสือรับรองของผู้ประกันตนกรณีไม่มีทะเบียนสมรส
ดาวน์โหลดได้ที่นี่ >> //bit.ly/2zs5IpT
• การยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม/ไปรษณีย์
สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินได้ที่สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ ตามสาขาที่สะดวกหรือใกล้บ้านในเวลาราชการได้เลยครับ (ยกเว้นสำนักงานใหญ่กระทรวงสาธารณสุข)
หรือหากไม่สะดวกมาด้วยตนเอง สามารถใช้หนังสือมอบอำนาจ เพื่อให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนได้
หรือสามารถส่งเอกสารทางไปรษณีย์..“ฝ่ายสิทธิประโยชน์” สำนักงานประกันสังคมตามที่อยู่ใกล้บ้านได้เลยครับ
• การรับเงิน
1 รับเงินด้วยตนเอง ต้องนำบัตรประชาชนตัวจริงไปแสดง
2 รับเงินแบบธนาณัติ ต้องระบุชื่อสาขาที่จะไปติดต่อรับเงินให้ชัดเจน
3 กรณีชำระเงินโอน ประกันสังคมจะโอนเข้าบัญชีของผู้ประกันตนภายใน 5-7 วันทำการ จากวันที่เอกสารได้รับอนุมัติครับ
คุณแม่ คุณพ่อ คนไหนที่เป็นผู้ประกันตนอยู่ก็อย่าลืมที่จะรักษาสิทธิประกันสังคมกันนะครับ
คุณแม่หลาย ๆ คนอาจยังไม่รู้ ที่ส่งประกันสังคมไปทุก ๆ เดือนนั้น มีสิทธิสำหรับคนท้องด้วยนะ เช็กสิทธิประกันสังคมของตนเองได้ที่นี่
1. ค่าตรวจครรภ์และฝากครรภ์
ประกันสังคมจะจ่ายค่าฝากครรภ์ให้คุณแม่โดยปรับเพิ่มค่าฝากครรภ์ 5 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,500 บาท (จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท) ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
- อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ ถึง 40 สัปดาห์ขึ้นไป จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาท
ในส่วนนี้สามารถขอเบิกค่าฝากครรภ์จากประกันสังคมได้ โดยไม่ต้องให้คลอดบุตรก่อน หรือจะยื่นขอรับสิทธืหลังคลอดทีเดียวก็ได้ครับ
2. ค่าคลอดบุตร
ต่อมาสามารถเบิกค่าคลอดบุตรในอัตราแบบเหมาจ่าย 15,000.- /ครั้ง สามารถเลือกเข้าโรงพยาบาลไหนก็ได้ที่เลือกลงทะเบียนไว้ ซึ่งหากเป็นโรงพยาบาลที่ไม่ได้อยู่ในสังกัด คุณแม่ก็สามารถสำรองจ่ายไปก่อน และทำเรื่องเบิกที่ประกันสังคมได้เลยครับ โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
– จ่ายงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร
– จ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายกรณีคลอดบุตรให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 15,000 บาทต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง สำหรับผู้ประกันตนหญิงมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วันสำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน
– กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนบุตร/ครั้ง