����ѵ���ʵ�� ������ʵ�� �ؤ���Ӥѭ �������з�ջ >>
��ջ
��ջ���û (Europe)
��ջ����ԡ��� (South America)
��ջ����ԡ��˹�� (North America)
��ջ��������� (Australia)
��ջ�Ϳ�ԡ� (Africa)
��ջ����� (Asia)
�Ϳ�ԡ��繷�ջ�˭����������觪�����û���ѡ�ҹҹ ���繷�ջ�������Ҿ���Ի������ǹ�˭��繷���٧ �ҧ��˹����е���������ҡ���������繷��ŷ��� ��ǹ�Ҥ��ҧ��ࢵ��ҴԺ ��Ҿ���Ի������������ҡ�ȴѧ����� ���ػ��ä��͡�õ�駶�蹰ҹ ����������û������ʹ㨷�ջ������ ��Сͺ�Ѻ��������ͧ ��ǹ�˭��ա�þѲ�ҷҧ�Ԫҡ������������������������������ҧ���ͧ��� �֧������Ϳ�ԡ��繷�ջ����դ��������ѧ���ҷ�ջ���� ��Ѩ�غѹ�繷���Һ�ѹ���������Ϳ�ԡ��繷�ջ����ش����·�Ѿ�ҡù���ѹ ྪ� �ͧ�� ����ѵ���� ����ѧ�����觢ͧ�ת�����ͧ�� ����繵�Ҵ�ͧ�Թ����ص��ˡ�������Ӥѭ���˹�觢ͧ�š
��ջ�Ϳ�ԡ� �ժ������¡�ա���ҧ˹����� ��ջ�״ ���͡�̷�ջ (Dark continent) ��������¡���ջ����դ����֡�Ѻ�����ҡ ���ͧ�ҡ��Ҿ�Ǵ�����ҧ�����ҵ����ػ��ä��͡�����Ǩ�Թᴹ���㹷�ջ ������㹻Ѩ�غѹ��ջ�Ϳ�ԡҡ��ѧ�����ѧ�����駴�ҹ���ɰ�Ԩ �ѧ�� ����Է�ҡ���������� ��ؤ����ա����ǧ���ҳҹԤ� ������û������ʹ����ջ����� ����������ҷ�ջ�������§���������ҹ�� ����ش����·�Ѿ�ҡ�����繵�Ҵ��ä���˭� �����ѧ�����Դ�蹹��������¹� �ª�����û���ѹ��������ʹ㨵�ͷ�ջ�Ϳ�ԡ��ҡ��� ��駹�����з�ջ�Ϳ�ԡ��繴Թᴹ��������觡�ҧ�ͧ��鹷ҧ�Դ��������ҧ��ջ����¡Ѻ���û ��з�ջ���û�Ѻ��������� �͡�ҡ����ѧ����ҷ�ջ�Ϳ�ԡ������觼�Ե�ת�����ͧ����������ҵ��ҡ��� ����ѧ�繷�ջ����ջ�Ъҡ�����������繨ӹǹ�ҡ ���ըӹǹ��Ъҡ��ҡ���ҷ�ջ���û �Ϳ�ԡҨ֧�繵�Ҵ��ä�ҷ���Ӥѭ�ͧ�š���˹��
แอฟริกาเป็นทวีปใหญ่และเก่าแก่ซึ่งชาวยุโรปรู้จักมานาน แต่เป็นทวีปที่มีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่สูง ทางตอนเหนือและตอนใต้มีภูมิอากาศแห้งแล้งเป็นทะเลทราย ส่วนภาคกลางเป็นเขตป่าดิบ สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศดังกล่าว เป็นอุปสรรคต่อการตั้งถิ่นฐาน ทำให้ชาวยุโรปให้ความสนใจทวีปนี้น้อย ประกอบกับชนพื้นเมือง ส่วนใหญ่มีการพัฒนาทางวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่น้อยและเป็นไปอย่างเชื่อง ช้า จึงทำให้แอฟริกาเป็นทวีปที่มีความล้าหลังกว่าทวีปอื่นๆ แต่ปัจจุบันเป็นที่ราบกันทั่วไปว่าแอฟริกาเป็นทวีปที่อุดมด้วยทรัพยากร น้ำมัน เพชร ทองคำ และสัตว์ป่า ทั้งยังเป็นแหล่งของพืชผลเมืองร้อน และเป็นตลาดของสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
ทวีปแอฟริกา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทวีปมืด หรือกาฬทวีป (Dark continent) เพราะในสมัยก่อนทวีปนี้มีความลึกลับอยู่มาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นอุปสรรคต่อการสำรวจดินแดนภายในทวีป และแม้ในปัจจุบันทวีปแอฟริกาก็ยังล้าหลังอยู่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิทยาการสมัยใหม่ ในยุคที่มีการแสวงหาอาณานิคม ชาวยุโรปให้ความสนใจแต่ทวีปเอเชีย เพราะเข้าใจว่าทวีปเอเชียเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่อุดมด้วยทรัพยากรและเป็นตลาดการค้าใหญ่ ภายหลังความคิดเช่นนี้ได้เปลี่ยนไป โดยชาวยุโรปได้หันมาให้ความสนใจต่อทวีปแอฟริกามากขึ้น ทั้งนี้เพราะทวีปแอฟริกาเป็นดินแดนที่อยู่กึ่งกลางของเส้นทางติดต่อระหว่าง ทวีปเอเชียกับยุโรป และทวีปยุโรปกับออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังพบว่าทวีปแอฟริกาเป็นแหล่งผลิตพืชผลเมืองร้อนและมีแร่ธาตุมาก มาย ทั้งยังเป็นทวีปที่มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนประชากรมากกว่าทวีปยุโรป แอฟริกาจึงเป็นตลาดการค้าที่สำคัญของโลกแห่งหนึ่งทวีปแอฟริกา เป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทวีปเอเชีย ทั้งในแง่ของพื้นที่และจำนวนประชากร ด้วยพื้นที่ประมาณ 30.2 ล้านตารางกิโลเมตร (11.7 ล้านตารางไมล์) รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ข้างเคียง ทวีปแอฟริกามีพื้นที่ประมาณร้อยละ 6 ของพื้นผิวโลกทั้งหมด และนับเป็นพื้นที่ประมาณร้อยละ 20.4 ของพื้นดินทั้งหมดประชากรกว่า 1,100 ล้านคน (พ.ศ. 2556) ในดินแดน 61 ดินแดน นับเป็นร้อยละ 14.72 ของประชากรโลก
ทวีปแอฟริกาถูกล้อมรอบด้วยทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนเหนือ คลองสุเอซและทะเลแดง บริเวณคาบสมุทรไซนายทางตะวันออกเฉียงเหนือมหาสมุทรอินเดียทางตะวันออกเฉียงใต้ และมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันตก ประกอบด้วย 54 รัฐ
ลัทธิอาณานิคมในทวีปแอฟริกา (อังกฤษ: Scramble for Africa) เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1885 จากประเทศเยอรมนีโดยการนำของออตโต ฟอน บิสมาร์ค ได้จัดให้มีการประชุมในกรุงเบอร์ลินว่าด้วยข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าครอบครองดินแดนในทวีปแอฟริกา
ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ มีทรัพยากรจำนวนมหาศาล อันเป็นที่ต้องการของชาวยุโรป นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญเชื่อมต่อกับโลกใหม่และทวีปเอเชีย จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีเพียงไม่กี่อาณาจักรในแอฟริกาที่มีระบบการปกครองที่มั่นคง อาณาจักรเหล่านี้ได้แก่ กานา มาลี แต่ก็มีความเจริญเทียบได้กับยุโรปในยุคกลางเท่านั้น เมื่อพวกอาหรับรุกรานมาจากทางตอนเหนือ อาณาจักรเหล่านี้ก็ถูกทำลายไปสิ้น ในเวลานั้นชาวยุโรปยังไม่เคยเข้าไปสำรวจถึงใจกลางทวีป จนกระทั่งในช่วง 30 ปีสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีความพยายามจะเผยแผ่ศาสนาไปในหมู่ชาวแอฟริกา โดยพวกมิชชันนารี ทำให้มีการสำรวจดินแดนใจกลางทวีปขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจติดตามไปด้วย พวกนี้ได้นำเอาเรื่องราวการค้นพบแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์มาเผยแพร่ ทำให้นักลงทุนโดยการสนับสนุนของรัฐบาลเริ่มเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าก็เกิดการแย่งชิงกรรมสิทธิ์หรือการเข้าครอบครอง
ใน ค.ศ. 1885 เยอรมนีโดยการนำของออตโต ฟอน บิสมาร์ค ได้จัดให้มีการประชุมในกรุงเบอร์ลินว่าด้วยข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าครอบครองดินแดนในทวีปแอฟริกา ที่ประชุมตกลงกันว่าชาติใดที่มีดินแดนอยู่ตามชายฝั่งสามารถยึดครองพื้นที่ที่ลึกเข้าไปได้ โดยการส่งคนไปปกครองดูแลและประกาศการเข้ายึดครองอย่างเป็นทางการ
นับตั้งแต่นั้นมาดินแดนในทวีปแอฟริกาก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ โดยการเข้าครอบครองของอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และเยอรมนี ส่วนโปรตุเกสนั้นยังคงรักษาสถานีการค้าของตนไว้ได้ที่อังโกลาและโมซัมบิก
การเข้ายึดครองแอฟริกาของชาวยุโรปในครั้งนั้นมีข้ออ้าง 3 ประการ คือ
1. เพื่อเปิดประตูการค้าให้กว้างขวางตลอดทั่วภาคพื้นทวีป
2. เพื่อปลดปล่อยชนเผ่าต่างๆให้เป็นอิสระจากพวกนักค้าทาสชาวอาหรับ
3. เพื่อเผยแผ่คริสต์ศาสนาไปยังดินแดนที่ชาวยุโรปเรียกว่ากาฬทวีป (Dark Continent)
หลังจากนั้นเพียง 30 ปี ของการเข้าแย่งชิงผลประโยชน์แอฟริกาทั้งทวีป ยกเว้นไลบีเรียกับเอธิโอเปีย ก็ตกเป็นอาณานิคมของชาวยุโรปจนหมดสิ้น
การกำหนดเขตแดนของแอฟริกาโดยชาวยุโรป กระทำไปโดยไม่คำนึงถึงภาษาและเผ่าพันธุ์ของประชากรในพื้นที่นั้นๆ จะเห็นได้จากอาณาเขตของหลายประเทศที่ปรากฏในแผนที่จะมีการลากเป็นเส้นตรง ด้วยเหตุนี้ภายหลังที่ชาติเหล่านี้ได้เอกราชจึงเกิดปัญหาความเป็นเอกภาพภายในชาติมาจนถึงทุกวันนี้
การเข้าครอบครองของชาติตะวันตกได้ทำให้เกิดความทุกข์ยากแก่ชาวแอฟริกาทั้งมวล เดิมทีชาวพื้นเมืองดำรงชีพด้วยการทำไร่ เลี้ยงสัตว์ตามแบบดั้งเดิมที่เคยทำกันมา ชาวแอฟริกามีภาษาเขียนไม่มากนัก แต่มีงานทางด้านศิลปะ คือ รูปปั้นสำริด การแกะสลักไม้และงาช้าง มีภาพวาดตามแบบพื้นเมืองจำนวนมาก ชาวพื้นเมืองไม่เคยรู้เรื่องของวิทยาการสมัยใหม่ ไม่รู้จักระบบการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไม่รู้จักระบบการปกครอง กฎหมายและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ชาวยุโรปได้เข้าเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวพื้นเมือง ด้วยการบังคับแรงงานชาวพื้นเมืองให้สร้างถนน ขุดเหมืองแร่ ขุดดิน ด้วยเวลาการทำงานที่ยาวนานกว่าปกติมีการนำเอาพืชใหม่ๆมาปลูก เช่น ยางพารา โกโก้ แทนที่พื้นดินที่เคยใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์ และที่อยู่อาศัยของชาวพื้นเมือง มีการกวาดต้อนเผ่าชนทั้งเผ่าไปอยู่ในบริเวณที่กำหนดไว้ แยกผู้ชายออกจากครอบครัวแล้วส่งไปทำงานยังที่ห่างไกล ถ้าใครขัดขืนก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เช่น ตัดมือ ยิงเป้า เป็นต้น
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกาได้เอกราชกลับคืนมาแต่ประเทศที่เกิดใหม่เหล่านี้เกดขึ้นตามแบบฉบับของชาวตะวันตก คือ มีเมืองเป็นศูนย์กลางของความทันสมัย อิทธิพลทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาแผนใหม่ ทำให้วิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
//th.wikipedia.org/wiki/ลัทธิอาณานิคมในทวีปแอฟริกา