ช่วงนี้ก็อาจมีหลายคนที่กำลังมองหางานกันอยู่ แต่ก็สงสัยว่าทำไมไม่เห็นมีการตอบกลับหรือเงียบหายเลย ในทางหนึ่งเราอาจจะยังเป็นคนที่ไม่ใช่ก็ได้ (เศร้าเฉย) แต่ในอีกทางก็อาจต้องลองกลับมารีเช็กกันใหม่ว่าตอนเราส่งใบสมัครงาน เราเขียนอีเมลหรือทำเรซูเม่กันแบบไหนนะ
เพราะการส่งอีเมลกับการทำเรซูเม่คือการสร้างความประทับใจแรกให้กับบริษัทที่ยังไม่รู้จักเรามาก่อนเลย ดังนั้นนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราอาจจะต้องจริงจังกับการส่งใบสมัครงานกันหน่อยเนอะ
ส่งอีเมลแบบไหน?
ทุกวันนี้เราอาจไม่ต้องไปยื่นใบสมัครงานถึงบริษัท แค่ส่งผ่านอีเมลก็ถึงมือบริษัทได้ง่ายๆ แต่ว่าเมลของเราจะถูกปัดตกมั้ย ก็ต้องลองมาดูว่าเราเขียนอีเมลไปหาบริษัทยังไงกันบ้าง เพราะนี่คือ first impresstion ที่ทางบริษัทจะได้รู้จักกับคุณ และโปรดลบการเขียนอีเมลตอบกลับจากอาจารย์บางคนที่อาจพิมพ์มาหาเราในสมัยเรียนว่า ok krab / good job ka su su ไปได้เลย
1. ใช้ชื่ออีเมลที่เป็นทางการ ไม่ควรเป็นอีเมลที่มีการใช้ฉายา หรือใส่ตัวอักษรแปลกๆ อย่าง fasai_lnwzaa หรือ nongfasai007 เพราะจะทำให้เราดูไม่จริงจังและสูญเสียภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือไป
2. เขียนหัวข้ออีเมลให้ชัดเจน หากบางบริษัทกำหนดว่าต้องเขียนหัวข้อแบบไหนก็ให้ทำตามรูปแบบของบริษัทนั้นๆ แต่ถ้าไม่ได้กำหนเมา เราก็ควรเขียนหัวข้อว่า สมัครงาน ตำแหน่ง … เพื่อแจ้งให้บริษัททราบ
3. เขียนอธิบายตัวเองคร่าวๆ เป็นใคร จบจากที่ไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมสนใจสมัครตำแหน่งนี้ และจะติดต่อกลับได้ยังไง โดยเป็นภาษาที่ทางการ เพื่อให้บริษัทได้รู้จักคุณคร่าวๆ เพราะหากไม่เขียนอะไรมาเลย ก็มีโอกาสง่ายมากที่จะโดนปัดตกทันที
4. เช็กให้ดีว่าแนบไฟล์เรซูเม่หรือผลงานที่เกี่ยวข้องแล้วเรียบร้อยหรือยัง และชื่อไฟล์ควรใช้ให้เป็นทางการ แจกแจงว่าไฟล์นี้คืออะไร เพื่อไม่ให้ทางบริษัทต้องเสียเวลามาเดาสุ่มว่าไฟล์ไหนคืออะไร และผลงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องเกี่ยวข้องจริงๆ และเลือกมาเท่าที่เรารู้สึกว่าโดดเด่นจนบริษัทต้องว้าววววว (ไม่ควรเกิน 5-6 ผลงาน) และไฟล์ที่แนบมาก็ไม่ควรใหญ่เกินไป เพราะบริษัทอาจปิดใจระหว่างรอโหลดไฟล์ขนาดมหึมาของคุณก็ได้
5. สุดท้าย! ตรวจสอบความถูก-ผิดของตัวอักษรด้วยนะ
ทำเรซูเม่แบบไหน?
เรซูเม่ เป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะถือว่าเป็นหน้าเป็นตาแทนตัวเราที่บริษัทจะได้ทำความรู้จักอย่างแท้จริง ดังนั้นการทำเรซูเม่ให้น่าอ่าน น่าสนใจ ก็อาจจะทำให้ทางบริษัทประทับใจเราได้ แล้วเราควรจะใส่อะไรลงไปในเรซูเม่บ้างนะ?
1. ชื่อ-นามสกุล ประวัติส่วนตัว เช่น วันเกิด ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมล สิ่งเหล่านี้ควรใส่เพื่อให้บริษัทได้รู้จักเราคร่าวๆ ว่าเป็นใคร มาจากไหน แต่ไม่ต้องถึงขั้นใส่น้ำหนัก ส่วนสูง กรุ๊ปเลือด (ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งนะ บางที่ก็อาจจะจำเป็นแหละ)
2. ประวัติการศึกษา ซึ่งอย่างน้อยควรใส่ระดับมัธยม และมหาวิทยาลัย แต่จะเพิ่มระดับประถมศึกษาก็ได้เช่นกัน โดยบอกรายละเอียดเล็กน้อยว่าเรียนสาขาไหน เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่
3. ประสบการณ์การทำงาน เป็นส่วนสำคัญมากๆ เพราะทางบริษัทจะได้รับรู้ว่าเราเคยทำอะไรมาก่อน เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครมั้ย และทำให้ทางบริษัทสามารถมองเห็นทักษะหรือความสนใจบางอย่างจากประสบการณ์ของเราได้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ประสบการณ์ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากเป็นเด็กจบใหม่ อาจจะใส่งานที่ทำในมหาวิทยาลัย รางวัลที่เคยได้รับ หรือการฝึกงานที่เคยไปร่วมก็ได้ เพื่อที่อย่างน้อยบริษัทจะได้เห็นว่าเรามีความพยายามและความสนใจในเรื่องไหนบ้าง
4. ทักษะ เป็นอีกส่วนที่สำคัญโดยเราจะต้องประเมินตัวเองว่าเรามีทักษะอะไรบ้างที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน โดยอาจจะแบ่งเป็น Hard Skill กับ Soft Skill ในส่วนของ Hard Skill นั้นมีข้อควรระวังคือไม่ควรใช้เป็นสเกลหลอดพลัง เพราะจะเทียบเกณฑ์ได้ยากว่าหลอดนี้สัดส่วนเทียบกับอะไร ระดับไหน อย่างง่ายสุดก็คือใช้เกณฑ์ทั่วไป ดีมาก ดี พอใช้ หรือจะดีที่สุดหากมีคะแนนจากการสอบ เช่น ทักษะภาษาอังกฤษ ก็ใส่คะแนน Toeic ได้เลย
5. งานอดิเรก สิ่งนี้อาจช่วยให้บริษัทประเมินได้ว่าเรามีความสนใจอะไรบ้าง เหมาะกับตำแหน่งงานมั้ย หรือเวลาที่ไม่ใช่งานเรามีการเรียนรู้หรือทำอะไรอย่างอื่นอีก ถือเป็นการทำความรู้จักคนคนหนึ่งให้มากขึ้น
6. รูปถ่าย ไม่ควรใช้รูปเซลฟี่ และควรเป็นรูปหน้าตรง ในบางบริษัทที่มีความยืดหยุ่น อาจเลือกภาพที่ยิ้มแย้มได้ ไม่ต้องถ่ายในสตูดิโอก็ได้ ขอแค่ให้เห็นหน้าชัดๆ เห็นแล้วรู้ว่าหน้าตาเป็นไงก็พอ
นอกจากที่บอกไปข้างบนแล้ว บางแห่งอาจต้องการให้เราใส่บุคคลอ้างอิงด้วย ซึ่งอาจเป็นเจ้านายจากที่ทำงานเก่า หรือเด็กจบใหม่ก็อาจเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา หรืออาจารย์ในคณะ แล้วถ้ายังพอมีที่เหลือๆ ก็อาจจะใส่เป้าหมายในการทำงานจากตำแหน่งที่เราสมัครเพื่อสร้างความมุ่งมั่นไปด้วยก็ได้เหมือนกันนะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรซูเม่นี้ก็ไม่ควรมีความยาวเกิน 1 หน้ากระดาษ A4 ไม่มีการเอาการ์ตูน หรือทำสีสันฉูดฉาดเกินไป หากไม่ได้สมัครตำแหน่งที่ต้องการความครีเอทีฟจริงๆ การใช้พื้นหลังสีขาวนั้นปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะ
นี่เป็นคำแนะนำคร่าวๆ ซึ่งแต่ละบริษัทก็อาจจะมีข้อกำหนดที่ต่างกันไป เราเองก็ควรจะประเมินว่าตำแหน่งที่เราสมัคร บริษัทที่เราเลือกจะทำงานด้วยเขาเป็นแบบไหน เพื่อสร้างความประทับใจให้ตรงจุด เราเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังตามหางานนะ 🙂
illustration by Monsicha SrisuantangYou might also like
Share this article
ในการสมัครงานในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเรซูเม่ ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนรู้จักเรซูเม่และรู้วิธีเขียนเรซูเม่กันเป็นอย่างดี แต่เป็นที่น่าแปลกใจมากว่าคนวัยทำงานจำนวนไม่น้อยไม่อาจจะคุ้นหูกับจดหมายสมัครงาน แต่ไม่ได้รู้จักกับสิ่งนี้อย่างถ่องแท้จริงจัง. และเพื่อให้คุณผู้อ่านที่กำลังอยู่ในวัยทำงานรู้จักกับจดหมายสมัครงานกันให้มากขึ้น GreatDay HR ก็ได้นำบทความดี ๆ เกี่ยวกับการเขียนจดหมายสมัครงาน
พร้อมอธิบายว่ามีความแตกต่างจากเรซูเม่อย่างไรมาฝากกัน. จดหมายสมัครงาน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Application Letter หรือที่คนทั่ว ๆ ไปรู้จักกันในชื่อของ Cover Letter จดหมายสมัครงาน คือ เอกสารที่ถูกส่งไปยังองค์กรเพื่อแสดงความสนใจในตำแหน่งงานที่ทางองค์กรเปิดรับสมัครอยู่ จดหมายสมัครงานเป็นสิ่งที่อธิบายว่าผู้สมัครงานเป็นใคร และเน้นถึงความสำเร็จและทักษะของผู้สมัครงาน
จดหมายสมัครงานช่วยให้ผู้ว่าจ้างตรวจสอบและคัดกรองใบสมัครที่น่าสนใจ และเมื่อผู้สมัครงานเขียนได้ดี จดหมายฉบับนี้จะอธิบายให้ผู้ว่าจ้งรับทราบว่าทำไมองค์กรจึงควรขอสัมภาษณ์งาน อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่เน้นย้ำถึงคุณสมบัติหลักที่ทำให้ผู้สมัครงานเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่นี้ในองค์กร จดหมายสมัครงานสามารถสร้างความประทับใจให้องค์กรและทำให้ผู้สมัครงานมีความแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น ๆ ในจดหมายสมัครงานสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเป้าหมายและแรงบันดาลใจในเส้นทางอาชีพที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร
สิ่งสำคัญคือต้องพยายามเขียนเพื่อแสดงแง่มุมความคิดและบุคลิกภาพของผู้สมัครงาน ภายในจดหมายสมัครงาน ผู้สมัครควรเขียนคุณสมบัติ ทักษะที่เกี่ยวข้อง และประสบการณ์การทำงานก่อนหน้านี้ให้ชัดเจน เพื่อเน้นว่าได้ทำการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ในตำแหน่งงานที่สมัครนี้แล้วและเป็นการแสดงให้องค์กรเห็นด้วยว่ามีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมทีม จุดประสงค์ของจดหมายสมัครงาน คือ
ช่วยให้ผู้สมัครงานมีความโดดเด่นในฐานะผู้สมัครที่มีศักยภาพ เพราะผู้ว่าจ้างบางรายมักให้ความสำคัญกับจดหมายสมัครงาน ในขณะที่บางรายอาจให้ความสำคัญกับเรซูเม่เพียงเท่านั้น แต่การเขียนจดหมายสมัครงานจะช่วยให้ผู้สมัครงานได้รับความสนใจจากทีมผู้ว่าจ้างที่มีความสามารถ นอกจากนี้ การเจียนจดหมายสมัครงาน ยังมีจุดประสงค์ดังต่อไปนี้อีกด้วย เรซูเม่และจดหมายสมัครงานนั้นไม่เหมือนกัน! โดยเรซูเม่นั้นเป็นประวัติโดยย่อที่มีเนื้อหาในการแนะนำตัวเองว่าผู้สมัครงานเป็นใคร มาจากไหน เคยผ่านงานอะไรมาบ้าง และมีทักษะคร่าว ๆ
อะไร ส่วนจดหมายสมัครงาน คือ การเขียนคร่าว ๆ ว่าทำไมผู้สมัครงานถึงสนใจสมัครงานในตำแหน่งนี้ และองค์กรจะได้อะไรหากทำการว่าจ้างเป็นพนักงาน สรุปง่าย ๆ ก็คือ เรซูเม่ คือ ประวัติย่อและประวัติการทำงาน ส่วนจดหมายสมัครงาน คือ ข้อความที่มีรายละเอียดมากกว่า ช่วยให้ผู้สมัครงานสามารถบอกนายจ้างได้ว่าทำไมถึงเป็นผู้สมัครงานที่เหมาะสมที่สุดในตำแหน่งงานนี้จดหมายสมัครงาน คืออะไร
จุดประสงค์ของการเขียนจดหมายสมัครงาน คืออะไร
ความแตกต่างระหว่างเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน
แล้วแบบนี้ อะไรสำคัญกว่ากัน… ระหว่างเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน
คำตอบก็คือ ทั้ง 2 อย่างมีความสำคัญพอ ๆ กัน โดยการแนบเรซูเม่พร้อมกับจดหมายสมัครงานจะสามารถช่วยนายจ้างมองเห็นเป้าหมายของคุณไปพร้อม ๆ กับประวัติและความสามารถในการทำงานที่ผ่านมาของคุณ.
เคล็ดลับการเขียนจดหมายสมัครงาน
เมื่อต้องเขียนจดหมายสมัครงาน ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อให้จดหมายสมัครงานมีข้อมูลที่ครบถ้วนที่ผู้จัดการว่าจ้างต้องการ.
เน้นทักษะและความสามารถของคุณ
จดหมายสมัครงานเป็นโอกาสในการขายตัวเองในฐานะผู้สมัครงาน แนะนำให้เขียนจุดมุ่งหมายในการสมัครงานในตำแหน่งนี้ ตัวอย่างการใช้ประสบการณ์ในการทำงานในการแก้ไขสถานการ์ในองค์กรที่เคยร่วมงานด้วย เขียนถึงความสามารถและทักษะของคุณเพื่อให้องค์กรทราบว่าจะได้อะไรบ้างหากว่าจ้างคุณ เป็นต้น
กระชับ เรียบง่าย
การเขียนจดหมายสมัครงานควรมีความกระชับ เรียบง่าย ถึงแม้ว่าการใส่ข้อมูลรายละเอียดมากมายอาจเป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจและชวนอ่าน แต่สิ่งสำคัญคือต้องกระชับ หากผู้ว่าจ้างได้รับจดหมายสมัครงานที่ยาวจนเกินไป อาจทำให้เลื่อนผ่านไปได้โดยง่าย ดังนั้น จดหมายสั้น ๆ ที่สามารถจัดการเนื้อที่หน้ากระดาษได้ดีโดยมีข้อมูลครบถ้วน จะดูเป็นอะไรที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ตรวจสอบความถูกต้อง
เนื่องจากจดหมายสมัครงานเป็นเหมือนความประทับใจแรกพบขององค์กรที่มีต่อผู้สมัครงาน คุณจึงต้องแน่ใจว่าจดหมายนี้ถูกเขียนออกมาดีที่สุด ไม่เพียงแต่ในแง่ของเนื้อหา แต่ยังรวมไปถึงความถูกต้องในการเขียน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจดหมายสมัครงานไม่มีการพิมพ์ผิดหรือการใช้ไวยากรณ์ผิด ๆ เพราะการเขียนผิดจะแสดงถึงความไม่รอบคอบ ไม่ใส่ใจ และสร้างความไม่น่าประทับใจได้
สรุป จดหมายสมัครงาน จำเป็นไหม
หลาย ๆ องค์กรมักจะเรียกดูแต่เรซูเม่เท่านั้น แต่จดหมายสมัครงานเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเป้าหมาย ความตั้งใจ และความมุ่งมั่น รวมไปถึงวัตถุประสงค์ในการสมัครงานเข้ามาในตำแหน่งนี้ ดังนั้น นอกจากจะมีเรซูเม่แล้ว การมีจดหมายสมัครงานแนบไปด้วยจะทำให้คุณเป็นผู้สมัครงานที่ดูโดดเด่นกว่าผู้สมัครงานคนอื่น ๆ.
Tags : cover letter