สอบถามความคืบหน้าใบเสนอราคา ภาษาอังกฤษ

มีคำถามหลังไมค์เข้ามาหาผมเรื่องการติดตามงานหลังจากที่ได้นำเสนอลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ทำการส่งใบเสนอราคาและเอกสารหมดแล้ว ควรจะทำยังไงต่อดี บางทีโทรไปก็ไม่รับสาย โทรวันเว้นวันหรืออาทิตย์ละครั้ง บางทีก็ไม่คืบหน้าเลย แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าดีลนั้นๆ มีมูลค่าสูง ย่อมมีขั้นตอนการตัดสินใจหลายขั้นตอน มีทีมงานของลูกค้าคอยประเมินความคุ้มค่าและความเสี่ยง จึงต้องใช้เวลานานเสมอ บางทีคุณอาจจะต้องใช้การติดตามงานไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งก็ได้

‘การติดตามงานที่ดี’ จะช่วยให้ดีลการซื้อขายคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว โดยที่คุณสามารถ ‘คุมเกม’ เองได้ จากการติดตามงานที่มีประโยชน์ในแต่ละครั้ง ซึ่งส่งผลดีตั้งแต่ความเป็นมืออาชีพ ตามงานดี เข้าถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจได้เร็ว และกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด

มาดูวิธีติดตามงานที่เหมาะสมกัน ดังนี้ครับ

1. เมื่อเข้าพบลูกค้าครั้งแรกและส่งใบเสนอราคาแล้ว ควรติดตามงานลูกค้าครั้งแรกทันที

การติดตามงานที่ผมเรียกว่าเป็นครั้งแรกคือหลังจากที่คุณได้เข้าพบลูกค้าและนำเสนอเป็นครั้งแรก สิ่งที่คุณต้องทำหลังจากนั้นคือการขอทำใบเสนอราคา ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้ามักจะมีโจทย์ในใจให้คุณทำการบ้าน ถ้าคุณนำเสนอดี ตอบโจทย์ และลูกค้ามีความต้องการ 

แต่ถ้าไม่มีเลย คุณจะต้องเป็นผู้เสนอตัว เช่น ขอทำราคาให้ลูกค้าเพื่อเป็น ‘ตุ๊กตา’ เผื่อว่าลูกค้าจะใช้เป็นทางเลือกหรือใช้ตั้งงบในอนาคต ใบเสนอราคาจะเป็นเครื่องมือในการติดตามงานที่มีประสิทธิภาพสูง ถึงแม้ว่าลูกค้าจะยังไม่ซื้อก็ตาม แต่คุณมีมุขในการติดตามงานแน่นอน

การติดตามงานครั้งแรกที่คุณควรทำคือหลังจากที่ส่งใบเสนอราคาเรียบร้อยแล้ว คุณควรโทรไปหาลูกค้าทันทีว่าคุณได้ส่งใบเสนอราคา และรบกวนให้ลูกค้ารีวิวรายละเอียดเพิ่มเติม เผื่อว่ามีอะไรให้คุณช่วยเหลือ การส่งใบเสนอราคาให้ไวและโทรบอกลูกค้าทันทีจะช่วยทำให้ลูกค้า ‘จดจำ’ คุณได้ในฐานะเซลล์ที่ทำงานได้เร็ว และเป็นการช่วยเตือนความจำให้ลูกค้าลองพิจารณาข้อเสนอของคุณดู 

การติดตามงานครั้งแรก ควรอยู่ในลักษณะนี้เสมอ และกรอกรายละเอียดลงใน Sales Report ให้เรียบร้อย พร้อมทั้งวางแผนเรื่อง ‘Next Step’ ว่าคุณจะติดตามงานอีกที่ช่วงไหน โทรไปหรือทำนัดไปเจอหน้า

2. ควรวางแผนการติดตามงานลูกค้าให้ขึ้นอยู่กับช่วงซื้อของลูกค้า

สิ่งที่ผมย้ำเสมอในทุกบทความคือ ‘การถามคำถามที่ดี’ คำถามที่คุณควรถามลูกค้าเพื่อทราบช่วงซื้อ (Timeline) เป็นคำถามสำคัญที่ลูกค้าจะบอกคุณคร่าวๆ เองว่าต้องการซื้อหรือใช้สินค้าช่วงไหน เมื่อคุณถามเรียบร้อยแล้ว จงลงมือจดช่วงเวลาที่ลูกค้าพูดออกมาจากปากให้เรียบร้อย

ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณถามว่า “ถ้าได้มีโอกาสใช้สินค้า ลูกค้าคิดว่ามีความต้องการใช้สินค้าช่วงไหนครับ?” สมมติว่าลูกค้าตอบว่า “ประมาณช่วงกลางเดือนสิงหาครับ..” หมายความว่าลูกค้าต้องซื้อสินค้าประมาณก่อนวันที่ 15 สิงหาคม ก็เป็นได้

คุณจะได้ข้อมูลที่ดีเพื่อใช้ในการวางแผน เช่น นับจากวันนี้ (วันที่ 19 กรกฎาคม) คุณเหลือเวลาอีกประมาณ 4 สัปดาห์เพื่อปิดการขาย คุณอาจจะวางแผนคร่าวๆ เช่น 4 สัปดาห์ ติดตามงาน 4 ครั้ง หรือมากกว่านั้น เช่น สัปดาห์ที่ 1-3 ตามทีละครั้งด้วยการโทรหรือทำนัดเจอหน้า สัปดาห์สุดท้ายอาจจะเข้าพบลูกค้ามากกว่า 1 ครั้ง เพราะเป็นช่วงใกล้ปิดดีล ซึ่งการวางแผนที่ดี จะช่วยคุณ ‘จัดลำดับความสำคัญ’ ของแต่ละดีลในไปป์ไลน์ว่าควรโฟกัสคนไหน

ประโยชน์ที่ได้จากการวางแผนตามสิ่งที่ลูกค้าพูดถึงช่วงซื้อ จะทำให้คุณสร้างระบบการติดตามงานทั้งโทรสอบถามหรือทำนัดเข้าพบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่อึดอัดเกินไป และเป็นธรรมชาติที่สุด ต่อให้ลูกค้าไม่ได้ซื้อตามที่บอกจริงหรือเลื่อนออกไป คุณก็แค่ขยับช่วงเวลาซื้อและวางแผนใหม่เท่านั้นเอง เซลล์รีพอร์ทจะมีบทบาทมากที่สุด

3. ทุกครั้งที่ต้องการติดตามงานลูกค้า ควรเตรียม ‘ข่าวดี’ ไปบอกลูกค้าเสมอ 

การติดตามงานที่ดีไม่ใช่แค่โทรไปสอบถามว่าจะซื้อเมื่อไหร่ หรือทำนัดไปเจอหน้าโดยที่ไม่มีอะไรพิเศษ อย่างนี้ถือว่าเป็นการติดตามงานที่ไม่มีประโยชน์มากนัก ไม่ได้ทำให้ดีลคืบหน้าแต่อย่างใด เลวร้ายที่สุดคือเกิดความรำคาญจากลูกค้าและส่งผลให้พวกเขาเลี่ยงที่จะรับโทรศัพท์จากคุณ (ฮา..)

คุณควรทำการบ้านเพิ่มอีกนิดหน่อยก่อนโทรติดตามงาน ผมมีมุขง่ายๆ ในการเตรียม ‘ข่าวดี’ ให้ลูกค้าทราบ โดยข่าวดีนั้นควรบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมเกี่ยวกับลูกค้า ดังนี้

  • ราคาใหม่ เพื่อให้ลูกค้าประหยัดงบประมาณมากขึ้น

  • ออปชั่นข้อเสนอเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น

  • สเปคสินค้าใหม่ เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกเพิ่มขึ้น

  • จำนวนสินค้าใหม่ เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางแผนการซื้อได้ง่ายขึ้น

  • ขอทำนัดเจอหน้าลูกค้าเพื่อเข้าไปช่วยดูหน้างาน เพื่อให้ลูกค้าทำงานง่ายขึ้น

  • เตรียม ‘เดโม่’ สินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองใช้งานจริง เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจเพิ่มขึ้น

  • ขอทำนัดเข้าพบลูกค้าเพื่อทำการ ‘เคาะ’ ราคาต่อหน้า เพื่อให้ลูกค้าได้เจรจาต่อรองบทสรุปการซื้อขาย

  • ขอสอบถามขั้นตอนการสั่งซื้อ เพื่อให้ทางทีมเตรียมการบ้านนำเสนอผู้บริหาร ทำให้ลูกค้าทำงานง่ายขึ้น

  • ฯลฯ อะไรก็ตามที่เป็นกิจกรรมทางการขายที่ทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์

ตัวอย่างประโยคทอง

“สวัสดีครับคุณลูกค้า ผมโทรมาอัพเดทราคาใหม่หลังจากที่ทำการบ้านเพิ่มเติมอีกครั้ง เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่ดีขึ้นครับ ขอสอบถามนิดนึงเกี่ยวกับดีลว่ามีส่วนไหนให้ผมช่วยเพิ่มเติมมั้ยครับ”

เมื่อคุณประยุกต์ใช้ประโยคทองเพื่อติดตามงานลูกค้าทุกครั้ง จะทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกรำคาญและรู้สึกว่าคุณติดตามงานอย่างมีประโยชน์ เพราะตัวคุณทำให้ลูกค้าทำงานง่ายขึ้น นี่คือหัวใจสำคัญของการติดตามงานเลยก็ว่าได้

4. การติดตามงานที่ดีที่สุดคือการทำนัดเข้าไปเจอหน้า

การพบกันต่อหน้าย่อมมีประโยชน์กว่าการโทรคุยเพียงอย่างเดียว เปรียบได้กับเวลาคุณจีบสาวแล้วมัวแต่โทรคุย ความสัมพันธ์มักคืบหน้าไปได้ช้า แต่ถ้าคุณทำนัดผู้หญิงไปดูหนังได้ ความสัมพันธ์จะคืบหน้าไปเร็วมากๆ ถ้าคุณทำตัวดี มีประโยชน์ ผู้หญิงย่อมเปิดใจให้คุณมากขึ้น…

เก็ตไหมครับ!! ลูกค้าเองก็เช่นกัน ทุกครั้งที่ต้องการติดตามงานควรโทรไปทำนัดพร้อมกับข่าวดีเสมอ และควรเป็นข่าวดีที่เมื่อลูกค้าตอบตกลงแล้วยังไงคุณก็ต้องไปเจอหน้า เช่น ขอทำนัดเข้าไปดูหน้างาน ขอทำนัดเข้าไปเดโม่สินค้า ขอทำนัดเข้าไปเคาะราคา เป็นต้น ลูกค้าย่อมยินดีเพื่อให้คุณเจอหน้าแน่นอน

สิ่งที่ได้จากการเจอหน้าคือลูกค้ามักจะเป็นฝ่ายคายข้อมูลสำคัญมากกว่าแค่โทรศัพท์สอบถาม เช่น ช่วงเวลาการซื้อขาย ข้อมูลของคู่เทียบ คู่แข่ง ขั้นตอนการตัดสินใจ ฯลฯ ซึ่งคุณควรถามคำถามเพื่อเอาข้อมูลกลับมาให้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้าลูกค้าที่คุยอยู่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริง การขอทำนัดกับผู้บริหารหรือ CEO ต่อหน้า ‘ป๋าดัน’ จะทำให้คุณมีโอกาสได้เข้าพบ CEO ได้ง่ายขึ้น ลูกค้าปฎิเสธยาก เพราะเป็นการคุยต่อหน้า

5. ควรอัพเดทเซลล์รีพอร์ท (Sales Force CRM) ให้เป็นปัจจุบันที่สุดอย่างสม่ำเสมอ

เซลล์รีพอร์ทจะช่วยคุณได้มากในเรื่องของการติดตามงาน โดยเฉพาะช่อง ‘Next Step’ หรือช่องที่ต้องกรอกว่าคุณจะติดตามงานลูกค้าในไปป์ไลน์นั้นๆ อีกทีเมื่อไหร่ จะใช้วิธีการโทรสอบถามหรือเข้าพบลูกค้า (Phone/Visit)

คุณควรอัพเดทสถานะแต่ละไปป์ไลน์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ดินพอกหางหมู ทุกไปป์ไลน์จะต้องอัพเดท Next Step ที่เป็น ‘วันในอนาคต’ ทั้งหมด เพราะถ้าคุณมีไปป์ไลน์ที่วางแผนติดตามงานและมีแต่วันในอดีต แสดงว่าคุณไร้ประสิทธิภาพในการติดตามงาน หรือบางทีคุณอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าต้องตามลูกค้าเจ้านี้เมื่อไหร่ ส่งผลให้ดีลแต่ละดีลไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

นี่คือสาเหตุหลักๆ ของนักขายที่ไปป์ไลน์เยอะแต่ปิดดีลไม่ได้เลย เพราะพวกเขาติดตามงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการวางแผน ทำให้ลูกค้าหลุดไปอยู่ในมือคู่แข่งเลยก็มี

นอกจากนี้ ในเซลล์รีพอร์ทของคุณควรใส่สถานะการเข้าพบในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะโทรคุยหรือเข้าเยี่ยมให้ละเอียด เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องเตือนความจำและทราบสถานะของแต่ละไปป์ไลน์ว่าเป็นยังไงบ้าง ลองนึกดูว่าถ้าคุณมีลูกค้าแค่ 10 ราย บางทีคุณอาจจะจำได้ แต่ถ้าวันไหนคุณมี 50 ราย 100 ราย คุณจะจำไม่ได้ทันที และนี่คือสิ่งที่เซลล์รีพอร์ทจะเข้ามาตอบโจทย์คุณ

6. ถ้าไม่ว่ายังไงลูกค้าก็ไม่ซื้อ คุณควรถามลูกค้าว่าสะดวกให้ตามช่วงไหน

บางทีคุณอาจจะเจอลูกค้าที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ซื้อ หรืองบประมาณหมด ยังไงช่วงนี้ก็ไม่ซื้อแน่ๆ ต่อให้อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งนี้จะทำให้คุณเหวอได้เพราะไม่รู้ว่าจะตามอีกทีเมื่อไหร่ ตามงานไปทำไม

คุณควรถามลูกค้าทิ้งท้ายว่าถ้าเป็นไปได้ ลูกค้าสะดวกให้โทรมาสอบถามช่วงไหน หรือบางทีคุณอาจจะเสนอเวลาไปเลย และเป็นช่วงเวลาอีกนาน เช่น “ถ้าอย่างนั้นอีก 3 เดือน ผมขอโทรมาสอบถามได้มั้ยครับ เผื่อว่ามีข่าวดีใหม่ๆ มาอัพเดท”

การนำเสนอช่วงเวลาที่ยาวนานและบอกประโยชน์ย่อมทำให้ลูกค้าเห็นด้วย คุณก็เพียงแค่จดบันทึกช่วงติดตามงานใหม่และเอาไปอัพเดทในเซลล์รีพอร์ทก็เท่านั้นเอง พอถึงเวลาใกล้ 3 เดือนก็โทรติดตามงานและบอกลูกค้าไปเลยว่าคุณจดมา เท่านี้ก็เรียบร้อยและดูโปรมากๆ แถมยังมีเวลาไปโฟกัสกับไปป์ไลน์อื่นๆ ที่ใกล้ปิดได้อีกด้วย

7. ความถี่ในการติดตามงานขึ้นอยู่กับช่วงที่ลูกค้าต้องการใช้สินค้า มูลค่าสินค้า

‘เวลา’ เป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถฝืนเอาชนะธรรมชาติได้เด็ดขาด คุณควรทำความเข้าใจกับความถี่ในการติดตามงานลูกค้า เพราะยิ่งสินค้ามีมูลค่าสูงมากเท่าไหร่ การติดตามงานก็จะใช้ความถี่ที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะคุณต้องทำการบ้านให้ลูกค้าอีกหลายขั้นตอน กอปรกับการซื้อขายแบบ B2B มักมีหลายฝ่ายช่วยตัดสินใจ ยิ่งข้อเสนอมีราคาสูง ยิ่งต้องติดตามงานลูกค้ามากขึ้น

แต่บางทีลูกค้าอาจจะเร่งใช้สินค้าด่วน คุณอาจจะต้องติดตามงานแบบถี่ๆ เช่น 3 ครั้งแต่สัปดาห์ หรือแม้แต่ทุกวัน เพราะถือว่าลูกค้ามีความต้องการซื้อแล้ว และต้องการใช้สินค้าให้เร็วที่สุด

8. การทำนัดในแต่ละวันควรทำนัดทั้งนัดใหม่และนัดติดตามงาน

ผมมักจะพูดเรื่องทำนัดวันละ 5 นัดอยู่บ่อยๆ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทำนัดลูกค้าใหม่เท่านั้นนะครับ แต่คุณควรแบ่งออกเป็นการเข้าพบลูกค้าใหม่และการติดตามลูกค้าในไปป์ไลน์ที่ยังปิดดีลไม่ได้อย่างผสมผสานกัน

เช่น 3+2 (นัดใหม่ 3 นัดเก่า 2) หรือ 4+1, 2+3, 1+5 ฯลฯ อะไรก็ว่ากันไป จะทำให้คุณใช้เวลาในแต่ละวันได้อย่างคุ้มค่า ได้ทั้งทำนัดหาลูกค้าใหม่กับติดตามงานไปในตัว ที่สำคัญคือได้เข้าพบลูกค้าในทุกๆ วัน วันละ 5 นัด

9. ค่าเฉลี่ยในการติตตามงานที่ดีอยู่ที่ประมาณ 8 ครั้งขึ้นไป

ไม่เชื่อลองดูครับ ยิ่งสินค้ามีมูลค่า มีผู้ตัดสินใจหลายด่าน บางทีคุณอาจจะต้องเตรียมกรอกเซลล์รีพอร์ทของสถานะแต่ละไปป์ไลน์ไม่ต่ำกว่า 8 ครั้ง เพราะสเต็ปการขายจะเริ่มตั้งแต่ตัวอย่างตามข้างล่างนี้

  1. ทำนัดเข้าพบลูกค้าเพื่อนำเสนอและเก็บข้อมูลเตรียมการบ้าน

  2. โทรไปบอกลูกค้าว่าส่งราคาให้แล้ว (ติดตามงานครั้งที่ 1)

  3. โทรไปบอกข่าวดีว่าขอทำนัดเข้าไปเดโม่ ลูกค้าให้นัด (ติดตามครั้งที่ 2 แบบเจอหน้า)

  4. เข้าไปเดโม่เรียบร้อยต่อหน้า ฟี้ดแบ็กค่อนข้างดี ถามคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสเปค (ติดตามครั้งที่ 3)

  5. ปรับราคาและโทรไปอัพเดทข่าวดีหลังจากเดโม่ (ติดตามครั้งที่ 4 แบบโทร)

  6. ขอทำนัดเข้าไปพรีเซนต์ผู้บริหาร เพราะงานคืบหน้า (ติดตามครั้งที่ 5 แบบโทร)

  7. เข้าพบผู้บริหารและได้นำเสนอจุดแข็งของสินค้า (ติดตามครั้งที่ 6 แบบเจอหน้า)

  8. การพรีเซนต์กับ C-Level ทำได้ดี จึงโทรไปสอบถามเพื่อทำนัดเคาะราคา (ติดตามครั้งที่ 7 แบบโทร)

  9. ได้นัดกับฝ่ายจัดซื้อและทำการเคาะราคาใหม่ จึงสรุปตัวเลขได้ (ติดตามครั้งที่ 8 แบบเจอหน้า)

  10. ใกล้ถึงช่วงปิดดีลได้แล้ว อาจจะนัดตอบข้อโต้แย้งนิดหน่อย (ติดตามครั้งที่ 9)

  11. ได้งาน เข้าไปเจอผู้บริหาร ประกาศผล จับมือ ถ่ายรูป ฯลฯ (ติดตามครั้งที่ 10) 

นี่คือธรรมชาติของกระบวนการขายซึ่งดูจากตัวอย่างจะมีจำนวนครั้งที่ไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งและแต่ละครั้งมีความคืบหน้าตลอด ลองกลับไปดูลูกค้าที่คุณปิดดีลได้ดูนะครับว่าคุณติดตามงานเยอะขนาดนี้หรือไม่ ผมเชื่อว่าต้องเหมือนผมไม่มากก็น้อย

การติดตามงานเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ถ้าคุณมีวินัย เอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง มีการวางแผนติดตามงานที่ดี คุณจะเป็นเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ไม่ใช่เพราะคุณพูดเก่ง โม้เก่ง มีเส้น แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะคุณติดตามงานสม่ำเสมอจนลูกค้าจำคุณได้เพราะรู้สึกว่าคุณมีประโยชน์ต่างหาก นี่แหละครับคือแก่นแท้ของการขายเลย

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

flow chart แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน lmyour แปลภาษา กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่เรือ การเขียน flowchart โปรแกรม ตัวรับสัญญาณ wifi โน๊ตบุ๊คหาย ตัวอย่าง flowchart ขั้นตอนการทํางาน ผู้แต่งกาพย์เห่ชมไม้ ภูมิปัญญาหมายถึง มีสัญญาณ wifi แต่เชื่อมต่อไม่ได้ เชื่อมต่อแล้ว ไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ /roblox promo code redeem 3 พระจอม มีที่ไหนบ้าง AKI PLUS รีวิว APC UPS APC UPS คือ Adobe Audition Adobe Bridge Anapril 5 mg Aqua City Odaiba Arcade Stick BMW F10 jerk Bahasa Thailand Benz C63 ราคา Bootstrap 4 Bootstrap 4 คือ Bootstrap 5 Brackets Brother Scanner Brother iPrint&Scan Brother utilities Burnt HD C63s AMG CSS เว้น ช่องว่าง CUPPA COFFEE สุราษฎร์ธานี Cathy Doll หาซื้อได้ที่ไหน Clock Humidity HTC-1 ColdFusion Constitutional isomer Cuppa Cottage เจ้าของ Cuppa Cottage เมนู Cuppa Cottage เวียงสระ DMC DRx จ่ายปันผลยังไง Detroit Metal City Div class คือ Drastic Vita