ดูวิธีการที่ iCloud กรองข้อความอีเมลปริมาณมากที่ไม่พึงประสงค์ หรือที่เรียกว่าเมลขยะหรือสแปม รวมถึงวิธีลบและลดปริมาณเมลขยะ
เมล iCloud ใช้การวิเคราะห์แนวโน้ม รายการเคลื่อนไหว และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อตรวจจับและบล็อคเมลขยะก่อนที่จะไปถึงกล่องเข้าของคุณโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะไม่มีวิธีการหยุดยั้งเมลขยะไม่ให้เข้ามายังกล่องเข้าของคุณได้อย่างสิ้นเชิง แต่เคล็ดลับเหล่านี้สามารถช่วยลดปริมาณเมลขยะที่คุณจะได้รับ
อย่าเปิดเมลขยะที่น่าสงสัย
ปรับการตั้งค่าการปกป้องความเป็นส่วนตัวของเมล
ผู้ส่งสแปมสามารถใช้คุณสมบัติการโหลดภาพอีเมลเพื่อดูว่าบัญชีอีเมลของคุณใช้งานอยู่หรือไม่ ต่อไปนี้เป็นวิธีป้องกันไม่ให้มีการโหลดภาพโดยอัตโนมัติ
บน iPhone, iPad หรือ iPod touch
บน Mac
บน iCloud.com
พิจารณาใช้นามแฝงอีเมล iCloud
คุณสามารถใช้นามแฝงอีเมล iCloud เพื่อป้องกันไม่ให้มีการส่งเมลขยะมายังที่อยู่อีเมล iCloud หลักของคุณได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ที่อยู่อีเมล iCloud หลักของคุณในการรับส่งอีเมลกับเพื่อนและครอบครัว และใช้นามแฝงอีเมลสำหรับการลงทะเบียนออนไลน์ การซื้อผลิตภัณฑ์ และการเข้าร่วมรายชื่อผู้รับข่าวสาร เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อความที่ไม่พึงประสงค์ได้ง่ายขึ้น
ดูวิธีสร้างและใช้นามแฝงอีเมลบน iCloud.com และวิธีใช้ "ซ่อนอีเมลของฉัน" ใน iCloud+ บนอุปกรณ์ของคุณ
รายงานเมลขยะ
คุณสามารถรายงานข้อความว่าเป็นอีเมลขยะในแอปเมล เพื่อทำเครื่องหมายข้อความในอนาคตจากผู้ส่งรายเดียวกันว่าเป็นอีเมลขยะ
- บน iPhone, iPad หรือ iPod touch ให้ปัดไปทางซ้ายบนข้อความ แตะเพิ่มเติม จากนั้นแตะย้ายไปยังขยะ
- ใน Mac ให้เลือกข้อความ และคลิกไอคอน ขยะ ในแถบเครื่องมือ เมล หรือคุณอาจลากข้อความไปที่โฟลเดอร์ขยะในแถบด้านข้าง
- บน iCloud.com เลือกข้อความ จากนั้นคลิกไอคอนธง และเลือกย้ายไปยังขยะ หรือจะลากข้อความไปที่โฟลเดอร์ขยะในแถบด้านข้างก็ได้
ทำเครื่องหมายอีเมลจริงว่าไม่ใช่อีเมลขยะ
การกรองเมลขยะอาจบล็อคอีเมลที่ถูกต้องไม่ให้เข้ามาในกล่องเข้าได้
หากคุณรู้สึกว่าข้อความอีเมลที่ถูกต้องได้รับการกรองโดยไม่ได้ตั้งใจ คุณสามารถทำเครื่องหมายเป็นไม่ใช่ขยะ เพื่อให้ข้อความในภายหน้าจากผู้ส่งรายเดียวกันเข้ามาที่กล่องเข้า
- ใน iPhone, iPad หรือ iPod touch ให้เปิดข้อความในโฟลเดอร์ขยะ แตะปุ่มย้ายไปยังโฟลเดอร์ ด้านล่างของหน้าจอ จากนั้นแตะกล่องเข้าเพื่อย้ายข้อความนั้น
- ใน Mac ให้เลือกข้อความในโฟลเดอร์ขยะ และคลิกปุ่มขยะในแถบเครื่องมือเมล หรือเพียงลากข้อความไปที่กล่องเข้าในแถบด้านข้าง
- บน iCloud.com ให้คลิกโฟลเดอร์ขยะในแถบด้านข้าง เลือกข้อความ แล้วคลิก "ไม่ใช่ขยะ" ด้านบนของหน้าต่างข้อความ หรือเพียงลากข้อความไปที่กล่องเข้าในแถบด้านข้าง
- สำหรับไคลเอนต์เมลอื่นๆ ให้ย้ายข้อความจากโฟลเดอร์ขยะไปยังกล่องเข้า
หากคุณสังเกตว่าข้อความอีเมลหลายข้อความมีการรับส่งล่าช้า ถูกตีกลับ หรือส่งไม่ถึง โปรดติดต่อ ฝ่ายสนับสนุน iCloud ข้อความอีเมลในโฟลเดอร์ ขยะ จะถูกลบไปโดยอัตโนมัติหลังจาก 30 วัน
วันที่เผยแพร่: 25 กรกฎาคม 2565
จดหมายขยะคืออะไร
จดหมายขยะคืออะไร
จดหมายขยะ (Junk mail) คือจดหมายที่เราไม่ต้องการได้รับ แต่มักมีการส่งจดหมายประเภทนี้มาหาเรา โดยมีวัตถุประสงค์หลายอย่าง เช่น ส่งจดหมายเพื่อโปรโมท และ โฆษณาสินค้า หรือแม้กระทั่งการสร้างข่าวปั่น ข่าวหลอกลวงต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายให้กับผู้รับจดหมาย ก็ถือเป็นจดหมายขยะทั้งสิ้น ปัจจุบันนี้บนฟรี E-mail อย่าง Gmail และ Outlook.com ก็มีฟังก์ชั่นสำหรับการรายงาน หรือยกเลิกการรายงานจดหมายขยะ ซึ่งก็ช่วยได้มาก
จดหมายขยะนั้นจะมีโฟลเดอร์แยกต่างหากเอาไว้เลย หากมี E-mail ที่เข้าข่ายเป็นจดหมายขยะถูกส่งมาถึงเรา ก็จะเข้าไปอยู่ในส่วนของจดหมายขยะ แทนที่จะเข้ามายังกล่องจดหมายธรรมดา เมื่อใดก็ตามหากคนที่เราติดต่อยู่นั้น บอกว่าได้ส่ง E-mail ให้เราแล้ว แต่เรายังไม่ได้รับ ก็สามารถเข้าไปยังส่วนของจดหมายขยะก็จะพบเห็นเมลล์ดังกล่าว
Junk mail อยู่ตรงไหน
จดหมายขยะ หรือ Junk mail นั้น จะเป็นส่วนหนึ่งของเมนู ภายใน E-mail ไม่ว่าจะเป็น Gmail หรือ Outlook.com ก็จะมีจดหมายขยะในเมนูของบริการฟรี E-mail เหล่านั้น
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้จะอยู่ทางด้านซ้ายของหน้าจอ ภาพเมนูนี้เป็นของ Gmail ที่เปิดด้วยโปรแกรมเว็บเบราเซอร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับสมาร์ทโฟน (Smartphone) ให้เปิด App Gmail จากนั้นกดเมนู (สามขีด) ด้านซ้ายของหน้าจะ จะปรากฎเมนูตามภาพด้านล่าง โดยจะเห็นว่ามีเมนูที่ไม่ต่างกันระหว่างคอมพิวเตอร์ กับสมาร์ทโฟน
เราสามารถกำหนดว่า E-mail ใดเป็นจดหมายขยะ หรือ E-mail ใดไม่ใช่จดหมายขยะได้อีกด้วย ทั้งนี้โดยหลักการส่วนใหญ่แล้ว ก็แค่คลิกเลือกไปที่ E-mail ฉบับนั้น และมองหาเมนู สำหรับกำหนดว่าจะให้จดหมายฉบับนั้นเป็น จดหมายขยะ หรือไม่เป็นจดหมายขยะได้
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของจดหมายขยะที่คุณควรทราบ เพื่อช่วยให้สามารถใช้ E-mail ในการติดต่อสื่อสาร หรือทำงานได้อย่างคล่องตัว
โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้
Android Apps - ใส่วันที่บนภาพถ่ายด้วย วันที่ + เวลารูปภาพ
Android Apps - ใส่วันที่บนภาพถ่ายด้วย วันที่ + เวลารูปภาพ เชื่อว่าบางครั้งอะไรที่มันเดิม ๆ ก็ยังคงจำเป็นต้องใช้อยู่ ตัวอย่างมีให้เห็นในบทความนี้ครับ ในอดีตนั้นเมื่อเราถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม มักมีวันที่ ๆ เราถ่ายภาพปรากฏอยู่บนภาพด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาพถ่ายที่ได้จากล้องฟิล์มนั้น เราไม่สามารถดูรายละเอียดของภาพถ่ายได้เหมือนกับไฟล์รูปภาพที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลนั่นเอง สำหรับบน Smartphone นั้น Apps ที่ใช้สำหรับถ่ายภาพมาตรฐานมักไม่มีฟังก์ชั่นสำหรับแสดงวันที่บนภาพถ่าย บทความขอนำเสนอ Apps กล้องถ่ายรูปที่สามารถใส่วันที่ลงในภาพถ่ายได้มันมีชื่อว่า Timestamp Camera Free นั่นเอง วิธีติดตั้ง Apps ผ่าน Google Play คลิกที่นี่ ติดตั้ง Apps : Timestamp Camera Free คลิกที่นี่ ก่อนจะถ่ายรูปให้ตั้งค่าดังนี้ครับ โดยหลังจากเปิด Apps ขึ้นมา ให้กดที่ปุ่มล่างสุดซ้ายมือเพื่อเข้าสู่การตั้งค่า กดเลือกเมนู More options คลิกช่องสี่เหลี่ยมด้านหลังข้อความ Print date on picture จากนั้นถ่ายรูปด้วย Apps นี้คุณก็จะได้รูปภาพที่มีวันที่แสดงบนภาพถ่ายแล้วครับ บทความที่คุณอาจสนใจ วิธี
Snapseed แอพที่ทําให้รูปชัดขึ้น
Snapseed แอพที่ทําให้รูปชัดขึ้น ต้องยอมรับว่าการถ่ายรูปในปัจจุบันนี้มีความสะดวกมากขึ้น เนื่องจากมือถือ (สมาร์ท) ก็สามารถถ่ายรูปได้ดี และมีคุณภาพไม่แพ้กล้องดิจิตอลรุ่นใหญ่ ๆ และเลย ด้วยความที่มีขนาดเล็กกว่ากล้อง และเบากว่า จึงทำให้พกพาได้ง่าย จึงทำให้เราถ่ายภาพได้จากทุกที่ แต่สิ่งที่เราต้องยอมรับก็คือในบางครั้งการถ่ายภาพนั้นก็อาจจะไม่คมชัดด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น ลืมเช็ดหน้าเลนส์ ซึ่งเรามักสัมผัสถูกบ่อย ๆ ทำให้มีคราบไขมันติดอยู่ที่หน้าเลนส์ เมื่อเราถ่ายภาพออกมาก็อาจจะไม่คมชัดได้ หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือเวลาที่เรากดโฟกัดที่หน้าจอ และเอามึงออกมากดปุ่มชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพ ปรากฎว่ามีการสั่นไหวของมือ ซึ่งก็ทำให้ภาพไม่คมชัดอีกเช่น การแก้ไขปัญหาภาพไม่คมชัดเรา แอพส่วนใหญ่ก็จะแก้ไขภาพที่มีอาการไม่คมชัดเพียงเล็กน้อยให้ดูดีขึ้น แต่ถ้าภาพของคุณเบลอจนมองไม่เห็นรายละเอียดในภาพเลย ก็คงจะไม่มีแอพไหนช่วยได้ นอกเสียจากจะไปถ่ายภาพนั้นใหม่ ทีนี้เรามาดูวิธีการทำให้ภาพคมชัดด้วย Snapseed กันครับ ท่านใดยังไม่ได้ดาวน์โหลดหรือติดตั้ง App นี้ให้กด ที่นี่ เพื่อดาวน์โหลด Snapsee
แก้ปัญหา notebook เชื่อม wifi hotspot ไม่ได้
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของ Smartphone ก็คือการปล่อยสัญญาณ WIFI ที่เรียกกันในชื่อ WIFI Hot Spot ให้กับ Notebook หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ได้ หากบางครั้งประสบปัญหาไม่สามารถเชื่อม WIFI Hot Sot ได้ จะต้องแก้ไขอย่างไร ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น สำหรับบทความนี้จะกล่าวถึงการแก้ปัญหากับ notebook เท่านั้นครับ สำหรับวิธีการแก้ปัญหามีดังต่อไปนี้ 1. Restart Smartphone ให้เรียบร้อย แล้วจึงเปิดสัญญาณ 4G (ข้อมูลมือถือ) และตามด้วยการเปิด WIFI Hot Spot 2. Restart Notebook แล้วจึงเชื่อมต่อกับ WIFI Hot Spot 3. ในกรณีที่ทำทั้ง 2 ข้อด้านบนแล้วไม่เป็นผล หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ให้เข้าไปที่ Control Panel > Network and Sharing Center > Manage Wireless Network และลบตัวเชื่อมต่อออก หากคุณเคยเชื่อมต่อกับตัวเชื่อมต่ออื่น ๆ ก็จะเห็นว่ามีตัวเชื่อมต่ออยู่หลายตัว ณ ขณะนี้ให้เลือกลบตัวที่เป็น WIFI Hot Spot ของคุณ แล้วลองเชื่อมต่ออีกครั้ง 4. กรณีสุดท้าย หากทำทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ให้คุณปิดการทำงานของโปรแ