อุบาสกธรรม 7
อุบาสกธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน หรือข้อปฏิบัติสำหรับชาวพุทธที่จะพึงปฏิบัติต่อพระพุทธศาสนา มี 7 ประการ คือ
1. ไปวัดเป็นนิจ เพื่อประกอบกิจทางพระศาสนา เช่น ทำบุญตักบาตร รักษาศีล ฟังธรรม ไปเพื่อพบพระสงฆ์ผู้ทรงศีลเพื่อสนทนาธรรม หรือสอบถามถึงสารทุกข์สุขดิบของพระภิกษุสามเณรว่าขาดเหลือสิ่งใด มีอะไรที่ตนพอจะช่วยเหลือเกื้อกูลทางวัดได้บ้าง
2. ฟังธรรมสม่ำเสมอ การฟังธรรมอาจทำได้หลายทาง เช่น ไปฟังธรรมที่วัด หรือติดตามรับฟังจากสถานีวิทยุ โทรทัศน์ เปิดเทปธรรมะหรือซีดีธรรมะฟังอยู่ที่บ้าน ไปฟังการบรรยายธรรม เสวนาธรรม อภิปรายธรรมที่จัดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ ก็ได้เช่นกัน
3. ศึกษาหาความรู้ในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป ชาวพุทธที่ดีนอกจากหมั่นเข้าวัดฟังธรรมแล้ว ควรศึกษาหาความรู้เรื่องหลักการทางพระพุทธศาสนา และศึกษาถึงข้อวัตรปฏิบัติที่จะทำให้ตนเองมีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เช่น คอยติดตามข่าวสารบ้านเมือง อ่านหนังสือธรรมหรือหนังสือความรู้ทั่วไปอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น
4. มีความเสื่อมใสในพระสงฆ์อย่างเสมอภาคกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชังว่าเป็นพระเถระหรือเป็นพระภิกษุหนุ่มสารเณรน้อย การให้ความอุปถัมภ์บำรุงหรือการปฏิบัติต่อพระสงฆ์จึงควรปฏิบัติให้เสมอภาคกัน ไม่แบ่งชั้นวรรณะ หรือยึดถือตามยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะพระภิกษุ สามเณรถือว่าเป็นผู้ที่สละเพศฆราวาสและฐานะทางสังคมเข้ามาสู่พระธรรมวินัยด้วยความเสมอภาคกัน
5. ตั้งใจฟังธรรมโดยเคารพ คือ ไม่ลบหลู่หรือคอยเพ่งโทษจับผิด หรือตำหนิติเตียนพระสงฆ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้จิตเศร้าหมองแล้ว ยังทำให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เป็นที่ชิงชังรังเกียจของผู้อื่นที่มีความเลื่อมใสศรัทธา เสียประโยชน์ที่พึงมีพึงได้โดยใช่เหตุ
6. ไม่แสวงหาบุญเขตหรือผู้วิเศษนอกหลักคำสอนพระพุทธศาสนา เช่น การไปหาเจ้าพ่อเจ้าแม่ การทรงเจ้าเข้าผี เป็นต้น เพราะพระพุทธศาสนาได้วางหลักแห่งการทำบุญ หรือที่เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุไว้ถึง 10 วิธีด้วยกัน การทำบุญทั้ง 10 วิธีนั้น ถือว่าเป็นบุญเขตอันยอดเยี่ยมที่ชาวพุทธควรยึดถือปฏิบัติได้เป็นอย่างดี
7. เอาใจใส่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สิ่งที่พึงปฏิบัติของชาวพุทธที่ดีอีกประการหนึ่งก็คือ เอาใจใส่ทำนุบำรุงและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา เช่น ช่วยกันเผยแผ่หลักธรรมคำสอน สงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์สามเณร หรืออุปถัมภ์บำรุงวัดวาอารามต่างๆ เมื่อพระพุทธศาสนามีภัยคุกคาม ช่วยกันปกป้องคุ้มครอง เป็นต้น
อ้างอิง://krujiraporn.wordpress.com/2011/07/05/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97-5/
อุบาสกธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญของอุบาสก คือ ถ้าปฏิบัติให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น ถึงขั้นเป็นอุบาสกอุบาสิกา คือผู้ใกล้ชิดพระศาสนาอย่างแท้จริง ควรตั้งตนอยู่ในธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญของอุบาสก มี 7 ประการคือ
1. ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ
2. ไม่ละเลยการฟังธรรม
3. ศึกษาในอธิศีล คือฝึกอบรมตนให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติรักษาศีลขั้นสูงขึ้นไป
4. พรั่งพร้อมด้วยความเลื่อมใส ในพระภิกษุทั้งหลาย ทั้งที่เป็น เถระ (ภิกษุบวชครบ 10 พรรษาขึ้นไป) ปานกลาง (ภิกษุบวชครบ
5 พรรษาแต่ไม่เต็ม 10 พรรษา) และนวกะ (ภิกษุบวชไม่ครบ 5 พรรษา)
5. ฟังธรรมโดยมิใช่จะตั้งใจคอยจ้องจับผิด หรือหาช่องทางที่จะติเตียน
6. ไม่แสวงหาทักขิไณยนอกหลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสดงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา หรือไม่ทำบุญกับบุคคลนอกศาสนา
7. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้เป็นเบื้องต้น คือ ช่วยทำนุบำรุงและช่วยกิจการพระพุทธศาสนา
อริยสัจ 4 : มรรค : มงคล 38 : มีศิลปวิทยา
ศิลปวิทยา
ศิลปะ หมายถึง ความเป็นผู้ฉลาดหรือสามารถในทางหัตถกรรม
ศิลปวิทยา หมายถึง ความรู้ความสามารถจัดแจง หรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความละเอียดบรรจง งดงามสะดุดตาสะดุดใจเป็นที่ต้องการของคนทั่วไป ศิลปะ จึงหมายถึง การฝีมือ มีฝีมือทางการช่าง การแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาให้ปรากฏได้อย่างงดงามน่าดูน่าชม และทำให้เกิดความซาบซึ้งตรึงใจ สะเทือนใจ ประทับใจ หรือการละเล่นหรือการแสดงต่าง ๆ ที่ผู้เล่นหรือแสดงออกมาได้อย่างอ่อนซ้อยสวยงาม ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการงานต่าง ๆ นั่นคือ การฝีมืออย่างยอดเยี่ยมศิลปวิทยามี 2 อย่าง
1. ศิลปวิทยาสำหรับพระภิกษุสงฆ์ เช่น การตัดเย็บจีวร กลยุทธในการแนะนำสั่งสอน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนรู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง
2. ศิลปวิทยาสำหรับคฤหัสถ์ เช่น การวาดภาพ การก่อสร้างอาคารสถานที่ การปกครอง งานช่างต่าง ๆ เป็นต้นศิลปะ เกิดจากการใช้ความนึกคิด ใช้ฝีมือของผู้มีอัธยาศัยที่ละเอียดอ่อน รักความดี รักความสวยงาม เพื่อสร้างความดีงามและความพึงพอใจให้เกิดมีขึ้น ศิลปะมี 3 ลักษณะคือ
1. ศิลปทางกาย คือ เชี่ยวชาญชำนาญทำสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น ช่างเขียนภาพ ช่างปั้น ช่างทอผ้า ช่างก่อสร้าง ช่างออกแบบ เป็นต้น
2. ศิลปทางวาจา คือ มีความเชี่ยวชาญในการพูด ทำให้เกิดความสุขใจเศร้าใจ และสะเทือนใจได้ตามสภาพการณ์ในขณะนั้น ๆ คือ มีวาทะศิลป์ที่ยอดเยี่ยม
3. ศิลปทางใจ คือ ฉลาดในการคิดพิจารณาอย่างมีสติปัญญา สามารถควบคุมความนึกคิดให้ดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างถูกต้องและมีประโยชน์
การมีศิลปะ เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นคนมีบุญกุศลในตัวเอง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้รับเกียรติยศ การยกย่องสรรเสริญ และความสุขความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตัวเอง ทำให้เกิดความประทับใจ พึงพอใจแก่ตัวเองและผู้อื่น การมีศิลปะจึงเป็นสิ่งที่ต้องการ
ของทุกคน เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อใช้ให้เหมาะสมและใช้อย่างถูกต้องใช้อย่างก่อให้เกิดประโยชน์ ใช้อย่างคนมีสติปัญญาคอยควบคุม ไม่ใช้
ไปตามอารมณ์ที่ชั่วร้าย ซึ่งจะเป็นพิษ เป็นภัย เป็นอันตรายแก่ตัวเองและผู้อื่น ดังนั้น พระบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า ความเป็นผู้มีศิลปะ เป็นมงคลสูงสุด
Share this:
Like this:
ถูกใจ กำลังโหลด...