วิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา มีจุดกำเนิดจากประเทศไทยและแพร่ขยายไปหลายประเทศในเอเซียได้มิเพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแต่ยังรวมเศรษฐกิจของประเทศ เอเชียอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เป็นอันมากทั้ง ในแง่เศรษฐกิจตกต่ำ การว่างงานขยายตัว ธุรกิจล้มละลาย และปัญหาหนี้สินได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย
วิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจที่รัฐบาลไทยเลือกใช้ดังต่อไปนี้
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อใช้ในการผลิตสินค้านั้นมีอยู่อย่างจำกัด ไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้ทั้งหมด
ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาทางเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งถือว่าได้ว่า เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจที่บุคคล กลุ่มบุคคล และรัฐจะต้องหาทางแก้ไข้
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เกิดจากกรณีที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด จะเกิดขึ้นเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบใด หรือจะเป็นประเทศใดก็ตาม ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีดังนี้
1. ปัญหาว่าจะผลิตอะไร (What to be produced)
ปัญหาแรกของปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจก็คือ ควรผลิตสินค้าและบริการอะไรบ้าง นั้นเพราะไม่สามารถผลิตสินค้าและบริการได้ทุกชนิด เนื่องจากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด หรือมีความขาดแคลน ดังนั้น สังคมต้องตัดสินใจว่า ควรจะผลิตสินค้าอะไรบ้าง ถึงจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีที่สุด
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะผลิตอะไร ก็ต้องตัดสินใจต่อไปด้วยว่า จะผลิตสินค้าและบริการดังกล่าวนั้นในจำนวนเท่าใด เพื่อที่จะสามารถผลิตสินค้าและบริการอื่น ๆ ได้ด้วย ทั้งนี้ จะต้องไม่ลึมคำนึงถึงปริมาณทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด หรือมีความขาดแคลนด้วย
2. ปัญหาว่าผลิตอย่างไร (How to produce)
ในการผลิตสินค้าแต่ละชนิดนั้น อาจมีกรรมวิธีในการผลิตหลากหลายวิธี แต่จะต้องคำนึงว่า วิธีใดที่จะช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตได้มากที่สุดโดยได้ผลผลิตมากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิค ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ใช้ปัจจัยการผลิตได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ทรัพยากรหรือปัจจัยในการผลิตนั้น มีอยู่อย่างจำกัด การที่จะนำปัจจัยการผลิตไปผลิตสินค้าอย่างหนึ่งอย่างใด ย่อมทำให้เหลือทรัพยากรไปผลิตอย่างอื่นน้อยลง ดังนั้น จึงทำให้เกิดการเลือกว่า จะใช้วิธีการในการผลิตอย่างไร โดยใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด
3. ปัญหาว่าจะผลิตเพื่อใคร (For whom)
เป็นปัญหาในเรื่องการพิจารณาว่า จะผลิตสินค้าไปเพื่อใคร หรือให้ใคร หรือควรจะจัดสรรไปให้กับใครบ้าง ใครจะได้รับสินค้ามากน้อยเพียงใด ถึงจะทำให้ก่อเกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้ทรัพยากร
นั้นก็เพราะว่า ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่มนุษย์มีการเพิ่มประชากรขึ้นเรื่อย ๆ การจัดสรรสินค้าทุก ๆ อย่าง ให้แก่คนทุก ๆ คน ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาการเลือกว่า จะผลิตเพื่อใครและใครควรได้รับหรือไม่ได้รับสินค้าดังกล่าว
จากที่ได้กล่าวมาเกี่ยวกับ “ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” สาเหตุหลักของการเกิดปัญหาดังกล่าวทั้ง 3 ข้อก็คือ ทรัยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องจำนวนประชากร เป็นประเด็นสำคัญจนถึงขึ้นทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาทีเดียว
ที่จำนวนประชากรเป็นปัญหานั้นก็เพราะว่า จำนวนประชากรมีผลต่อความขาดแคลน กล่าวคือ ทรัยากรมีอยู่อย่างจำกัด แต่ประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะทำให้เกิดความขาดแคลนได้
นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ โทมัส โรเบิร์ต มัลทัส (Thomas Robert Malthas) ได้ศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับประชากร กล่าวคือ ความสามารถในการผลิตอาหารของมนุษย์มีอัตราก้าวหน้าเลขคณิต (Arithmetic Progression) คือ เพิ่มจาก 1 เป็น 2, 3, 4…. ส่วนประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็นอัตราก้าวหน้าเรขาคณิต (Geometric Progression) คือ เพิ่มจาก 1 เป็น 2, 4, 8, 16…
นอกจากการเพิ่มขึ้นของประชากรแล้ว อัตราการเสียชีวิตของประชากรก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าด้านสาธารณสุข ทำให้ประชากรมีอายุยาวนานขึ้น
ด้วยการเพิ่มขึ้นของประชากร บวกกับการเสียชีวิตที่น้อยลง ทำให้จำนวนประชากรที่มีชีวิตมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ความต้องการในการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่ทรัพยากรยังคงมีอยู่อย่างจำกัด จึงทำให้เกิดปัญหาความขาดแคลน และด้วยเหตนี้เอง จึงทำให้เกิดปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ว่า จะผลิตอะไร จะผลิตอย่างไร และจะผลิตเพื่อใคร
4. ปัญหาขาดผู้นำในชุมชนที่มีความสามารถในการพัฒนา คนไทยในชุมชนไม่กล้าแสดงออก ทำให้ขาดผู้นำในการจัดการบริหารงานของชุมชนให้มีประสิทธิภาพ แนวทางแก้ไข คือ การสร้างภาวะผู้นำให้กับสมาชิกในชุมชน ฝึกอบรมภาวะผู้นำให้กับคนในชุมชน และให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นถึงปัญหาและแนวทางเพื่อร่วมกันการแก้ปัญหาคือ 1. ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างประเทศและกลุ่มคนในสังคม 2. ความยากจนอัตคัดขาดแคลนของคนส่วนใหญ่ 3. สงครามและความรุนแรง 4. ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก
ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุสำคัญจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาดที่เน้นการลงทุนและการหากำไรของบรรษัทข้ามชาติ รวมทั้งระบบทุนนิยมโดยรัฐในประเทศรัสเซีย จีน ฯลฯ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมโลก
ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ซึ่งกรรมสิทธิ์ในทุนปัจจัยการผลิตเป็นของนายทุนเอกชนส่วนน้อยมุ่งผลิตเพื่อขายเน้นการกำไรสูงสุด และสะสมทุนเพื่อนำไปขยายการผลิตเพื่อขาย แบบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือตัวการเร่งรัดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ที่ไม่มีการคิดถึงต้นทุนทางธรรมชาติ ต้นทุนทางสังคม ความคุ้มค่าในแง่ประโยชน์ใช้สอยต่อส่วนรวม และผลกระทบในทางลบต่อสังคมและระบบนิเวศ
กระบวนการผลิตและการบริโภคดังกล่าว นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความยากจน แล้วยังเพิ่มมลภาวะ ทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต และทำให้ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ และระบบนิเวศเสื่อมโทรมทั่วทั้งโลก
ระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมส่งเสริมให้เกษตรกรในประเทศรายได้ต่ำเปลี่ยนจากการปลูกพืชเพื่อยังชีพแบบดั้งเดิม เป็นการปลูกพืชเพื่อการส่งออกแบบสมัยใหม่ โดยใช้น้ำ ปุ๋ย พลังงานเคมี สารเคมีกำจัดวัชพืช ฯลฯ เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการเอาเปรียบทั้งธรรมชาติและแรงงาน เกษตรกรต้องใช้ต้นทุนสูงขึ้น ขายพืชผลได้ราคาต่ำลงโดยเปรียบเทียบ ต้องพึ่งพาการซื้ออาหารอื่นๆ จากตลาดเพิ่มขึ้น เสี่ยงภัยอันตรายต่อการได้รับสารเคมีเป็นพิษเพิ่มขึ้น เป็นหนี้และยากจนเพิ่มขึ้น
บรรษัททุนข้ามชาติไปลงทุนด้านอุตสาหกรรมการผลิต ใช้ทรัพยากร พลังงาน สร้างมลภาวะและขยะในประเทศรายได้ต่ำ ที่มีมาตรฐานการควบคุมสิ่งแวดล้อมต่ำ และรัฐบาลประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่รวมทั้งไทยต้องการเอาใจ และหรือมีผลประโยชน์ส่วนตัวร่วมกับนักลงทุนต่างชาติ
ระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและไม่เป็นธรรม เช่นเน้นการวิจัย ลงทุนและการผลิตสินค้าบริโภคฟุ่มเฟือยที่คนรวย คนชั้นกลาง มีรายได้พอที่จะซื้อ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ เสื้อผ้าหรูหรา ยารักษาโรคที่คนรวยส่วนน้อยเป็น ฯลฯ และนายทุนสามารถทำกำไรได้ดีมากกว่าจะสนใจวิจัยและพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนจน เนื่องจากคนจนมีกำลังซื้อที่น้อยกว่าคนรวย
การที่นายทุนมุ่งแสวงแต่กำไรเอกชน นอกจากจะทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรมขึ้นแล้ว ยังทำให้เกิดภัยอันตรายต่อคนงาน ผู้บริโภค รวมทั้งอุบัติภัยต่างๆ จากกรณีสารเคมีเป็นพิษมากขึ้นด้วย รัฐบาลส่วนใหญ่โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำไม่สนใจดูแลป้องกันและควบคุมเรื่องความปลอดภัยในกระบวนการผลิตและบริโภคมากนัก เพราะรัฐบาลเป็นตัวแทนของชนชั้นนายทุนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวทางด้านวัตถุระยะสั้น มากกว่าจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมสำหรับแรงงานและผู้บริโภค
แรงงาน ผู้บริโภค ประชาชนส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ รวมทั้งพวกเขายังถูกครอบงำด้านความรู้ความคิดอ่าน ให้มองด้านเดียวคือนิยมชมชอบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ว่าจะนำความเจริญ ความสุขมาให้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ ไม่สนใจและไม่ตระหนัก ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงกำลังทำลายคุณภาพชีวิตของพวกเขาและลูกหลานมากเพียงใด และคุณภาพชีวิตมีความหมายต่างจากการมุ่งหาเงินและมุ่งบริโภคสูงสุดอย่างไร
ภายใต้โครงสร้างระบบทุนนิยมโลก การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางสังคม และการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ทำร้ายประเทศยากจนและคนจนมากที่สุด เพราะพวกเขาขาดแคลนทั้งทุน ความรู้และเทคโนโลยีพอที่จะป้องกันหรือแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากสิ่งแวดล้อมได้น้อยกว่าประเทศร่ำรวยและคนรวยมาก
ประเทศสังคมนิยมแบบวางแผนจากส่วนกลาง เช่นอดีตสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก จีน ฯลฯ นั้นจริง ๆ แล้วเป็นประเทศทุนนิยมโดยรัฐ (State Capitalism) ที่เน้นการเพิ่มผลผลิตและสะสมทุนโดยรัฐเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ แข่งขันกับรัฐนายทุนอื่นๆ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลกมากกว่าสังคมนิยม ซึ่งมุ่งประโยชน์สูงสุดของคนส่วนใหญ่ในระยะยาว รัฐบาลประเทศเหล่านี้บริหารแบบใช้อำนาจรวมศูนย์มากไป ทำให้เกิดปัญหาความไม่เสมอภาคและการขาดเสรีภาพทางการเมืองและสังคม การขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ การทุจริตฉ้อฉล เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูง เน้นการแข่งขันเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งเอาชนะทางเศรษฐกิจการเมืองประเทศทุนนิยมอุตสาหกรรม โดยไม่สนใจเรื่องคุณภาพของชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีในประเทศของตน
แนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจการเมือง และระบบนิเวศ ประชาชนจะต้องร่วมมือกันหาทางเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่มีลักษณะผูกขาด เอื้อผลประโยชน์นายทุนส่วนน้อย ไปเป็นระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมประชาธิปไตยแนวระบบนิเวศ (Eco Socialism) ที่ผู้ผลิตเป็นเจ้าของผู้ควบคุมและผู้บริหารปัจจัยการผลิตร่วมกัน (Associative Producers) และฟื้นฟูระบบที่ทรัพยากรสำคัญเป็นของส่วนรวม (The commons) ขึ้นมาใหม่ เน้นการผลิตและการกระจายผลผลิตที่เป็นประโยชน์เพื่อการสนองความต้องการใช้สอยที่จำเป็นของสมาชิกในสังคม อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่วนรวม กระจายอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และอย่างคำนึงถึงการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาต่อได้อย่างยั่งยืน นั่นก็คือ เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความสุขของประชาชน มากกว่าการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวม ผลิตเพื่อขายสนองความต้องการฟุ่มเฟือยของคนรวย/คนชั้นกลาง