มีสีสันถึงขั้นสุดก็ว่าได้ สำหรับแหล่งโบราณคดีไทยนามว่า “บ้านเชียง” ตั้งแต่ประวัติการค้นพบที่ไม่ค่อยต่างจากหนังฮอลลีวู้ดที่ว่าลูกชายทูตสหรัฐสะดุดโคนไม้ล้มไปเจอเศษหม้อไห กระทั่งนำไปสู่การขุดค้นครั้งใหญ่ที่กลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งของโบราณคดีไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากร และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ.2517
Advertisment
ทำเอาหมู่บ้านเล็กๆ ของอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก่อนนำไปสู่จุดพลิกผันอีกรอบเมื่อยูเนสโกประกาศให้แหล่งโบราณคดีดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อ พ.ศ.2535 เปลี่ยนชุมชนเงียบๆ ให้อึกทึกคึกคักด้วยการพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้คู่การท่องเที่ยวไปในตัว
ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่สิบปี ทุกวันนี้ บ้านเชียงยังคงอยู่ในความรับรู้ของสังคมไทย ไม่ใช่เพียงจากหนังสือเรียนสังคมศึกษา ทว่ายังมีข่าวคราวอัพเดตอยู่เป็นระลอก ไม่ว่าจะเป็นการส่งคืนหม้อไหกำไลสัมฤทธิ์ หินดุ ลูกกลิ้งจากความครอบครองของสตรีชาวสหรัฐคืนสู่เมืองไทยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รวมถึงข้อถกเถียงเรื่องอายุสมัยที่สร้างเสียงครางฮือเป็นระยะๆ เมื่อมีนักวิชาการเสนอแนวคิดใหม่ๆ ให้คลางแคลงใจว่าสรุปแล้วบ้านเชียงเก่าแก่ไปถึงกว่า 5,000 ปี หรือเฉียดๆ จริงไหม?
Advertisement
แม้แต่ในวินาทีนี้ การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมบ้านเชียงก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมองภาพกว้างไปถึงการเชื่อมโยงข้อมูลระดับภูมิภาคที่ชวนให้ติดตามแบบตาไม่กะพริบ
และถึงจะมีคำกล่าวที่ว่า ไม่มี “ถ้า” ในประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้อาจไม่เกิดขึ้น หากไทยและสหรัฐไม่ได้เช็กแฮนด์ กระชับแน่นในความร่วมมือเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว
ที่สำคัญยังนับเป็นความสัมพันธ์ใน “ภาคประชาชน” ซึ่งเป็นแนวคิดที่กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยมองเห็นความสำคัญ กิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐ 185 ปี ในปี 2561 นี้ จึงเกิดขึ้นในแนวทางของการสานต่อความร่วมมือทางวิชาการเพื่อต่อยอดการศึกษาเกี่ยวกับบ้านเชียงให้ลึกซึ้งและหลากมิติยิ่งกว่าเก่า พร้อมทั้งผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในท้องถิ่น รวมถึงการจัดการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงให้เป็นสากลมากขึ้น
Advertisement
กินดี อยู่ดี มีโอท็อป ไม่ชอบสงคราม
ไฮไลต์ของกิจกรรมนี้ คือการส่งเทียบเชิญไปยัง ดร.จอยซ์ ไวท์ (Joyce White) ผู้ร่วมทีมขุดค้นบ้านเชียงเมื่อครั้งยังสาวสะพรั่ง นักศึกษาไฟแรงในวันนั้น ตัดฉากมาในวันนี้ ดร.ไวท์ คือผู้อำนวยการสถาบันโบราณคดี ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Institute for Southeast Asian Archaeology : ISEAA) ทุ่มเทดูแลโครงการ “บ้านเชียง โปรเจ็กต์” ที่กำลังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีการตีพิมพ์เผยแพร่รายงาน “Ban Chiang Northeast Thailand, Volume 2A : Background to the study of the metal remains” ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการศึกษาโบราณวัตถุที่ทำจากโลหะ ออกจากโรงพิมพ์หมาดๆ เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคมปีนี้
‘เหมือนโอท็อป One Tambon, One Product เลย’
ดร.ไวท์กล่าวในการบรรยายพิเศษในช่วงค่ำที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ท่ามกลางโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์ในห้องจัดแสดง และแขกเหรื่อคนสำคัญ อาทิ ปีเตอร์ เฮย์มอนด์ ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย, ดร.วิชาวัฒน์ อิศรภักดี ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศและอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน, อนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และ พิสิฐ เจริญวงศ์ หัวหน้าทีมขุดค้นบ้านเชียงฝ่ายไทยในห้วงเวลานั้น เป็นต้น
คำกล่าวเปรียบเปรยของ ดร.ไวท์ ให้ภาพชัดดังที่เจ้าตัวอธิบายเพิ่มเติมถึงการผลิตข้าวของเครื่องใช้อย่างเช่นโลหะรูปแบบต่างๆ ได้ด้วยตนเองในชุมชน ไม่ได้เป็นแบบ “รวมศูนย์” ในลักษณะที่มีศูนย์กลางการผลิตแล้วกระจายสินค้าไปยังแหล่งอื่นๆ หากแต่ทำเอง ใช้เอง ตามรสนิยมของตัวเอง
อีกประเด็นที่นักโบราณคดีท่านนี้เน้นย้ำคือสภาพสังคมที่สามารถใช้คำว่า “สงบสุข” ไม่มีการรบพุ่งครั้งใหญ่ๆ ให้ล้มตายอย่างกลาดเกลื่อนดังเช่นแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในโลก แม้ว่าคนบ้านเชียงจะค้นพบโลหะผสมระหว่างทองแดงและดีบุก อย่าง “สัมฤทธิ์” ซึ่งนับเป็นย่างก้าวสำคัญยิ่งของเทคโนโลยียุคโบราณ
ผู้คนอายุหลายพันปีที่นอนเรียงรายในหลุม ไร้ร่องรอยการฟาดฟันด้วยอาวุธ ในขณะเดียวกันโครงกระดูกเหล่านี้ก็ยังบอกข้อมูลด้านสุขภาพที่ดีของคนในชุมชนที่กินดีอยู่ดีอีกด้วย
สินค้าจากหลุมศพ
สะเทือนเศรษฐกิจ พ่นพิษแหล่งประวัติศาสตร์
ไม่ใช่แค่สถานภาพการเป็นนักโบราณคดีในหลุมขุดค้น หรือคร่ำเคร่งอยู่ในห้องแล็บ แต่ ดร.ไวท์ยังมีบทบาทอย่างสูงในการช่วยเหลือทางการสหรัฐหลังปฏิบัติการครั้งประวัติศาสตร์ของการยึดของกลางซึ่งเป็นโบราณวัตถุมหาศาลจากกรณีลักลอบซื้อขายและนำเข้าโบราณวัตถุจากบ้านเชียงและแหล่งอื่นๆ อย่างผิดกฎหมายรวมนับหมื่นชิ้น สร้างความเสียหายด้านเศรษฐกิจแก่สหรัฐ เนื่องด้วยถูกใช้ในการฉ้อฉลหลอกขอคืนภาษีเกินจริงจากการบริจาคโบราณวัตถุให้พิพิธภัณฑ์
ดร.ไวท์ ยกตัวอย่าง พิพิธภัณฑ์โบเวอร์ส แคลิฟอร์เนีย ซึ่งสุดท้ายยอมจำนนไม่สู้คดี โดยยอมคืนโบราณวัตถุบ้านเชียงให้ไทย แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งต่อทางการสหรัฐและต่อการศึกษาทางด้านโบราณคดี ที่น่าตกใจคือข้าวของเหล่านี้มีจำนวนมากกว่าที่ขุดค้นพบจากการดำเนินงานทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากรและ ม.เพนซิลเวเนียในทศวรรษที่ 70 ถึง 175 เท่า
ถ้าแค่นี้ยังช้ำไม่พอ นักโบราณคดีอาวุโสยังระบุว่า หลายชิ้นยังมีสภาพสมบูรณ์ และเป็นโบราณวัตถุชิ้นพิเศษที่ไม่ได้พบง่ายๆ ความสูญเสียที่ไม่อาจนำคืนกลับมาได้คือข้อมูลทางวิชาการ เพราะขาดบริบทแวดล้อมในการตีความได้อย่างถูกต้อง
“อย่าซื้อโบราณวัตถุ และขอให้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าของเหล่านั้นมาจากไหน นอกจากนี้ควรสนับสนุนทุนทรัพย์ให้หน่วยงานที่ป้องปรามการลักลอบค้าโบราณวัตถุอย่างผิดกฎหมายด้วย” ดร.ไวท์ปิดท้าย
คุณทองโบราณ (มากกว่า) ‘สติ๊กเกอร์ไลน์’ และ ‘ศูนย์วิจัยโบราณคดีบ้านเชียง’
จากสถานภาพปัจจุบันของการดำเนินงานในฝั่งอเมริกา หันมาดูความคืบหน้าในฝั่งเจ้าของพื้นที่กันบ้าง
เบญจพร สารพรม หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง เปิดเผยว่า กำลังจะมีการก่อตั้ง “ศูนย์วิจัยโบราณคดีบ้านเชียง” ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยคาดหวังให้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าเรื่องราวยุคก่อนประวัติศาสตร์ในภาคอีสาน รวมถึงเก็บรักษาโบราณวัตถุจากบ้านเชียงที่จะได้รับคืนมาทั้งปัจจุบันและอนาคต
สำหรับความรับรู้ของผู้คนในท้องถิ่น นอกเหนือจากในแง่ของการท่องเที่ยว หัวหน้า พช.บ้านเชียง บอกว่า ทางจังหวัดได้นำ “คุณทองโบราณ” โครงกระดูกสุนัขที่พบในหลุมศพที่บ้านเชียงไปสร้างสรรค์เป็นแมสคอตอุดรธานี โดยให้ประชาชนร่วมกันส่งประกวดจนได้ผู้ชนะซึ่งออกแบบให้นุ่งกางเกงลายหม้อบ้านเชียง หลังเปิดตัวไปในช่วงปลายปี 2560 ยังมีสติ๊กเกอร์ไลน์น่ารักๆ ให้ดาวน์โหลดไว้ใช้อีกด้วย
ส่วนการศึกษาโครงกระดูกสุนัขดังกล่าวในเชิงวิชาการ นฤพล หวังธงชัยเจริญ อาจารย์ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร บอกว่า ที่ผ่านมามีผู้ศึกษาไว้บ้างแล้ว โดยพบว่าเป็นสุนัขที่มีอายุมากแล้ว ส่วนสายพันธุ์น่าจะแพร่มาจากจีน สิ่งที่ควรศึกษาต่อไปคือพันธุกรรม พิธีกรรม และนิติเวช
“ควรศึกษาต่อไปว่าหมาตัวนี้อยู่ในช่วงไหนของบ้านเชียง ส่วนตัวคิดว่าน่าจะอยู่ในยุคโลหะ แต่เรายังไม่มีข้อมูลชัดเจน นอกจากนี้ก็ต้องมาพูดถึงเรื่องในเชิงพันธุกรรม ซึ่งมีปัญหาอยู่เยอะเรื่องการแพร่กระจาย ถ้ามีคนทำเรื่องดีเอ็นเอของสัตว์จะชัดเจนขึ้นว่าหมาตัวนี้อยู่ตรงไหนในแผนที่จีเนติก สัมพันธ์กับสุนัขสายพันธุ์อะไร มาจากไหน?
“เมื่อทราบช่วงเวลาและพันธุกรรมแล้ว ก็ควรศึกษาพิธีกรรมการฝังศพของคนกับสุนัข หรือคนกับสัตว์ ซึ่งเป็นประเด็นในเชิงนามธรรมที่น่าสนใจ มีหลักฐานว่าคนเอาสุนัขมาเลี้ยงตั้งแต่ 3 หมื่นปีที่แล้ว มีทั้งการฝังร่วมกับคน ในฐานะเป็นสัตว์ช่วยล่า หรือเป็นสัตว์ที่รัก ส่วนจะถูกฆ่าหรือเปล่า ต้องศึกษาในเชิงนิติเวชอีกครั้งว่าพบรอยสับตัด พบการถูกแทงไหม ในบางที่ เช่น จีนสมัยหินใหม่ เจอกระดูกสุนัขหลายแหล่งมีรอยสับตัด หรือเผาไหม้ แสดงว่าอาจใช้เป็นอาหารด้วยหรือไม่ ถ้าเราศึกษาแบบแผนการฝัง จะพบหน้าที่การใช้งานเดิมของสุนัขมากขึ้น” อาจารย์โบราณคดีอธิบายอย่างละเอียด
เปิดข้อมูลใหม่ ‘อายุสมัย’ ที่ยังถกกันไม่จบ
ปิดท้ายด้วยความคืบหน้าจากการขุดค้นที่ วัดนาคาเทวี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดย ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์ นักโบราณคดีสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น ซึ่งเปิดเผยถึงการพบหลักฐานในวัฒนธรรมบ้านเชียงในพื้นที่ดังกล่าว เด่นชัดด้วยภาชนะดินเผาแบบบ้านเชียงยุคต้น ซึ่งมีสีออกดำคล้ำ ตกแต่งด้วยลายขูดขีด ไม่เหมือนหม้อไหใน “ภาพจำ” ซึ่งเขียนลายสีแดงอันเป็นยุคท้ายๆ ของวัฒนธรรมบ้านเชียง
ที่สำคัญคือมีการส่งตัวอย่างไปกำหนดอายุด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกา พบว่ามีอายุราว 3,200-3,400 ปี
อายุสมัยจากข้อมูลใหม่ของทิพย์วรรณ สอดคล้องกับข้อเสนอของ ศ.ดร.ชาร์ล ไฮแอม ม.โอตาโก นิวซีแลนด์ ซึ่งเคยยืนยันว่ายุคเก่าสุดของบ้านเชียงมีอายุเพียง 3,500 ปีเท่านั้น ไม่ได้เก่าไปถึง 5,600 ปี หรือกว่า 4,300 ปี ตามที่มีผู้สันนิษฐานไว้ก่อนหน้า
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า บ้านเชียง เป็นแหล่งอารยธรรมยุคเก่าที่ไม่เคย “เอาต์” ไปจากความรับรู้ ความทรงจำ วิถีชิวิต และการศึกษาวิจัยของนักโบราณคดีทั้งไทยและเทศ ที่ยังคงถกเถียงเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการอย่างไม่หยุดยั้ง
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก Institute for Southeast Asian Archaeology-ISEAA และหนังสือ บ้านเชียง ปฐมบทโบราณคดีไทย โดยพิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ