เริ่มหน้า ๑๕
บทที่ ๑๔
.............
สูงอย่าให้สูงกว่าฐานนานไปล้ม
จะเรียนคมเรียนไปเถิดอย่าเปิดฝัก
คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก ที่ไหนหลักแหลมคำจงจำเอา
.............
คำศัพท์ สำนวน
.............
คนสามขา หมายถึง คนแก่ที่ถือไม้เท้า
เรียนคม หมายถึง เรียนเพื่อหาวิชาความรู้
อย่าเปิดฝัก หมายถึง อย่าโอ้อวด
.............
ถอดความได้ว่า
.............
จะสร้างสิ่งใดให้สูงก็อย่าสร้างเกินว่าฐานที่จะรับน้ำหนักไว้ได้ เพราะจะทำให้ล้มง่าย
(สอนให้รู้จักประมาณ ตน ไม่ให้ทำอะไรเกินฐานะของตนเอง)
จะเรียนวิชาอะไรให้มีสติปัญญา เฉียบแหลม ก็เรียนเถิด แต่ให้เก็บความรู้ไว้ใช้เมื่อถึงเวลาอันสมควร
(สอนให้เป็นคนใฝ่รู้แต่อย่าอวดรู้)
คนแก่มีประสบการณ์มากเราควรเชื่อฟังคำทักท้วง
(สอนให้เห็นความสำคัญของผู้มีอาวุโส)
.............
สุภาษิตที่เกี่ยวข้อง
.............
คมในฝัก หมายถึง คนที่เขาฉลาดจริงๆ เขาไม่โอ้อวด
.............
หมดหน้า ๑๔
พออ่านชื่อบทเรียนนี้ครั้งแรก เราเชื่อว่าเพื่อน ๆ บางคนน่าจะต้องกลับมาอ่านใหม่อีกรอบเพราะไม่แน่ใจว่าอ่านถูกไหม และไม่รู้ว่าความหมายของชื่อนี้เกี่ยวกับอะไรกันแน่
แต่ก่อนจะไปเรียนรู้กันแบบเต็มอิ่ม เราเลยขออธิบายคร่าว ๆ ก่อนว่า อิศรญาณภาษิต (อ่านว่า อิด-สะ-ระ-ยาน-พา-สิด) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เพลงยาวเจ้าอิศรญาณ โดยมาจากชื่อผู้แต่ง คือ หม่อมเจ้าอิศรญาณ (มหากุล) กวีคนสำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) บวกกับคำว่า ภาษิตซึ่งหมายถึง ถ้อยคำที่กล่าวสืบต่อกันมา ดังนั้น คำว่า ‘อิศรญาณภาษิต’ เลยหมายถึงถ้อยคำของหม่อมเจ้าอิศรญาณที่บอกเล่าสืบต่อกันมา นั่นเอง ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรและให้แง่คิดอะไรบ้าง ติดตามกันต่อได้ในบทความนี้เลย
หรือเพื่อน ๆ จะไปเรียนแบบเต็ม ๆ พร้อมแอนิเมชันสวย ๆ กับแอปพลิเคชัน StartDee ก็ได้นะ คลิกที่นี่ได้เลย
ที่มาของเรื่องอิศรญาณภาษิต
สำหรับที่มาของเรื่อง เกิดขึ้นจากความน้อยอกน้อยใจของผู้แต่งหลังถูกตำหนิว่าสติไม่ดี จึงไม่น่าแปลกใจที่กลอนเพลงยาวนี้จะมีเนื้อหาที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม ประชดประชัน โดยจุดมุ่งหมายหลักของการแต่งอิศรญาณภาษิต คือการสั่งสอนและเตือนใจผู้อ่านเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจมากกว่าหรือผู้อาวุโสกว่า
ลักษณะคำประพันธ์
อิศรญาณภาษิตแต่งด้วยกลอนเพลงยาว ซึ่งมีลักษณะคล้ายกลอนสุภาพ แต่มีจุดที่แตกต่างออกไป 2 อย่างหลัก ๆ ได้แก่
- กลอนเพลงยาวจะขึ้นต้นด้วยวรรครับ (วรรคที่สอง) ดังนั้น บทแรกของกลอนเพลงยาวจึงมีเพียง 3 วรรค ขณะที่กลอนสุภาพหนึ่งบทจะมี 4 วรรค ดังตัวอย่าง
อิศรญาณชาญกลอนอักษรสาร
เทศนาคำไทยให้เป็นทาน โดยตำนานศุภอรรถสวัสดี
- อิศรญาณภาษิตจะลงท้ายด้วยคำว่า เอย แต่กลอนสุภาพไม่จำเป็นต้องลงท้ายด้วยเอย
แปลอิศรญาณภาษิต
เนื้อหาโดยรวมของอิศรญาณภาษิตเป็นการสอนและเตือนสติผู้อ่านเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ร่วมกับคนที่มีอำนาจมากกว่า หรือผู้ที่อาวุโสกว่า โดยไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทั้งเรื่องการวางตัว การมีสติ คิดไตร่ตรองก่อนลงมือทำ และการเคารพผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตามการสอนเหล่านี้ อยู่ในบริบทของยุคสมัยรัชกาลที่ 4 บางอย่างอาจจะยังนำมาปรับใช้กับชีวิตในปัจจุบันได้เหมือนเดิม แต่บางอย่างเพื่อน ๆ อาจจะต้องพิจารณาบริบทในยุคปัจจุบันเพิ่มเติม ส่วนเนื้อหาฉบับเต็ม คำศัพท์ และการถอดความเรารวบรวมมาให้ครบทุกบทแล้ว ไปอ่านกันเลยดีกว่า
- บทที่ ๑
อิศรญาณชาญกลอนอักษรสาร
เทศนาคำไทยให้เป็นทาน โดยตำนานศุภอรรถสวัสดี
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ชาญ หมายถึง เชี่ยวชาญ
เทศนา หมายถึง สอน
ตำนาน หมายถึง คำโบราณ
ศุภอรรถ หมายถึง ถ้อยคำที่ดี
แปลความหมาย
ท่อนนี้เป็นการเกริ่นว่า หม่อมเจ้าอิศรญาณเชี่ยวชาญด้านการแต่งกลอน จึงได้นำคำสอนโบราณและถ้อยคำที่ดีมาประพันธ์เป็นคำสอนเตือนใจ มอบให้ไว้เป็นทาน
- บทที่ ๒
สำหรับคนเจือจิตจริตเขลา ด้วยมัวเมาโมห์มากในซากผี
ต้องหาม้ามโนมัยใหญ่ยาวรี สำหรับขี่เป็นม้าอาชาไนย
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
เจือ หมายถึง ผสม
โมห์ หมายถึง ความลุ่มหลง
ม้ามโนมัย หมายถึง ม้าที่ขับขี่ได้รวดเร็วดั่งใจ (มาจากคำว่า มโน = ใจ และ มย = ความสำเร็จ)
ม้าอาชาไนย หมายถึง ม้าที่ได้รับการฝึกมาดี
แปลความหมาย
ในบทนี้เริ่มด้วยเรื่องการฝึกจิต โดยเปรียบเทียบม้า เหมือนพาหนะหรือหนทางฝึกจิตใจของคนเรา ซึ่งแปลความหมายได้ว่า คนที่มีความประพฤติโง่เขลา เพราะลุ่มหลงยึดติดกับกิเลสตัณหา (ในที่นี้เปรียบเหมือนซากผี) เลยต้องรู้จักหาวิธีฝึกจิตใจให้ทันกิเลสอย่างรวดเร็วเหมือนม้ามโนมัย เมื่อเท่าทันกิเลสแล้ว จิตใจที่ได้รับการฝึกฝนแล้วนั้นเปรียบเสมือนม้าอาชาไนยที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
- บทที่ ๓
ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
อัชฌาสัย หมายถึง ความมีน้ำใจเกื้อกูลกัน
แปลความหมาย
โบราณกล่าวไว้ว่า ชายเปรียบเสมือนข้าวเปลือก หญิงเปรียบเสมือนข้าวสาร ซึ่งเป็นการสอนให้ผู้หญิงรู้จักรักนวลสงวนตัว เพราะผู้หญิงคล้ายกับข้าวสารที่ผ่านการขัดสีพร้อมที่จะนำไปหุงอย่างเดียว ไม่สามารถนำมาปลูกใหม่ได้อีก ขณะที่ผู้ชายเปรียบเสมือนข้าวเปลือกที่สามารถนำไปเพาะปลูกและเจริญงอกงามใหม่ได้เรื่อย ๆ ซึ่งทั้งชายและหญิงต่างก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหมือนกับสำนวน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และต้องนึกถึงใจเขาใจเรา รักกันไว้ก่อนจะดีกว่าการเกลียดชังกัน
ในบทนี้ผู้เขียนคิดว่า การเปรียบเทียบดังกล่าวอาจสะท้อนแนวคิดชายเป็นใหญ่ที่กำหนดให้ผู้หญิงต้องเรียบร้อย รักนวลสงวนตัวเพื่อให้ไม่ให้บอบช้ำเสียหาย ขณะที่ฝ่ายชายไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องนี้ ซึ่งปัจจุบันมีคนที่วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้เช่นกัน (ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ใน //thematter.co/thinkers/patriarchy-in-thai-lesson/54111)
- บทที่ ๔
ผู้ใดดีดีต่ออย่าก่อกิจ ผู้ใดผิดผ่อนพักอย่าหักหาญ
สิบดีก็ไม่ถึงกับกึ่งพาล เป็นชายชาญอย่าเพ่อคาดประมาทชาย
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
หักหาญ หมายถึง การบังคับโดยใช้กำลังหรืออำนาจ
อย่าเพ่อ หมายถึง ห้ามไม่ให้กระทำ
แปลความหมาย
บทนี้พูดถึงเรื่องการทำความดี คือ คนดีมาเราก็ดีตอบ แต่ถ้าร้ายมาเราไม่จำเป็นต้องร้ายตอบ แต่ควรให้อภัยกันและกันแทน ซึ่งการทำความดีนั้น ต่อให้ทำมาสิบครั้ง พอผิดครั้งเดียวคนก็ลืมความดีที่ทำมาทั้งหมดได้ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่ควรประมาท และไม่ควรดูหมิ่นผู้อื่น
- บทที่ ๕
รักสั้นนั้นให้รู้อยู่เพียงสั้น รักยาวนั้นอย่าให้เยิ่นเกินกฎหมาย
มิใช่ตายแต่เขาเราก็ตาย แหงนดูฟ้าอย่าให้อายแก่เทวดา
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
เยิ่น หมายถึง ยาว หรือ นานออกไป
แปลความหมาย
บทนี้พูดถึงการทำให้ความรักความสัมพันธ์เป็นไปอย่างยาวนาน ต้องอาศัยการทำดีต่อกันอย่างสม่ำเสมอ และไม่ทำอะไรเกินขอบเขตกฎหมาย ยังไงเราทุกคนก็ต้องตาย ทำความดีไว้ก่อนดีกว่าจะได้ไม่อายเทวดาที่อยู่บนสวรรค์
- บทที่ ๖
อย่าดูถูกบุญกรรมว่าทำน้อย น้ำตาลย้อยมากเมื่อไรได้หนักหนา
อย่านอนเปล่าเอากระจกยกออกมา ส่องดูหน้าเสียทีหนึ่งแล้วจึงนอน
แปลความหมาย
บทนี้พูดถึงการทำบุญที่แม้จะทำเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอก็กลายเป็นกุศลผลบุญยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน คล้ายกับการปาดน้ำตาลที่แม้จะไหลออกมาเพียงเล็กน้อย แต่หากเวลาผ่านไป น้ำตาลก็สามารถจะเพิ่มจำนวนขึ้นมากเรื่อย ๆ ได้เช่นกัน
ส่วนวรรคที่บอกว่า ‘อย่านอนเปล่าเอากระจกยกออกมา’ ไม่ได้หมายถึงการส่องกระจกเช็คหน้าผมแต่อย่างใด แต่สื่อถึงการสำรวจสภาพร่างกาย จิตใจ และการกระทำของตัวเองในแต่ละวัน คล้ายกับการเตือนใจให้ผู้คนมีสติหมั่นทบทวนตัวเองในทุก ๆ วันนั่นเอง
- บทที่ ๗
เห็นตอหลักปักขวางหนทางอยู่ พิเคราะห์ดูควรทึ้งแล้วจึงถอน
เห็นเต็มตาแล้วอย่าอยากทำปากบอน ตรองเสียก่อนจึงค่อยทำกรรมทั้งมวล
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
พิเคราะห์ หมายถึง คิดพิจารณาอย่างรอบคอบ
ทึ้ง หมายถึง
พยายามดึง
ปากบอน หมายถึง ปากอยู่ไม่สุข ชอบพูด
ตรอง หมายถึง คิดทบทวน
แปลความหมาย
เมื่อเห็นตอไม้ปักขวางทาง ก่อนที่จะลงมือถอนควรพิจารณาให้ดีก่อน เพราะหากถอนโดยไม่ดูให้ดีอาจได้รับความเดือดร้อนได้ เมื่อเราเห็นสิ่งใดก็อย่าเพิ่งพูด ควรคิดพิจารณาให้ดีเสียก่อนก่อนที่จะพูดหรือกระทำอะไร
- บทที่ ๘
ค่อยดำเนินตามไต่ผู้ไปหน้า ใจความว่าผู้มีคุณอย่าหุนหวน
เอาหลังตากแดดเป็นนิจคิดคำนวณ รู้ถี่ถ้วนจึงสบายเมื่อปลายมือ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ดำเนิน หมายถึง เดิน
หลังตากแดด หมายถึง ก้มหน้าทำงานหนักแบบชาวนา
ทำให้หลังถูกแดดตลอดเวลา
คิดคำนวณ หมายถึง คิดใคร่ครวญ
เมื่อปลายมือ หมายถึง ในภายหลัง
แปลความหมาย
บทนี้เล่าถึงการใช้ชีวิตและประพฤติตัวโดยมีผู้ใหญ่เป็นแบบอย่าง และไม่ควรอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ รวมทั้งมีความขยันอดทนเหมือนกับชาวนาที่ทำงานหนัก หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินตลอดเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสบายในวันข้างหน้า
- บทที่ ๙
เพชรอย่างดีมีค่าราคายิ่ง ส่งให้ลิงจะรู้ค่าราคาหรือ
ต่อผู้ดีมีปัญญาจึงหารือ ให้เขาลือเสียว่าชายนี้ขายเพชร
แปลความหมาย
การนำของมีค่าให้กับคนที่ไม่รู้ค่า ก็เหมือนกับการนำเพชรไปให้กับลิง ดังนั้นเราควรอยู่กับคนที่มองเห็นคุณค่าของเราเอง ซึ่งในที่นี้คือเรื่องสติปัญญา โดยวรรคที่บอกว่า ‘ให้เขาลือเสียว่าชายนี้ขายเพชร’ หมายถึงให้คนร่ำลือว่าตนเองมีปัญญาราวกับมีเพชรมากพอที่จะอวดได้
- บทที่ ๑๐
ของสิ่งใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า ใครเลยเล่าจะไม่งามตามเสด็จ
จำไว้ทุกสิ่งจริงหรือเท็จ พริกไทยเม็ดนิดเดียวเคี้ยวยังร้อน
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
เจ้า หมายถึง เจ้านาย
แปลความหมาย
บทนี้พูดถึงการเห็นดีเห็นงามตามเจ้านาย ต่อให้ไม่เห็นด้วยก็ต้องเก็บไว้ข้างใน เพื่อให้ไม่เดือดร้อนตนเองเพราะหากเดือดร้อนขึ้นมาต่อให้เป็นเรื่องเล็กเหมือนพริกไทยเม็ดเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้เช่นกัน ซึ่งผู้เขียนมองว่าบทนี้สะท้อนให้เห็นการความสำคัญกับผู้มีอำนาจหรืออาวุโสกว่าตนมาก ๆ โดยเน้นหนักไปที่ความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง และผู้คนยังไม่ได้มีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ได้อย่างเปิดกว้างและเท่าเทียมกัน
- บทที่ ๑๑
เกิดเป็นคนเชิงดูให้รู้เท่า ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน
อยากใช้เขาเราต้องก้มประนมกร ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ประนมกร หมายถึง ประนมมือ
ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ หมายถึง
ไม่มีใครที่จะคิดว่าตนเป็นวัวให้คนอื่นใช้งาน
ความหมาย
การเกิดเป็นมนุษย์ต้องรู้จักเท่าทันของผู้อื่น เราควรหมั่นสอนใจตนเอง หากเราต้องการขอความช่วยเหลือจากเขา เราก็ควรมีความสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน เพราะไม่มีใครที่จะคิดว่าตนเป็นวัวให้คนอื่นใช้งาน
- บทที่ ๑๒
เป็นบ้าจี้นิยมชมว่าเอก คนโหยกเหยกรักษายากลำบากหมอ
อันยศศักดิ์มิใช่เหล้าเมาแต่พอ ถ้าเขายอเหมือนอย่างเกาให้เราคัน
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
บ้าจี้ หมายถึง บ้ายอ
คนโหยกเหยก หมายถึง คนที่ไม่ได้เรื่อง แก้ไขยาก
แปลความหมาย
บทนี้กล่าวถึงคนบ้ายอที่มักจะชอบให้คนอื่นชื่มชม คนประเภทนี้เป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง หากนำไปรักษาก็สร้างความลำบากให้กับหมอ ซึ่งคนที่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในยศศักดิ์ จะต้องคิดให้ดีว่าสิ่งที่เขายกย่องสรรเสริญเรานั้น มาจากความจริงใจมากน้อยแค่ไหน หรือแค่พูดให้เหมาะกับจริตของเราเท่านั้น
- บทที่ ๑๓
บ้างโลดเล่นเต้นรำทำเป็นเจ้า เป็นไรเขาไม่จับผิดคิดดูขัน
ผีมันหลอกช่างผีตามทีมัน คนเหมือนกันหลอกกันเองกลัวเกรงนัก
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ทำเป็นเจ้า หมายถึง ทำทีว่าเจ้าเข้าสิง
แปลความหมาย
บางคนทำตัวเหมือนเจ้าเข้าสิง ไม่มีใครคิดจับผิดว่าเป็นผีจริงหรือไม่ แต่ต่อให้เป็นผีจริงก็ปล่อยให้หลอกไป เพราะยังไงก็น่ากลัวน้อยกว่าคนที่มาหลอกกันเอง
- บทที่ ๑๔
สูงอย่าให้สูงกว่าฐานนานไปล้ม จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปิดฝัก
คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก ที่ไหนหลักแหลมคำจงจำเอา
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
อย่าเปิดฝัก หมายถึง อย่าอวดรู้
คนสามขา หมายถึง คนแก่ ขาที่สามคือไม้เท้า
แปลความหมาย
ถ้าจะสร้างสิ่งไหนที่สูงเกินสมดุลของฐานก็อาจจะทำให้ล้มได้ เช่นเดียวกับการศึกษาหาความรู้ก็ต้องขยันหมั่นเพียรโดยไม่อวดรู้จนเกินไป และเราควรที่จะปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่เพราะเขามีประสบการณ์มาก่อนเรา หากสิ่งไหนที่ดีงามก็ควรจะจดจำและนำไปใช้
- บทที่ ๑๕
เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด ไปพูดขัดเขาทำไมขัดใจเขา
ใครทำตึงแล้วหย่อนผ่อนลงเอา นักเลงเก่าเขาไม่หาญราญนักเลง
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
หาญ หมายถึง กล้า
ราญ หมายถึง รบ
แปลความหมาย
เราควรประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างผู้ใหญ่ซึ่งมีประสบการณ์มาก่อน เหมือนกับสำนวน เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด และไม่ควรไปพูดขัดผู้อื่นเพราะอาจขัดใจเขาได้ นอกจากนี้ เราควรรู้จักยืดหยุ่น ถ้ามีคนหาเรื่องก่อนเราก็จะไม่หาเรื่องตอบ เพราะนักเลงที่แท้จริง (หรือจะเรียกว่า คนจริง แบบที่เราใช้กันในปัจจุบันก็ได้นะ) จะไม่หาเรื่องผู้อื่นก่อน
- บทที่ ๑๖
เป็นผู้หญิงแม่หม้ายที่ไร้ผัว ชายมักยั่วทำเลียบเทียบข่มเหง
ไฟไหม้ยังไม่เหมือนคนที่จนเอง ทำอวดเก่งกับขื่อคาว่ากระไร
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ทำเลียบ หมายถึง พูดจาแทะโลม
คนที่จนเอง หมายถึง คนที่ทำตนเองให้ยากจน
ขื่อคา หมายถึง เครื่องจองจำนักโทษ แต่ในคำประพันธ์นี้ หมายถึง แสดงอำนาจท้าทายบทลงโทษ
ภาพขื่อคา (ขอบคุณภาพจาก //w2help.com/)
แปลความหมาย
ในยุคสมัยนั้นมีมุมมองว่า การเป็นหญิงหม้ายไม่มีสามีคอยปกป้อง มีโอกาสถูกชายอื่นพูดจาแทะโลมข่มเหง ส่วนไฟไหม้บ้านยังไม่ร้ายแรงเท่ากับคนที่ทำตนเองให้ยากจน (ในที่นี้หมายถึงการหมดเงินไปกับกิเลสตัณหาต่าง ๆ) และอย่าทำตัวท้าทายกฎหมาย และบทลงโทษ
- บทที่ ๑๗
อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว
จงฟังหูไว้หูคอยดูไป เชื่อน้ำใจดีกว่าอย่าเชื่อยุ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ศอก หมายถึง มาตราวัด ๑ ศอก เท่ากับ ๒ คืบ
แปลความหมาย
เสาหินขนาด 8 ศอกถูกตอกลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง เมื่อมีคนมาผลักเสาหินอยู่เสมอ เสาหินย่อมสั่นคลอน เหมือนกับคนหูเบาเชื่อคนง่ายมักจะคล้อยตามผู้อื่น ดังนั้นเราควรพิจารณาความคิดของผู้อื่นก่อนว่าเขาพูดด้วยความจริงใจหรือไม่แล้วค่อยตัดสินใจเชื่อ
- บทที่ ๑๘
หญิงเรียกแม่ชายเรียกพ่อยอไว้ใช้ มันชอบใจข้างปลอบไม่ชอบดุ
ที่ห่างปิดที่ชิดไชให้ทะลุ คนจักษุเหล่หลิ่วไพล่พลิ้วพลิก
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
คนจักษุเหล่ หมายถึง คนตาเข หรือ คนตาเหล่
แปลความหมาย
บทนี้กล่าวถึงการใช้คำพูดเป็นหลัก ถ้าเราต้องการขอความช่วยเหลือก็ควรใช้คำพูดอ่อนหวานเพราะไม่มีใครชอบให้ใช้คำพูดห้วน ๆ หรือดุดัน และควรพูดจาให้รู้จักกาลเทศะ เช่น เมื่อเจอคนตาเหล่ก็ควรรู้จักเลี่ยงไม่พูดตรง ๆ เพื่อมิให้เสียน้ำใจ
- บทที่ ๑๙
เอาปลาหมอเป็นครูดูปลาหมอ บนบกหนออุตส่าห์เสือกกระเดือกกระดิก
เขาย่อมว่าฆ่าควายเสียดายพริก รักหยอกหยิกยับทั้งตัวอย่ากลัวเล็บ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
เสือก หมายถึง ทำให้เคลื่อนไปบนพื้นโดยแรง
กระดิก หมายถึง ทำปลายอวัยวะให้เคลื่อนไหว
แปลความหมาย
บทนี้เปรียบเทียบว่า เราควรเพียรพยายามแบบปลาหมอที่อยู่บนบกแล้วพยายามตะเกียกตะกายกลับไปในน้ำให้ได้ ส่วนการฆ่าควายแล้วอย่าเสียดายพริกนั้น หมายถึง หากจะทำการใหญ่ก็ไม่ควรกลัว แต่ควรทำให้เต็มที่ ส่วนวรรคสุดท้ายต้องการจะสื่อว่า หากเราอยากจะหยอกล้อผู้อื่น เราก็ควรไม่กลัวที่ผู้อื่นจะหยอกล้อเรากลับบ้าง
- บทที่ ๒๐
มิใช่เนื้อเอาเป็นเนื้อก็เหลือปล้ำ แต่หนามตำเข้าสักนิดกรีดยังเจ็บ
อันโลภลาภบาปหนาตัณหาเย็บ เมียรู้เก็บผัวรู้ทำพาจำเริญ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
เนื้อ หมายถึง เนื้อคู่
ตัณหา หมายถึง ความทะยานอยาก
จำเริญ หมายถึง เจริญ
แปลความหมาย
ถ้าเราแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่เนื้อคู่หรือเข้ากันไม่ได้จริง ๆ ต่อไปก็จะมีแต่ปัญหา แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็เจ็บปวดได้ เหมือนกับหนามตำเพียงนิดเดียวก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อย นอกจากนี้การใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างสามีภรรยา ควรตัดความโลภ บาป และตัณหา ฝ่ายสามีต้องขยันทำงานเลี้ยงครอบครัว ส่วนภรรยาต้องรู้จักเก็บหอมรอมริบจะทำให้ครอบครัวเจริญยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เขียนมองว่าอิศรญาณภาษิตบทนี้สะท้อนค่านิยม “ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า” ของคนในยุคสมัยก่อน ต่างจากปัจจุบันที่ชายหญิงสามารถทำงานหรือเป็นผู้นำครอบครัวได้ทั้งคู่
- บทที่ ๒๑
ถึงรู้จริงนิ่งไว้อย่าไขรู้ เต็มที่ครู่เดียวเท่านั้นเขาสรรเสริญ
ไม่ควรก้ำเกินหน้าก็อย่าเกิน อย่าเพลิดเพลินคนชังนักคนรักน้อย
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ไข หมายถึง บอก อธิบาย
ชัง หมายถึง เกลียด
แปลความหมาย
สะท้อนมุมมองของคนในยุคสมัยนั้นว่า การพูดถึงสิ่งที่ตนรู้นับเป็นการอวดรู้ และจะได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นในระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้น อย่าทำอะไรเกินหน้าเกินตาผู้อื่น เพราะจำนวนคนที่รักเราจะมีน้อยกว่าคนที่เกลียดเรา
- บทที่ ๒๒
วาสนาไม่คู่เคียงเถียงเขายาก ถึงมีปากมีเสียเปล่าเหมือนเต่าหอย
ผีเรือนตัวไม่ดีผีอื่นพลอย พูดพล่อยพล่อยไม่ดีปากขี้ริ้ว
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
พูดพล่อยพล่อย หมายถึง พูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรองถึงผลที่จะเกิด
ปากขี้ริ้ว หมายถึง พูดจาไม่สุภาพ พูดไม่เหมาะสม
แปลความหมาย
ผู้มีอำนาจน้อยกว่าย่อมไม่สามารถเถียงผู้ที่มีอำนาจสูงกว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีปากในการพูดแต่พูดไปไม่มีประโยชน์ หากไม่ระวังกายและใจของตนเองให้ดี ตัวเราจะประพฤติชั่วได้โดยง่าย การพูดพล่อยๆโดยไม่คิดให้ดีก่อนพูดเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
- บทที่ ๒๓
แต่ไม้ไผ่อันหนึ่งตันอันหนึ่งแขวะ สีแหยะแหยะตอกตะบันเป็นควันฉิว
ช้างถีบอย่าว่าเล่นกระเด็นปลิว แรงหรือหิวชั่งใจดูจะสู้ช้าง
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
แขวะ หมายถึง เอาสิ่งมีคมแหวะคว้านให้กว้าง
ไม้ไผ่แขวะ หมายถึง ไม้ไผ่เจาะรู
สีแหยะแหยะ หมายถึง ถูกันเบา ๆ
ตะบัน หมายถึง แทงกดลงไป
แปลความหมาย
บทนี้สอนให้ไม่ประมาทเพราะบางอย่างอาจจะมีพิษภัยกว่าที่คิด อย่างไม้ไผ่อันที่ตันกับอีกอันที่เจาะเป็นรู เมื่อนำมาสีกันเบา ๆ ก็เกิดความร้อนได้เหมือนกัน และหากเราโดนช้างถีบหรือทำร้าย หากคิดจะแก้แค้นเอาคืน ควรพิจารณาตัวเองให้ดีก่อนว่ามีพละกำลังมากพอจะสู้กับช้างหรือไม่
- บทที่ ๒๔
ล้องูเห่าเล่นก็ได้ใจกล้ากล้า แต่ว่าอย่ายักเยื้องเข้าเบื้องหาง
ต้องว่องไวในทำนองคล่องท่าทาง ตบหัวผางเดียวม้วนจึงควรล้อ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
เบื้อง หมายถึง ข้าง ด้าน
ผาง หมายถึง เสียงดังอย่างเสียงเอามือตบสิ่งของ
แปลความหมาย
ถ้าเราจะล้อเล่นกับงูเห่า (สิ่งที่ดูอันตรายและเสี่ยงภัย) จะต้องมีใจที่กล้าหาญ คล่องแคล่ว ว่องไว ต้องรู้วิธีการจับงู ไม่จับงูเห่าข้างหาง และสามารถตบหัวงูเห่าให้ตายในครั้งเดียวได้ หากไม่สามารถทำได้งูเห่าจะย้อนกลับมากัดเราตายได้
- บทที่ ๒๕
ถึงเพื่อนฝูงที่ชอบพอขอกันได้ ถ้าแม้ให้เสียทุกคนกลัวคนขอ
พ่อแม่เลี้ยงปิดปกเป็นกกกอ จนแล้วหนอเหมือนเปรตเหตุด้วยจน
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ปิดปกเป็นกกกอ หมายถึง โอบอุ้มทะนุถนอมไว้
แปลความหมาย
บทนี้สอนเรื่องการให้แต่พอดี สำหรับเพื่อนฝูงก็ให้ได้ตามปกติ แต่เราไม่สามารถให้ทุกคนที่เข้ามาขอได้ เพราะยังไงพ่อแม่ก็ดูแลทะนุถถนอมเรามาอย่างดี กว่าเราจะมีทุกสิ่งอย่างจนวันนี้ แต่ถ้าเราให้คนอื่นไปจนหมดตัว สุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นเหมือนเปรตที่ต้องไปขอส่วนบุญกับผู้อื่น
- บทที่ ๒๖
ถึงบุญมีไม่ประกอบชอบไม่ได้ ต้องอาศัยคิดดีจึงมีผล
บุญหาไม่แล้วอย่าได้ทะนงตน ปุถุชนรักกับชังไม่ยั่งยืน
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
ประกอบ หมายถึง ทำ
ทะนง หมายถึง ถือตัว หยิ่งในตนเอง
ปุถุชน หมายถึง สามัญชน
แปลความหมาย
บทนี้พูดถึงเรื่องการทำดีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ยึดติดกับบุญเก่าที่เราทำมา โดยต้องเริ่มจากการคิดดีก่อน เพราะมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงความรู้สึกได้ง่าย คนที่เรารักอาจจะกลับมาเกลียดเรา ส่วนคนที่เกลียดเราอาจจะกลับมารักเราก็ได้
รู้จักสำนวนไทยในอิศรญาณภาษิต
เพื่อน ๆ จะเห็นว่าอิศรญาณภาษิตมีสำนวนไทยหลายสำนวนที่เราคุ้นเคยสอดแทรกอยู่ เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าแต่ละสำนวนมีความหมายอย่างไรบ้าง
- รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ
สำนวนนี้มองเผิน ๆ อาจจะดูย้อนแย้ง ชวนสงสัยว่ารักยาวให้บั่น หมายถึงทำให้ความรักน้อยลงหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ต้องบั่นให้น้อยลงในสำนวนนี้ คือ ‘ความอาฆาตพยาบาทต่อกัน’ ต่างหากเพราะความรักที่มีแต่ความอาฆาตคิดร้ายต่อกันนั้นเป็นความรักที่เกิดขั้นในช่วงสั้น ๆ แต่หากต้องการให้รักยั่งยืนจะต้องตัดความคิดอาฆาตพยาบาทออกไปนั่นเอง
- น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
หมายถึง การพึ่งพาอาศัยกัน สำหรับเสือที่พึ่งป่าเพื่ออยู่อาศัยและหาอาหารนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่ทำไมถึงเป็นน้ำพึ่งเรือแทนที่เรือจะพึ่งน้ำซะมากกว่า สำหรับข้อสงสัยนี้คาดว่าน่าจะมาจากเรือที่แล่นบนแม่น้ำช่วยให้ท้องน้ำไม่เป็นตะกอนตื้นเขิน หรืออาจจะเพราะเรือแล่นบนแม่น้ำ ทำให้ผู้คนดูแลเรื่องความสะอาด และสภาพแวดล้อมของน้ำให้ดีขึ้นกว่าแม่น้ำที่ไม่มีเรือแล่น
- เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด
ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย เพราะผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน มีประสบการณ์มาก่อน สะท้อนให้เห็นค่านิยมของสังคมไทยที่เน้นความนอบน้อมและเชื่อฟังผู้ใหญ่
- คมในฝัก
มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ได้แสดงออกจนกว่าจะถึงเวลา หรือมีโอกาสได้ลงมือทำ ซึ่งมีความหมายคล้ายกับสำนวนน้ำนิ่งไหลลึก
- ลิงได้แก้ว, วานรได้แก้ว
หมายถึง ผู้ที่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งมีค่าที่ได้มาหรือที่มีอยู่ เหมือนกับลิงซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือไม่ได้เห็นคุณค่าของแก้ว
- ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก, ฆ่าควายเสียดายเกลือ
หมายถึง ทำการใหญ่ไม่ควรตระหนี่ เช่นเดียวกับการฆ่าควายทั้งตัว ถ้ามัวเสียดายพริกและเกลือจนใส่ไม่พอดีกับปริมาณเนื้อ อาจจะทำให้รสชาติออกมาไม่ดี เสียของไปเปล่า ๆ
- จับงูข้างหาง
หมายถึง การทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายเพราะใจร้อนหรือมักง่าย อาจจะทำให้พลาดพลั้งได้ เช่นเดียวกับการจับงูข้างหางที่งูอาจจะหันมาแว้งมากัดได้ง่ายกว่าการจับที่คอ
ส่วนข้อคิด คุณค่าด้านสังคม และคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของอิศรญาณภาษิต เพื่อน ๆ สามารถโหลด แอปพลิเคชัน StartDee มาเรียนกันต่อได้เลย หรือจะอ่านบทความอื่น ๆ ของระดับชั้นม.3 อย่างเรื่องพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดล หรือแผนที่เฉพาะเรื่อง เพิ่มเติมกันก็ได้นะ
ขอบคุณข้อมูลจากครูธีรศักดิ์ จิระตราชู (ครูหนึ่ง)