โหมดถ่ายภาพปกติ โดยกล้องจะใช้เลนส์ Wide 28 mm เป็นหลักก่อน ค่ารูรับแสงอยู่ที่ F/1.8 ทำให้ถ่ายภาพกลางคืนได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ
ตัวอย่างภาพเลนส์ 28 mm (ไม่ผ่านการปรับแต่ง)
ตัวอย่างภาพเลนส์ 56 mm (ไม่ผ่านการปรับแต่ง)
โหมด หน้าชัดหลังเบลอ Portrait
โดยโหมดนี้จะใช้เลนส์ 56 mm ซึ่งโหมดนี้ต้องการแสงสำหรับการถ่ายภาพพอสมควรครับ ที่มืดๆไม่สามารถถ่ายได้ และวัตถุที่ไกลที่สุดต้องไม่เกิน 8 ฟุต หรือ 243 เซนติเมตร
สำหรับความเนียนผมว่าพอใช้ได้เลยครับ แต่ในบางสถานการณ์ที่วัตถุไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจนอันนี้ผมว่าไม่ค่อยเนียนการเบลอจะดูไม่สมจริง
//www.flickr.com/photos/130601302@N04/29583778054/in/dateposted-public/
ในโหมด Portrait นั้นเนื่องจากเป็นตัว Beta อาจจะยังไม่สมบูรณ์มากนัก ยังมีอาการเพี้ยนๆบ้าง คงต้องรอทาง Apple ออกตัวสมบูรณ์ออกมา ผมมีภาพที่เกิดอาการเบลอผิดที่ให้ดูครับ
โดยรวม iPhone 7 Plus ตัวนี้มีจุดเด่นหลักๆสองอย่างที่สามารถใช้ได้จริง นั้นก็คือ เลนส์คู่ที่มีเลนส์ Tele มาให้ทำให้สามารถถ่ายภาพไกลๆได้โดยไม่เสียคุณภาพแม้รูรับแสงอาจจะแคบกว่า และอีกหนึ่งจุดเด่นนั้นก็คือการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งทำออกมาได้เนียนพอสมควรแม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง คงต้องรอ Apple ออกเฟิร์มแวร์มาเพื่อปรับปรุง
ในส่วนของโหมดๆอื่นถือว่าใช้ได้ดีเหมือนปกติ วิดิโอ 4K ที่ 30FPS หรือจะถ่าย Slow-Motion ก็ได้ชัดสุด 1080P ที่ 120FPS คุณภาพก็สมจริงสีไม่จัดมากสไตล์แอปเปิลเค้าเลย 😀
หลังจากที่แอปเปิลเปิดตัว iPhone 7 อย่างเป็นทางการไปเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพียบ ซึ่งฟีเจอร์กล้องก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ชูโรง iPhone 7 และ 7 Plus โดดเด่น เพราะแอปเปิลได้พัฒนาเซ็นเซอร์กล้องไอโฟนใหม่แบบต้องร้องว้าว วันนี้เลยจะมาสรุปความสามารถกล้อง iPhone 7 และ 7 Plus กัน
กล้องหลัง 12 MP ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม
สำหรับใครที่ยังไม่ทราบ สเปคคร่าว ๆ ของกล้องหลัง iPhone 7 และ 7 Plus นั้นต่างกันเล็กน้อย คือ
- iPhone 7 จะมีกล้องหลังมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 เลนส์ 6 ชิ้น
- iPhone 7 Plus จะมีกล้องหลัง 2 เลนส์ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เลนส์ 6 ชิ้นเหมือนกัน โดยจะมีเลนส์ Wide (f/1.8) และ Tele (f/2.8) สำหรับ iPhone 7 Plus
ซึ่งจะเห็นว่ารูรับแสง หรือค่า f นั้นกว้างขึ้นกว่า iPhone 6s ซึ่งเดิมที่เลนส์ iPhone 6s จะมีเลนส์เพียง 5 ชิ้น และมีค่า f/2.2 และการที่แอปเปิลได้ปรับปรุงเลนส์กล้องหลัง iPhone 7 มีถึง 6 เลนส์ และ f/1.8 จะทำให้เราสามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น สว่างขึ้นกว่าเดิมถึง 50%
กว่าจะได้ 1 ภาพ ต้องมีการประมวลผลกว่า 1 แสนล้านคำสั่ง
ในงานเวทีแอปเปิลได้โฆษณาถึงกระบวนการ (ISP) ว่ากว่าจะได้ภาพแต่ละภาพมานั้น แอปเปิลได้ทำการปรับปรุงภาพทั้งหมดกว่า 1 แสนล้านคำสั่ง ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดแค่ 25 มิลลิวินาที (ms) เท่านั้น โดยแบ่งกระบวนการ Process ภาพเป็น 8 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
- Face & Body Detection
- Auto-exposure
- Focus
- White Balance
- Wide Color Capture
- 4th-gen Local Tone Mapping
- Noise Reduction
- Combine Multi Image
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ในการกดชัตเตอร์ 1 ครั้งนั้น iPhone 7 ของเราจะเริ่มตั้งแต่ตรวจจับใบหน้า, ปรับความสว่าง, โฟกัส, ปรับ White Blance, ตรวจวัดสี, ทำโทน, ลด Noise และนำภาพทั้งหมดมารวมกันเป็นภาพเดียว ทำให้ภาพที่ได้ ดูสวย สมจริง สีไม่ผิดเพี้ยน เหมือนตาเรามองเห็น
กล้องหลังคู่ไว้ทำอะไรบ้าง ?
นี่คงเป็นคำถามที่ทุกคนสงสัยที่สุดว่า กล้องหลังคู่ที่มีเฉพาะ iPhone 7 Plus นั้นมันดีกว่า iPhone 7 ที่มีเลนส์เดียวยังไง วันนี้มีคำตอบ โดยในงานเปิดตัว iPhone 7 แอปเปิลได้อธิบายฟีเจอร์ กล้องคู่ไว้อย่างละเอียด หลัก ๆ 2 อย่างด้วยกันคือ
1) สามารถซูมแบบ Optical Zoom ได้ 2 เท่า
จากการที่ iPhone 7 Plus มีกล้องหลัง 2 เลนส์ ที่เป็นแบบ Wide กับ Telephoto นั้น เมื่อเรากดถ่ายภาพไอโฟนจะทำการถ่ายรูปทั้ง 2 เลนส์ คือเลนส์ Wide จะเก็บภาพมุมกว้าง และเลนส์ Telephoto จะเก็บภาพในระยะไกล ๆ
และเมื่อเอาภาพจาก 2 เลนส์นี้มารวมกัน จะทำให้ iPhone 7 Plus นั้นเหมือนทำให้เปรียบเสมือนมีเลนส์ที่สามารถซูมแบบ Optical ได้ถึง 2 เท่า และแอปเปิลก็บอกอีกว่า สามารถซูมแบบ Digital ได้อีก 5 เท่า รวมแล้ว iPhone 7 Plus สามารถซูมได้ถึง 10 เท่าเลยทีเดียว
แล้ว Optical Zoom กับ Digital Zoom ต่างกันยังไง ?
Optical Zoom ถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือ การซูมที่มาจากการทำงานของเลนส์ และไม่ทำให้ภาพแตก หรือลดคุณภาพไป คือ iPhone 7 Plus สามารถถ่ายด้วยความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เมื่อซูมแล้วก็ยังคงได้ภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเหมือนเดิม
Digital Zoom มันก็เหมือนการซูมแบบหลอก ๆ คือ เหมือนเราทำการครอปภาพ นั่นหมายความว่าภาพที่ได้จะแตก ๆ ไม่สวย และความละเอียดของภาพที่ได้ก็จะลดลง เช่น ถ่ายภาพจาก iPhone 7 Plus ได้ภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่เมื่อทำการซูมแบบ Digital แล้ว ภาพที่ได้ก็จะลดลงตามกำลังขยาย เช่นซูม 10 เท่าความละเอียดอาจจะเหลือ 1-2 ล้านพิกเซลเท่านั้น
ในด้านซอฟต์แวร์ แอปเปิลได้ทำปุ่มซูม 1x กับ 2x เอาไว้ นั่นคือปุ่มไว้ซูมแบบ Optical นั่นเอง แต่เราก็ยังสามารถใช้นิ้วถ่างเพื่อซูมแบบ Digital ได้ถึง 10 เท่าเหมือนกัน
2) ทำหน้าชัดหลังเบลอได้
ถ้าใครเคยใช้กล้อง DSLR หรือกล้อง Mirrorless และมีเลนส์ที่มี f กว้าง ๆ เช่น 50 mm f/1.8 เวลาถ่ายก็จะทำให้ภาพที่ได้มันหน้าชัดหลังเบลอได้ง่าย ๆ เมื่อเราปรับไปที่รูรับแสงกว้าง ๆ (ค่า f น้อย ๆ)
แต่ใน iPhone 7 และ 7 Plus นั้นจริงอยู่ที่มีรูรับแสง f/1.8 ก็จริง แต่ไม่สามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอแบบกล้องใหญ่ ๆ ได้เหมือนกล้อง DSLR เนื่องจากเซ็นเซอร์รับภาพของ iPhone 7 และ 7 Plus มันเล็กมาก เมื่อเทียบกับกล้องใหญ่
แอปเปิลเลยใช้เทคนิคทำหน้าชัดหลังเบลอโดยการใช้กล้องคู่ บน iPhone 7 Plus แทน โดยการจะใช้เลนส์ Telephoto ในการเก็บวัตถุด้านหน้า เช่น คน และจะเก็บภาพพื้นหลังด้วยเลนส์ Wide หลังจากนั้นไอโฟนจะทำการประมวลผลความลึกตื้นของวัตถุ และทำการวมภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน
มี LED Flash ถึง 4 ดวง ช่วยเพิ่มความสว่างถึง 50%
อีกอย่างที่ iPhone 7 และ 7 Plus มีมาให้เหมือนกัน คือ True tone LED Flash ถึง 4 ดวง ซึ่งแอปเปิลบอกว่ามันจะช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น เพราะว่ามีความสว่างขึ้นถึง 50% เลยทีเดียว
มีระบบกันสั่นทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus
เมื่อใครยังจำกันได้เมื่อปีที่แล้ว iPhone 6s จะไม่มีระบบ Opical Image Stabilization (OIS) หรือว่าระบบกันสั่นมาให้ จะมีแค่รุ่น iPhone 6s Plus เท่านั้น แต่ล่าสุด แอปเปิลได้ใส่ระบบกันสั่นมาให้ทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus แล้ว
กล้องหน้าจัดเต็มให้มา 7 ล้านพิกเซล
เทรนด์ Selfie กำลังมา แอปเปิลเลยจับ iPhone 7 และ 7 Plus ยัดกล้องหน้ามาให้ถึง 7 ล้านพิกเซล f/2.2 เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าคู่แข่งเลยทีเดียว นอกจากจะใส่ความละเอียดมาให้แล้ว กล้องหน้ายังมีระบบกันสั่นเหมือนกล้องหลังอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบ Wide Color Capture หรือการปรับเฉดสีให้แม่นยำ ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น