ทัศนศิลป์ เป็นการสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะ โดยการใช้จินตนาการ บวกกับความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการคิดอย่างมีระบบระเบียบเป็นขั้นตอน การสร้างสรรค์งานอย่างมีประสิทธิภาพสวยงาม มีการปฏิบัติงานตามแผนและมีการพัฒนาผลงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
จิตรกรรม
เป็นงานศิลปะ 2 มิติ คือไม่มีความลึกนูน สร้างสรรค์จากการวาดภาพ , ระบายสี ที่มีการจัดวางองค์ประกอบให้เกิดความสวยงาม แต่จิตกรสามารถเขียนภาพเหล่านั้นให้ดูหลอกตาได้ โดยการให้เห็นภาพ 2 มิติ เป็น 3 มิตินั่นเอง
ประติมากรรม
ประติมากรรม เป็นงานศิลปะที่ใช้เทคนิคการปั้น , แกะสลัก , หล่อ รวมทั้งจัดองค์ประกอบในเรื่องของความงามในด้านอื่นๆ ลงบนสื่อต่างๆ เช่น ไม้ , โลหะ , สัมฤทธิ์ เป็นต้น เป็นรูปทรง 3 มิติ ซึ่งมีทั้งความลึกนูน
งานประติมากรรม สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- ประติมากรรมนูนต่ำ
- ประติมากรรมนูนสูง
- ประติมากรรมลอยตัว
ภาพพิมพ์
หมายถึงรูปภาพที่สร้างขึ้นมาจากวิธีการพิมพ์ ภาพพิมพ์ทั่วไปแล้วเป็นแบบเดียวกับจิตรกรรมและภาพถ่าย คือเป็นผลงานมีแค่ 2 มิติ แต่สามารถสร้างมิติที่ 3 ได้ นั่นก็คือความลึกที่เกิดจากาการใช้เทคนิคที่ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คือ เส้น , สี , น้ำหนัก รวมทั้งพื้นผิว เป็นการวาด, แรงเงาหรือระบายสีให้เกิดความลวงตา ดูแล้วมีความรู้สึกลึกเข้าไปในระนาบ 2 มิติของภาพนั้นๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามภาพพิมพ์ก็มีความแตกต่างไปจากจิตรกรรมอยู่บ้าง ในส่วนของเทคนิคการสร้างผลงานนั่นเอง โดยภาพจิตรกรรมนั้น จิตกรจะต้องเขียน หรือวาดภาพระบายสีลงไปบนผืนผ้าใบ , กระดาษ เพื่อสร้างผลงานออกมาเป็นภาพอย่างทันทีทันใด แต่ถ้าเป็นการสร้างผลงานภาพพิมพ์ ศิลปินจำเป็นต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาก่อน แล้วจึงไปยังกระบวนการพิมพ์ เพื่อถ่ายทอดออกมาได้
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรม เป็นผลงานศิลปะจากการสร้างสิ่งก่อสร้าง เช่น ตึก , อาคาร เป็นต้น รวมทั้งการวางผังเมือง การจัดผังของอาณาเขตต่างๆ , การตกแต่งอาคาร , การออกแบบสิ่งก่อสร้าง โดยสิ่งเหล่านี้ก็เป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่ง ที่มีขนาดใหญ่จำเป็นต้องใช้ผู้สร้างจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นงานศิลปะ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนโดยตรง และมีอายุยืนยาว สถาปัตยกรรมเป็นการจัดสรรที่ว่างเปล่า ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์ อันผสมผสานกับศาสตร์อื่นๆ เช่น วิศวกรรม , วิทยาศาสตร์ , สังคม , มนุษย์วิทยา และแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับศิลปะ โดยคุณค่าของสถาปัตยกรรม มีองค์ประกอบ 2 ชนิด ได้แก่
ทัศนศิลป์
หมายถึง ศิลปะที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทางตา ศิลปะที่มองเห็น เมื่อพิจารณาความหมายที่มีผู้นิยามไว้ จะพบว่าการรับรู้เรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึกของงานทัศนศิลป์นั้น จะต้องอาศัยประสาทตาเป็นสำคัญ นั่นคือตาจะรับรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่นำมาประกอบเป็นงานทัศนศิลป์ได้แก่ เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา และพื้นผิว เป็นต้น โดยศิลปะจะนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาสร้างสรรค์ผลงานด้วยวิธีการเขียนภาพ ระบายสีบ้าง ปั้นและสลักบ้างหรืองานโครงสร้างเป็นต้น
การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ให้เกิดคุณค่าทางศิลปะได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถ ทักษะและความคิดของศิลปินแต่ละคน งานทัศนศิลป์ที่ปรากฏให้เห็นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
- ทัศนศิลป์ 2 มิติ ได้แก่ ผลงานการเขียนภาพระบายสี
- ทัศนศิลป์ 3 มิติ ได้แก่ ผลงานประติมากรรม สถาปัตยกรรม
ที่มาของงานทัศนศิลป์ ประกอบด้วย
1. ศิลปิน (Artist) เป็นผู้ถ่ายทอดผลงานศิลปะ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมด้วยความรู้สึกประทับใจหรือเกิดความสะเทือนอารมณ์ จึงถ่ายทอดออกมาตามอารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการเฉพาะตน
2. สิ่งแวดล้อม (Environment) ได้แก่ ธรรมชาติ ความเชื่อทางศาสนา เรื่องจากประวัติศาสตร์ เรื่องราวจากวรรณคดี ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเร้า เป็นตัวกระตุ้นให้มนุษย์เกิดอารมณ์ความรู้สึกและแสดงออกด้วยการถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปกรรม
3. สื่อ/วัสดุ (Media) ได้แก่ กระดาษ สี ดินสอ หิน ไม้ ปูน ฯลฯ ซึ่งศิลปินได้ซึมซับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม แล้วนำไปถ่ายทอดลงบนสื่อให้ออกมาเป็นรูปธรรม
4. ผลงานศิลปะ (Art) เป็นผลงานที่เกิดจากแรงบันดาลใจในสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ โดยผ่านสื่อให้ปรากฏเป็นรูปธรรม เรียกว่า "ผลงานศิลปะ"
หลักการจัดองค์ประกอบทางทัศนศิลป์
หลักการจัดองค์ประกอบทางทัศนศิลป์ (Composition) คือ การนำเอาทัศนะธาตุ ได้แก่ จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง น้ำหนักอ่อนแก่ บริเวณว่าง สี และพื้นผิว มาจัดประกอบเข้าด้วยกันจนเกิดความพอดี เหมาะสม ทำให้งานศิลปะชิ้นนั้นมีคุณค่าอย่างสูงสุด ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1. เอกภาพ (Unity) การรวมกลุ่มก้อน ไม่แตกแยกกระจัดกระจายไปคนละทิศทางจนทำให้ขาดความสัมพันธ์กัน ในทางทัศนศิลป์เอกภาพยังเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงเนื้อหาเรื่องราวที่ต้องการแสดงอย่างชัดเจนด้วย
2. ความสมดุล (Balance)
2.1 ความสมดุลของสิ่งที่ซ้ำหรือเหมือนกัน (Symmetrical) คือ เป็นการนำเอาส่วนประกอบที่มีรูปลักษณะเหมือนกัน มาจัดองค์ประกอบรวมเข้าด้วยกันให้ประสานกลมกลืน เกิดการถ่วงน้ำหนักขององค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ในลักษณะที่พอเหมาะพอดีจนรู้สึกว่ามีความสมดุล อาจด้วยการจัดวางตำแหน่ง ที่ตั้ง ช่องไฟ ระยะห่าง อัตราจำนวน ขนาดรูปร่าง น้ำหนักอ่อนแก่ ฯลฯ ที่เหมือนกันหรือเท่า ๆ กันจนเกิดเป็นเอกภาพเดียวกัน
2.2 ความสมดุลของสิ่งที่ขัดแย้งหรือต่างกัน (Asymmetrical) เป็นการนำเอาส่วนประกอบที่มีรูปลักษณะที่ต่างกันหรือขัดแย้งกัน มาจัดองค์ประกอบเข้าด้วยกันให้ประสานกลมกลืนกัน เกิดการถ่วงน้ำหนักขององค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ในลักษณะที่พอเหมาะพอดีจนรู้สึกว่ามีความสมดุล โดยที่วัตถุหรือเนื้อหาในภาพไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
3. จุดสนใจหรือการเน้น (Emphasis) ส่วนที่สำคัญที่สุดของภาพที่ต้องการแสดง ซึ่งนำไปสู่การบอกเล่าเนื้อหาของภาพทั้งหมดหรือเป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจให้มอง ในทางทัศนศิลป์จุดสนใจควรมีเพียงจุดเดียว ซึงอาจเป็นส่วนที่แสดงความสำคัญหรือมีสีสันสดใสที่สุด นอกจากนั้นยังเน้นให้เกิดจุดสนใจด้วยการสร้างความแตกต่างขึ้นในภาพ จุดสนใจไม่จำเป็นจะต้องอยู่จุดกึ่งกลางเสมอไป อาจอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพก็ได้
4. ความกลมกลืน (Harmony)
เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการจัดองค์ประกอบทางทัศนศิลป์ เพราะความกลมกลืนจะทำให้ภาพงดงาม และนำไปสู่เนื้อหาเรื่องราวที่นำเสนอ ความกลมกลืนมี 2 แบบ คือ
4.1 ความกลมกลืนแบบคล้อยตามกัน หมายถึง การนำรูปร่าง รูปทรง เส้น หรือสี ที่มีลักษณะเดียวกันมาจัด เช่น วงกลมทั้งหมด สี่เหลี่ยมทั้งหมด ซึ่งแม้ว่าอาจจะมีขนาดที่แตกต่างกัน แต่เมื่อนำมาจัดเป็นภาพขึ้นมาแล้วก็จะทำให้ความรู้สึกกลมกลืนกัน
4.2 ความกลมกลืนแบบขัดแย้ง หมายถึง การนำเอาองค์ประกอบต่างชนิด ต่างรูปร่าง รูปทรง ต่างสี มาจัดวางในภาพเดียวกัน เช่น รูปวงกลมกับรูปสามเหลี่ยม เส้นตรงกับเส้นโค้ง ซึ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้น แต่ก็ยังให้ความรู้สึกกลมกลืนกัน
5. จังหวะ (Rhythm) ระยะในการจัดภาพหรือการวางของวัตถุ ซ้ำไปซ้ำมา อย่างสม่ำเสมอ เช่น ลายไทย การปูกระเบื้อง หรือการแปรอักษร เป็นต้น
ที่มา : //www.ipesk.ac.th/ipesk/VISUALART/lesson3.html