ผมเชื่อว่าเราต่างรู้กันอยู่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ แต่เรามักไม่รู้เลยว่าการระยะเวลาการนอนหลับกับอายุก็มีความสอดคล้องกันด้วย ลูนิโอเลยอยากชวนทุกคนมาสำรวจกันว่าวัยอย่างเราๆ ควรนอนตอนกลางคืนนานเท่าไหร่ ถึงจะเรียกได้ว่านอนหลับเพียงพอ เพื่อจะได้ตื่นมามีแรงไปทำกิจกรรมที่ชอบได้อย่างเต็มที่ไม่อ่อนเพลียระหว่างวัน!
มูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติในสหรัฐอเมริกาได้ระบุเวลาการนอนหลับที่เหมาะสมโดยแบ่งตามอายุไว้ดังนี้
อายุ 0-3 เดือน ควรนอน 14-17 ชั่วโมง
อายุ 4-11 เดือน ควรนอน 12-15 ชั่วโมง
อายุ 1-2 ปี ควรนอน 11-14 ชั่วโมง
อายุ 3-5 ปี ควรนอน 10-13 ชั่วโมง
อายุ 6-13 ปี ควรนอน 9-11 ชั่วโมง
อายุ 14-17 ปี ควรนอน 8-10 ชั่วโมง
อายุ 18-25 ปี ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
อายุ 26-64 ปี ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
อายุ 65 ปีขึ้นไป ควรนอน 7-8 ชั่วโมง
จากเวลาที่เห็นคือเวลาที่แนะนำว่าดีต่อร่างกายที่สุด ทั้งนี้อาจบวกลบได้ 1 ชั่วโมง แต่จะวัยไหนๆ ก็ไม่ควรนอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมง เพราะการนอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมง จะถือเป็นการนอนหลับไม่เพียงพอ!
ทางการแพทย์เคยทำการศึกษาไว้ว่าในคนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม.ติดกัน 4 วันการทำงานจะแย่กว่าคนนอน 8 ชม. แต่จะแย่เท่ากับคนนอน 6 ชม. ในคนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม.ติดกัน 7 วันการทำงานจะแย่กว่าคนนอน 8 ชม. และ 6 ชม. ในคนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม.ติดกัน 14 วัน เท่ากับคนที่ไม่ได้นอนเลย 3 วัน ทั้งที่ทั้งนั้น เราก็รู้กันดีว่าในช่วงอายุ 18-25 ปี และ 26-64 ปี ที่เป็นช่วงวัยรุ่น และวัยทำงาน ผู้คนวัยนี้มักใช้เวลาส่วนมากไปกับการทำงาน ออกเดินทางท่องเที่ยว หรือใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ เพราะยังเป็นวัยที่มีพลัง และฟื้นฟูตัวเองได้ง่าย ร่างกายเลยยังไม่แสดงอาการมาก จนทำให้หลายคนลืมให้ความสำคัญกับการนอนหลับไป
อย่างไรก็ตามเราไม่ควรละเลยเรื่องการนอน เพราะเมื่อนอนไม่พอนานเข้าจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ในเวลา 24 ชั่วโมงของ 1 วัน สุขภาพคนเราจะดีได้ ต้องมีการนอนหลับให้เพียงพอและมีคุณภาพ การจะหลับให้มีคุณภาพนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหลับไปเฉยๆ แต่หมายถึงการหลับลึก ให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งขึ้นอยู่กับเวลาในการพักผ่อน และสภาพแวดล้อมระหว่างนอนหลับด้วย
วิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนที่อาจมีเวลาพักผ่อนน้อย คือทำให้ทุกวินาทีที่เรานอนหลับมีประสิทธิภาพมากที่สุดและลูนิโอก็มีวิธีการเตรียมตัวและเตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสำหรับการนอนหลับมาฝาก
ร่างกายของเราทุกคนต้องนอนหลับพักผ่อนตามตารางของนาฬิกาชีวิต แต่จะหลับอย่างไรจึงจะดีต่อสุขภาพมากที่สุด แล้วตื่นมาพร้อมความรู้สึกสดชื่น
เรื่องของการนอนต้องคำนึง 2 อย่างคือ
- ชั่วโมงการนอน ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมง แต่ละวัยต้องการจำนวนการนอนจะไม่เท่ากัน ชั่วโมงการนอนของเด็ก 11 – 13 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ 7 – 8 ชั่วโมง
- คุณภาพการหลับ การหลับอย่างมีคุณภาพ คือ ครบวงจรทุกระยะการหลับ ทั้งหลับตื้น หลับลึก และหลับฝัน ให้ครบทุกระยะเพราะมีความสัมพันธ์กัน
วงจรการหลับ 3 ระยะ
วงจรการนอนหลับในคนปกติทั่วไป มักใช้เวลาตั้งแต่ 30 วินาที – 7 นาที เป็นสภาพที่แม้จะได้รับการกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็จะตื่น จากนั้นเข้าสู่การหลับระยะต่าง ๆ
- หลับตื้น เป็นระยะแรกที่มีการหลับตื้นอย่างแท้จริง แต่ยังไม่มีการฝัน
- หลับลึก ร่างกายจะเข้าสู่โหมดพักผ่อนเมื่อเข้าสู่ระยะหลับลึกเป็นช่วงหลับสนิทที่สุดของการนอนใช้เวลา 30 – 60 นาที ช่วงระยะนี้อุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตจะลดลง อัตราการเต้นของหัวใจลดลงเหลือประมาณ 60 ครั้งต่อนาที โกรทฮอร์โมนจะหลั่งในระยะนี้
- หลับฝันอีกระยะหนึ่งที่สำคัญคือ ช่วงหลับฝันร่างกายจะได้พักผ่อน แต่สมองจะยังตื่นตัวอยู่ นอกจากนี้การหลับฝันยังช่วยจัดระบบความจำในเรื่องของทักษะต่าง ๆ ดังนั้น การนอนหลับที่ดีต้องได้ทั้งชั่วโมงการนอนและคุณภาพการหลับด้วย
แม้ว่าบางคนนอนหลับเพียง 4 – 5 ชั่วโมง แล้วตื่นมาสดชื่น ต้องดูว่าเป็นแค่หลับตื้นหรือเปล่า เนื่องจากระยะการหลับตื้นทำให้สดชื่นได้ จึงต้องดูว่าความสามารถในเรื่องอื่น ๆ เป็นอย่างไร หากสังเกตว่าตื่นมาสดชื่นแต่ความสามารถในเรื่องอื่น ๆ ลดลง นั่นแสดงว่า ชั่วโมงการนอนไม่เพียงพอ ควรที่จะนอนหลับให้นานกว่านั้น เพื่อให้ได้เปอร์เซ็นต์การนอนของแต่ละระยะให้นานขึ้น
หรือบางคนนอนมากกว่า 7 – 8 ชั่วโมง แต่ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น เป็นไปได้ว่าชั่วโมงการนอนเพียงพอ แต่คุณภาพการนอนไมได้ คือได้แค่หลับตื้นไม่เข้าสู่ระยะหลับลึก ซึ่งต้องไปหาสาเหตุต่อว่า ทำไมไม่สามารถเข้าสู่ระยะหลับลึกได้เป็นเพราะอะไร
ภัยเงียบจากหลับ ๆ ตื่น ๆ
บางคนชั่วโมงการนอนหลับสั้น แต่คุณภาพของการหลับได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยภายในร่างกายทางด้านพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องและการปรับตัวของร่างกาย
ส่วนคนที่ชั่วโมงการนอนเยอะ แต่ตื่นมาแล้วกลับไม่สดชื่นนั้น เป็นเพราะนอนได้แค่ระยะหลับตื้นหรือสะดุ้งตื่นเป็นพัก ๆ มีผลทำให้การทำงานของระบบหายใจและหลอดเลือดทำงานหนัก กลายเป็นว่าตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียแทนที่จะรู้สึกสดชื่น
ปัจจุบันผู้ป่วยจำนวนมากที่มารับการตรวจสุขภาพแล้วพบว่า มีปัญหาความผิดปกติในการนอนร่วมด้วยและพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ถือเป็นภัยเงียบที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน โรคหลอดเลือดหัวใจ
อาการที่อาจเกิดขึ้นจากการนอนหลับไม่เต็มที่ซึ่งพบได้บ่อย เช่น ง่วงและเพลียกลางวัน ประสิทธิภาพความคิดความจำลดลง ลืมง่าย กลางคืนหลับ ๆ ตื่น ๆ นอนกรนร่วมกับหยุดหายใจชั่วขณะ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว
ฉะนั้นการนอนหลับที่มีคุณภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาแค่จำนวน 7 – 8 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับระดับความลึกของการนอนหลับ เพื่อให้ร่างกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเวลาเข้านอน – ตื่นนอนที่เหมาะสม ไม่ควรนอนดึกหรือตื่นสายจนเกินไป
นอนเยอะชดเชยอดนอนได้ไหม
สำหรับชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมของคนวัยทำงาน 7 – 8 ชั่วโมงถือว่าเพียงพอแล้ว หากนอนมากกว่านั้นก็จะหลับไม่สนิท เพราะต้องรับรู้ว่าชั่วโมงการนอนครบแล้ว ทำให้นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่เป็นหลับระยะสนิทเหมือนช่วงแรก เนื่องจากร่างกายเก็บพลังงานได้เพียงพอแล้ว เปรียบเหมือนกับการชาร์ตแบตเตอรี่มือถือ ไม่ควรชาร์ตทิ้งไว้ข้ามคืน การนอนก็เช่นเดียวกัน เพราะแทนที่ร่างกายจะตื่นตัวกลับทำให้การตื่นตัวลดลง
กรณีนอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมงถือว่า “อดนอน” ถ้าอดนอนติดกัน 3 วันแล้วคืนวันที่ 4 ถ้าหลับ ไม่ว่าจะหลับกี่ชั่วโมงก็ตามร่างกายจะพยายามช่วยเหลือตัวเองคือ พอเริ่มหลับก็เข้าสู่ระยะหลับลึกเลย หากมีเวลานอนที่นานพอ ร่างกายจะเริ่มปรับวงจรการนอนหลับอีกครั้งหนึ่ง จากปกติต้องมีระยะเวลาการนอนช่วงแรก 30 – 60 นาที จะเป็นหลับตื้นแล้วค่อย ๆ หลับลึกไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าต้องตื่นก่อน 4 ชั่วโมงจะกลายเป็นว่า ครั้งต่อไปพอจะหลับอีกวงจรการนอนจะยังไม่ครบ การหลับจะเป็นหลับลึกในระยะเวลาสั้น ๆ แค่ทำให้สดชื่นแต่ประสิทธิภาพเรื่องความจำจะไม่เท่าเดิม
ฉะนั้นถ้ามีโอกาสที่จะหลับซ่อมแซมหรือหลับชดเชยควรนอนให้ครบชั่วโมง การนอนที่เหมาะสม จะทำให้สภาพร่างกายกลับมาเหมือนเดิมได้ในระยะเวลาไม่กี่วันหรือถ้าหากมีโอกาสหลับเต็มที่หนึ่งวันเต็ม ๆ หลังจากอดนอนมา 3 วัน”
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับวัยอีกด้วย เนื่องจากการทำงานของสมองแต่ละช่วงวัยไม่เหมือนกัน ถ้าอายุน้อยโอกาสกลับมาเหมือนเดิมเร็ว แต่ถ้าอายุมากขึ้นจะฟื้นตัวช้า ดังนั้นการนอนชดเชยจึงไม่มีสูตรสำเร็จแน่นอนตายตัว ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ว่าจะสามารถกลับมาได้เหมือนเดิมมากน้อยแค่ไหน