คำประพันธ์ คือ การนำถ้อยคำมาเรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามรูปแบบที่กำหนดไว้ให้มีสัมผัสที่ไพเราะ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย เป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดมีรูปแบบและวิธีการประพันธ์ที่แตกต่างกัน
วิธีการแต่งคำประพันธ์
- กำหนดหัวข้อเรื่องที่จะนำมาแต่งคำประพันธ์
- กำหนดชนิด รูปแบบของคำประพันธ์ว่าจะแต่งในรูปแบบใด
- กำหนดโครงเรื่อง พร้อมตั้งชื่อเรื่อง
- แต่งคำประพันธ์ตามโครงเรื่องที่ได้วางไว้และให้เนื้อหาสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่ตั้งไว้
- อ่านทบทวนคำประพันธ์ที่แต่งเสร็จแล้วอีกครั้งหนึ่งหากพบข้อผิดพลาดให้รีบแก้ไข
ลักษณะของคำประพันธ์ที่ดี
- รูปแบบถูกต้องตามลักษณะบังคับของแต่ละชนิด
- มีการใช้ข้อความหรือถ้อยคำที่ดี
- มีสัมผัสที่ดีเกิดความไพเราะ
โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย
โคลง คือ คำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่บังคับรูปวรรณยุกต์เอก-โท และบังคับสัมผัส คำประพันธ์ประเภทโคลงมีหลักฐานปรากฏว่ามีต้นกำเนิดมาจากทางภาคเหนือและภาคอีสานก่อน แล้วจึงแพร่หลายเข้าสู่ภาคกลางของไทย วรรณกรรมที่แต่งด้วยโคลงที่เก่าแก่ที่สุด คือ " โองการแช่งน้ำโคลงห้า " ซึ่งแต่งขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราว พ.ศ.๑๘๙๓ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทองสำหรับโคลงประเภทอื่น ๆ นั้น อาจได้รับอิทธิพลมาจากทางภาคเหนือหรือล้านนาเช่น โคลงสี่ดั้น ได้แก่ ลิลิตยวนพ่าย โคลงสุภาพ (ไม่ว่าจะเป็น โคลงสอง โคลงสาม และโคลงสี่ )
ฉันท์ เป็นลักษณ์หนึ่งของร้อยกรองในภาษาไทย ที่บังคับเสียงหนัก - เบาของพยางค์ ที่เรียกว่า ครุ - ลหุ ฉันท์ในภาษาไทยรับแบบมาจากประเทศอินเดีย ตำราฉันท์ที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดียเป็นภาษาสันสกฤษ คือ ปิงคลฉันทศาสตร์
แต่งโดยปิงคลาจารย์ ส่วนตำราฉันท์ภาษาบาลีเล่มสำคัญที่สุดได้แก่คัมภีรวุต โตทัยปกรณ์ ผู้แต่งคือ พระสังฆรักขิตมหาสามี เถระชาวลังกา
แต่งเมื่อ พ.ศ. 1702 เป็นที่มาของคัมภีร์วุตโตทัย ซึ่งเป็นต้นตำหรับการแต่งฉันท์ของไทยเมื่อคัมภีร์วุตโตทัยแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย กวีจึงได้ปรับปรุงให้เหมาะกับขนบร้อยกรองไทย เช่น จัดวรรค เพิ่มสัมผัส และเปลี่ยนลักษณะครุ-ลหุแตกต่างไปเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความไพเราะของภาษาไทยลงไป
กาพย์ หรือ คำกาพย์ หมายถึง คำประพันธ์ หรือบทร้อยกรองประเภทหนึ่ง มีลักษณะวรรคที่ค่อนข้างเคร่งครัด คล้ายกับฉันท์ แต่ไม่บังคับ ครุ-ลหุ วรรคหนึ่งมีคำค่อนข้างน้อย (4-6 คำ) นิยมใช้แต่งร่วมกับกาพย์ชนิดอื่นๆ หรือแต่งร่วมกับฉันท์ก็ได้
กลอน เป็นลักษณะคำประพันธ์ไทยที่ฉันทลักษณ์ประกอบด้วยลักษณะบังคับ 3 ประการคือ คณะ จำนวนคำ และสัมผัสไม่มีบังคับเอกโทและครุ-ลหุ เชื่อกันว่าเป็นคำประพันธ์ท้องถิ่นของไทยแถบภาคกลางและภาคใต้โดยพิจารณาจากหลักฐานในวรรณกรรมทั้งวรรณกรรมลายลักษณ์
(เป็นตัวหนังสือ)และวรรณกรรมมุขปาฐะ(เป็นคำพูดที่บอกต่อกันมาไม่มีการจดบันทึก) โดยวรรณกรรมที่แต่งด้วยกลอนเก่าแก่ที่สุดคือ
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา และเพลงยาว ณ พระที่นั่งจันทรพิศาล กวีแต่งในสมัยอยุธยาตอนปลาย ก่อนหน้านั้นกลอนคงอยู่ในรูปแบบวรรณกรรมมุขปาฐะเป็นร้อยกรองชาวบ้าน
ร่าย เป็นชื่อของคำประพันธ์ ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดว่า จะต้องมีบท หรือบาท เท่านั้น เท่านี้ จะแต่งให้ยาวเท่าไรก็ได้ เป็นแต่ต้อง เรียงคำ ให้คล้องจองกัน ตามข้อบังคับ เท่านั้น ลักษณะบังคับต่างๆ ใช้อย่างเดียวกับ โคลง 2 และโคลง 3 คำร่าย "ร่าย" แปลว่า อ่าน เสก หรือ เดิน ร่ายเป็นร้อยกรองแบบหนึ่ง มีสี่ประเภทได้แก่ ร่ายยาว ร่ายสุภาพ ร่ายดั้น และร่ายโบราณ
งานประพันธ์
งานประพันธ์ คือ งานที่มนุษย์ใช้ภาษาที่สละสลวยสร้างสรรค์ขึ้นเป็นเรื่องราว ถ่ายทอดเป็นเรื่องราว อาจเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง และจะเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ งานประพันธ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรมีหลักฐานมาถึงปัจจุบัน ชิ้นแรกคือศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง งานประพันธ์ที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเรียกว่า " มุขปาฐะ " เช่น กลอนสด กลอนพื้นเมือง
องค์ประกอบของงานประพันธ์
๑. เนื้อหา บางทีเรียกว่าสาร หมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ รวมไปถึงประสบการณ์และข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่ผู้แต่งถ่ายทอดให้ผู้อ่านผู้ฟังรับรู้ เรื่องราวนี้ผู้แต่งอาจจะผูกขึ้นจากความรู้ ความคิด อารมณ์ความรู้สึก ประสบการณ์ จินตนาการ ชีวทรรศน์ หรือโลกทรรศน์ ก็ได้ เนื้อหายังรวมถึง " สาร " ที่ผู้แต่งต้องการสื่อถึงผู้อ่านผู้ฟังด้วย
๒. รูปแบบ หมายถึง ลักษณะรวมประเภทงานประพันธ์ที่ผู้แต่งใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหาไปสู่ผู้อ่าน เช่น นิราศ นิทานคำกลอน กาพย์เห่เรือ คำฉันท์ ลิลิต บทความ บันทึก จดหมายเหตุ เรื่องสั้น นวนิยาย รูปแบบงานประพันธ์แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ร้อยแก้วและร้อยกรอง งานประพันธ์ทุกชนิดรวมเรียกว่า วรรณกรรม แต่งานประพันธ์ที่แต่งได้ดีมีรูปแบบกลมกลืนกับเนื้อหา มีศิลปะงดงามเป็นที่ยอมรับ เรียกว่า วรรณคดี
การพิจารณาคุณค่าของงานประพันธ์
๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ เป็นคุณค่าทางด้านศิลปะการแต่ง การใช้โวหารภาพพจน์ ความไพเราะสละสลวยของภาษาที่ใช้ คุณค่าด้านวรรณศิลป์จะเกี่ยวกับความงามในภาษา และคุณค่าทางด้านนี้จะให้พัฒนาการทางด้านอารมณ์
ในการพิจารณาคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ของงานประพันธ์ที่เป็น " ร้อยกรอง " จะพิจารณาว่างานนั้นมีรูปแบบสอดคล้องกับเนื้อหาหรือไม่ กลวิธีการแต่งน่าสนใจหรือไม่ ใช้ถ้อยคำไพเราะสละสลวยและให้อารมณ์สะเทือนใจหรือไม่ นอกจากนี้ให้พิจารณาด้วยว่างานนั้นเสนอ " สาร " ที่มีความคิดเชิงสร้างสรรค์หรือไม่
การพิจารณา " ร้อยแก้วประเภทสารคดี " จะพิจารณาว่ารูปแบบสอดคล้องกับเนื้อหาหรือไม่ วิธีเสนอเรื่องน่าสนใจหรือไม่ ให้ความรู้ถูกต้องหรือไม่ สำนวนภาษาสละสลวย และสื่อความหมายได้ชัดเจนหรือไม่
สำหรับ " ร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี " จะพิจารณาตามเกณฑ์ของรูปแบบ เช่น ถ้าเป็นเรื่องสั้น จะพิจารณาว่ามีแก่นเรื่องสัมพันธ์กับโครงเรื่องและตัวละครหรือไม่ มีกลวิธีการประพันธ์ที่แปลกใหม่ น่าสนใจหรือไม่ มีจุดขัดแย้งที่ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจหรือไม่ ใช้ภาษาสละสลวยก่อให้เกิดจินตภาพหรือไม่ คำพูดเหมาะสมกับบุคลิกภาพของตัวละคร และเสนอสารที่มีความคิดเชิงสร้างสรรค์หรือไม่ เป็นต้น
๑.๑ การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของงานประพันธ์ประเภทร้อยกรอง
- รูปแบบเหมาะสมกับเนื้อหา
- กลวิธีการแต่งน่าสนใจ
- การใช้ถ้อยคำไพเราะสละสลวยความหมายลึกซึ้ง ทำให้เกิดภาพพจน์
- ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีการใช้จินตนาการของกวี
- ใช้สารที่มีความคิดเชิงสร้างสรรค์
- มีการเล่นสัมผัส เล่นคำ การใช้โวหารภาพพจน์ต่าง ๆ
๑.๒ การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของงานประพันธ์ประเภทร้อยแก้วที่เป็นสารคดี
- กลวิธีนำเสนอเรื่องน่าสนใจ ชวนให้ติดตาม
- รูปแบบสอดคล้องกับเนื้อหา
- ใช้ความรู้ที่ถูกต้อง
- สำนวนภาษากะทัดรัด สละสลวย สื่อความหมายได้ชัดเจน
- การใช้คำ ประโยคสื่อความหมายได้ชัดเจน
- มีสารที่แสดงความคิดสร้างสรรค์
๑.๓ การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของงานประพันธ์ประเภทร้อยแก้วที่เป็นบันเทิงคดี
- มีแก่นเรื่องที่สัมพันธ์กับโครงเรื่องและตัวละคร
- มีแนวคิดสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง
- มีกลวิธีการประพันธ์ที่แปลกใหม่น่าสนใจ
- มีจุดขัดแย้งที่น่าติดตามและสร้างความสะเทือนอารมณ์
- ใช้ภาษาสละสลวยทำให้เกิดจินตภาพ
- บทสนทนาเหมาะสมเหมาะกับบุคลิกภาพของตัวละคร
- เสนอสารที่มีความคิดสร้างสรรค์
๒. คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าที่สะท้อนชีวิตของคนในสังคม ความเป็นอยู่ สังคม ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยมของคนสังคม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิตของผู้อื่น เกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คุณค่าทางด้านนี้ช่วยพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของผู้อ่าน
ในการพิจารณาคุณค่าทางด้านสังคม จะพิจารณาว่างานประพันธ์นั้นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับวัฒนธรรม จริยธรรมของสังคมหรือไม่ มีส่วนช่วยจรรโลงหรือพัฒนาสังคม เช่น ช่วยประเทืองปัญญาของคนในสังคม ช่วยอนุรักษ์สิ่งมีค่าของสังคม และสนับสนุนค่านิยมอันดีงามของสังคมหรือไม่
เนื่องจากวรรณคดีมีคุณค่าทั้งทางวรรณศิลป์และทางสังคม วรรณคดีจึงให้ประโยชน์ทั้งทางประเทืองปัญญาและความสำเริงอารมณ์ การให้นักเรียนเรียนวรรณคดีเพื่อจะให้เกิดความเข้าใจชีวิต เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น และทำให้นักเรียนมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ด้วย
การพิจารณาคุณค่าด้านสังคม
งานเขียนทั้งประเภทร้อยแก้วและ ร้อยกรองมีหลักเกณฑ์การพิจารณาแบบเดียวกัน ดังนี้
- เนื้อหาสาระเกี่ยวกับวัฒนธรรมหรือจริยธรรมของสังคม
- มีส่วนช่วยจรรโลงหรือพัฒนาสังคม เช่น ยกระดับจิตใจ เพิ่มพูนสติปัญญา สนับสนุนค่านิยมอันดีงามของสังคม ส่งเสริมให้อนุรักษ์สิ่งมีค่าของบ้านเมือง ช่วยประเทืองปัญญาของคนในสังคม เป็นต้น
แนวคิดและค่านิยมในงานประพันธ์
๑. แนวคิดสำคัญ บางทีเรียกว่า " แก่นเรื่อง " หรือ " สาระสำคัญของเรื่อง " หมายถึง ความคิดสำคัญที่ผู้แต่งใช้เป็นแนวทางในการผูกโครงเรื่อง เช่น อัวรานางสิงห์ ผู้แต่งมีแนวคิดในการผูกเรื่องว่า " สัตว์ป่าต้องอยู่ในป่า ถ้ามันฝ่าฝืนกฎข้อนี้ มันจะต้องทุกข์ทรมาน " แนวคิดเรื่องความดี ความชั่ว ในเรื่องกฤษณาคำฉันท์ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ให้เห็นแนวคิดว่า สัตว์ต่าง ๆ เมื่อตายไปแล้ว ยังทิ้งเขา งา ไว้เป็นประโยชน์ แต่มนุษย์นั้นคงทิ้งไว้ได้แต่ความดีความชั่วไว้ในโลก
๒. แนวคิดอื่น ๆ คือ ความคิด หรือข้อคิด หรือ " สาร " ที่ผู้แต่งแทรกไว้ในเรื่อง เช่น เรื่องอัวรานางสิงห์ ผู้แต่งได้แทรกข้อคิดหรือแนวคิดต่าง ๆ ไว้ เช่น คนที่นำสัตว์มาเลี้ยงต้องดูแลเอาใจใส่ เพราะสัตว์ก็มีจิตใจ ต้องการความรัก ความเอาใจใส่และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเช่นกัน หรือจากนิทานเรื่องปลาบู่ทอง แนวคิดคือ ความอิจฉาริษยาของแม่เลี้ยงเป็นสาเหตุให้ลูกเลี้ยงถูกทารุณกรรมอย่างแสนสาหัส เป็นต้น
ค่านิยม
ค่านิยมในงานประพันธ์มี ๒ ลักษณะ คือ
๑. ค่านิยม หมายถึง ความเชื่อ ความคิด หรือความรู้สึกของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าสิ่งนั้นมีค่า มีความหมาย หรือมีความสำคัญต่อตน หรือกลุ่มของตน ความเชื่อ ความคิด หรือความรู้สึกนี้จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมให้คนนั้นหรือกลุ่มนั้นเลือกทำหรือไม่ทำสิ่งใด
๒. ค่านิยม หมายถึง ความเชื่อมั่น การยึดถือปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ค่านิยมจะเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมหมายถึงแบบแผนชีวิต คนไทยมีค่านิยมบางประการที่แสดงแบบแผนของชีวิต เช่น การนิยมทำบุญ เห็นความสำคัญในการเป็นไทแก่ตัว และชอบความสนุกสนาน
เราอาจพิจารณาค่านิยมของบุคคลหนึ่งบุคคลใดจากสิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เขาอยากจะได้ อยากจะเป็น หรือสิ่งที่เขาถือว่าจำเป็นต้องปฏิบัติ ค่านิยมอาจถ่ายทอดได้ด้วยการปลูกฝังและให้เห็นแบบอย่าง นอกจากนี้ค่านิยมยังเปลี่ยนแปลงได้เมื่อวัย ความรู้ ประสบการณ์ และสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป
ตัวอย่างค่านิยม
จามรีขนข้องอยู่ หยุดปลด ค่านิยม คือ เกียรติเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้ยิ่งชีวิต ความรู้ดูล้ำค่า สินทรัพย์ ค่านิยม คือ ความรู้และการศึกษาเล่าเรียน เสียสินสงวนศักดิ์ไว้ วงศ์หงส์ ค่านิยม คือ ความสัตย์ ความเข้าใจ เรื่องขุนช้างขุนแผน ค่านิยม คือ ความซื่อสัตย์ที่มีต่อพระมหากษัตริย์และกฎหมายของบ้านเมืองอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เทศน์มหาชาติ ค่านิยม คือ ชาวบ้านมีศรัทธาในการทำบุญฟังเทศน์
คุณค่าของวรรณคดี
วรรณคดีเป็นศิลปะชั้นสูง มีถ้อยคำภาษาที่ไพเราะงดงาม ผู้อ่านจะได้รับรสแห่งความไพเราะ โดยไม่ปรากฏอย่างรูปปั้นหรือภาพเขียน ไม่ปรากฏเสียงไพเราะอย่างดนตรี ความงดงามทางภาษาถือว่าวรรณคดีเป็นศิลปะชั้นสูง ผู้ที่มีประสบการณ์จะอ่านวรรณคดีอย่างเข้าใจความรู้สึก คติชีวิต คำสอน ปรัชญา ความรู้ต่าง ๆ ได้มากกว่าผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ วรรณคดีมีคุณค่าแก่ผู้อ่าน ๒ ประการ
๑. คุณค่าทางสุนทรียภาพทางภาษา สุนทรียภาพหรือความงามทางภาษาเป็นหัวใจของวรรณคดี ได้แก่ ศิลปะของ การแต่ง การบรรยายเปรียบเทียบ การเลือกสรรถ้อยคำให้มีความหมาย มีสัมผัสให้เกิดเสียงไพเราะเพราะพริ้ง
๒. คุณค่าด้านสารประโยชน์ เป็นคุณค่าทางสติปัญญาและสังคม กวีจะให้ข้อคิด คติสอนใจแก่ผู้อ่าน และยังนำสภาพของสังคมในสมัยที่เขียนสอดแทรกไว้ในบทประพันธ์ของตน รวมถึงวัฒนธรรมขนบธรรมเนียม และค่านิยมเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันที่สำคัญของชาติ ทำให้ผู้อ่านมีโลกทัศน์กว้างขึ้น
ความงดงามของวรรณคดี
วรรณคดี เป็นงานประพันธ์อันประกอบด้วยศิลปะแห่งการนิพนธ์ และมีเนื้อเรื่องอันมีอำนาจดลใจให้เกิดความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ต่าง ๆ มิใช่เรื่องที่ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว วรรณคดีเป็นงานที่กวีสร้างขึ้นอย่างมีศิลปะ โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำมุ่งให้เกิดความไพเราะ ความงดงาม ซึ่งหมายถึงรสวรรณคดี อันเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เร้าให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ในแง่ต่าง ๆ
//sites.google.com/site/maroothai/home/kar-suksa-ngan-praphanth