สปสช.ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ที่มีอาการแพ้วัคซีนหรือมีอาการไม่พึงประสงค์หรือมีอาการข้างเคียง หลังจากฉีดวัคซีน Covid-19 จากสถานพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนที่ภาครัฐกำหนดให้ไปฉีด โดยครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิ ทั้งสิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม(สัญชาติไทย) สิทธิสวัสดิการข้าราชการและสิทธิอื่นๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูก-ผิด การฉีดวัคซีนโควิด-19 ต้องฉีดตามที่ภาครัฐกำหนด รวมถึงกรณีวัคซีนโควิด-19 ที่ประชาชนได้รับฟรีจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สวัสดิการจากบริษัท ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถยื่นคำร้องขอรับการช่วยเหลือในเบื้องต้นได้
โดยรายละเอียดข้อมูล-กระบวนการต่างๆทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
หลักการยื่นเรื่องเงินเยียวยา
ผู้มีสิทธิยื่นคำร้อง
- ผู้รับบริการที่ได้รับความเสียหาย หรือ ทายาท
- กรณีไม่มีทายาท ผู้อุปการะที่ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล หรือ ดูแลผู้รับบริการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานพอสมควร หรือหน่วยบริการที่ให้บริการสามารถยื่นคำร้องแทนได้
สถานที่ยื่นคำร้อง
- โรงพยาบาลที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด -19
- สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)
- สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสาขาเขตพื้นที่ (13 เขตทั่วประเทศ)
เอกสารประกอบคำร้อง
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาใบมรณบัตรของผู้รับบริการกรณีที่เสียชีวิต
- ความเห็นแพทย์ผู้ให้การรักษาและการหยุดพักงาน
ระยะเวลาในการยื่นคำร้อง
- ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ทราบความเสียหาย
กระบวนการพิจารณา
- ยื่นคำร้อง
- คณะอนุกรรมการฯภายใต้สปสช.พิจารณาคำร้อง
- ลงมติว่าเห็นชอบที่จะจ่ายเงินช่วยเหลือหรือไม่ จำนวนเท่าไร
- ในกรณีที่จ่าย สปสช.จะโอนเงินเข้าบัญชีภายใน 5 วัน หลังจากที่คณะอนุกรรมการฯมีมติ
- กรณีที่ไม่เห็นด้วยกับผลการวินิจฉัย ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน
อัตราการจ่ายช่วยเหลือเบื้องต้น
- เสียชีวิต /ทุพพลภาพถาวร ไม่เกิน 4 แสนบาท
- เสียอวัยวะ / พิการ ไม่เกิน 2.4 แสนบาท
- บาดเจ็บ / บาดเจ็บต่อเนื่่อง ไม่เกิน 1 แสนบาท
หลังจากได้รับคำร้องแล้ว จะมีคณะอนุกรรมการในระดับเขตซึ่งประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนภาคประชาชนเป็นผู้พิจารณาว่าจะจ่ายเงินเยียวยาหรือไม่และจ่ายเป็นจำนวนเท่าใด ตามหลักฐานทางการแพทย์และระดับความหนักเบาของอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น เมื่อมีผู้มายื่นคำร้องแล้ว คณะอนุกรรมการฯ ระดับเขตพื้นที่จะเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งในกรณีที่ผู้ยื่นคำร้องไม่เห็นด้วยกับผลการวินิจฉัย ก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อเลขาธิการ สปสช. ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบผลการวินิจฉัย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1330 ตลอด 24 ชม. หรือ คลิก //lin.ee/zzn3pU6 เพิ่มเพื่อนไลน์กับ สปสช. @nhso
“ประกันสังคม” เปิดให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ที่ไม่ได้เงินเยียวยาว่างงาน ทำเรื่องอุทธรณ์สิทธิ์ 18 พ.ค. นี้ ที่สำนักงานจัดหางานทุกแห่ง ส่วนลูกจ้าง 2 แสนคน รับเงินว่างงาน 15 พ.ค.ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สำหรับการจ่ายเงินชดเชยว่างงานจากเหตุสุดวิสัย ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ขณะนี้ได้จ่ายไปกว่า 7 แสนคน ส่วนที่เหลือประมาณ 2 แสนคน จะจ่ายให้จบในวันที่ 15 พ.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ตามที่ยื่นขอ จะเปิดให้ยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 18 พ.ค. ที่สำนักงานจัดหางานทุกแห่ง ซึ่งคาดว่า มีประมาณ 1 แสนคน ที่ข้อมูลยังไม่ครบ เนื่องจากนายจ้างยังไม่รับรองการหยุดงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ นางพิศมัย นิธิไพบูลย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม ในฐานะโฆษกสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงว่า ขณะนี้นายจ้างหลายรายได้เข้ามาส่งหนังสือรับรองลูกจ้างเป็นจำนวนมาก เมื่อลูกจ้างได้รับการรับรองเรียบร้อยแล้ว และมีเอกสารครบจะเริ่มเข้าสู่โหมดการวินิจฉัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเราทำงานกันทุกวัน เพื่อให้ทันจ่ายเงินในพรุ่งนี้ (15 พ.ค.)
- ประกันสังคม
- อุทธรณ์สิทธิ์
- ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล
- ประกันสังคม ลูกจ้าง ว่างงาน ยื่นอุทธรณ์สิทธิ์ 18 พ.ค. โควิด-19
- 18 พ.ค.
- 15 พ.ค.
- โควิด-19
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สปส.จ่ายเงินผู้ประกันตนว่างงานจากเหตุสุดวิสัยแล้วกว่า 7 แสนราย
นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโรควิด-19 สำนักงานประกันสังคมได้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบทำให้ว่างงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งสำนักงาน
ครม.อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ … สร้างหลักประกันแรงงาน นอกระบบราว 20 ล้านคน มีหลักประกันทางสังคมและได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย “แรงงานนอกระบบ” ที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายดังกล่าวคือ แรงงานสัญชาติไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน หรือไม่ได้เป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 ตามกฎหมายประกันสังคม รวมถึงผู้ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด เช่น เกษตรกร และประมง พ่อค้า แม่ค้า แผงลอย คนขับแท็กซี่ ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 19.6 ล้านคน หรือร้อยละ 52 ของแรงงานทั้งประเทศ สาระสำคัญให้แรงงานนอกระบบมีสิทธิขึ้นทะเบียนแรงงานนอกระบบ และให้แรงงานนอกระบบตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปขึ้นทะเบียนกลุ่มแรงงานนอกระบบตามลักษณะของอาชีพ แรงงานนอกระบบตั้งแต่ 15 กลุ่มขึ้นไปขึ้นทะเบียนเพื่อจัดตั้งองค์กรแรงงานนอกระบบได้ รวมทั้งให้องค์กรแรงงานนอกระบบมีสิทธิเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบให้มี “คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบแห่งชาติ” มีหน้าที่และอำนาจกำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ และเสนอแนวทางในการแก้ไข ปรับปรุง กฎหมายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมดังกล่าวต่อ ครม. ให้มี “กองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ” เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต และการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ