พระอัสสชิเถระ เป็นบุตรพราหมณ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ บิดาท่านเป็นหนึ่งในจำนวนพราหมณ์ทั้ง ๘ ที่ได้รับเชิญไปทำนายพระลักษณะ และขนานพระนามเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช โกณฑัญญพราหมณ์ คนเดียวในจำนวน ๘ คน ครั้งนั้น ผู้เชื่อมั่นว่าเจ้าชายจะได้ตรัสรู้แน่นอน จึงชวนท่านอัสสชิพร้อมสหายไปเฝ้าปรนนิบัติ ขณะเจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ณ อุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันนี้เรียกว่า ถ้ำดงคิริ)
เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าทรงเลิกทุกรกิริยา ท่านอิสสชิจึงได้ติดตามโกณฑัญญะหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และหลังจากแล้ว ได้เสด็จไปแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (ว่าด้วยอริยสัจ ๔) โปรด ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้บวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์เช่นเดียวกับสหายทั้ง ๔
หลังจากบรรลุพระอรหัตแล้ว พระอัสสชิเถระได้เป็นหนึ่งในจำนวนพระสาวก ๖๐ รูป ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนารุ่นแรก ท่านได้ไปสั่งสอนประชาชนตามคามนิคมต่างๆ เป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน จึงไปยังเมืองราชคฤห์ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์ได้ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน ที่พระเจ้าพิมพิสารทรงสร้างถวาย
ท่านออกบิณฑบาตในเช้าวันหนึ่งในเมืองราชคฤห์ อิริยาบถอันสงบสำรวม ขณะเดินบิณฑบาตอยู่ ได้ประทับใจมาณพหนุ่มนามว่า อุปติสสะ ผู้พบเห็นเข้าโดยบังเอิญ อุปติสสะผู้นี้มีสหายชื่อ โกลิตะ เป็นศิษย์อาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร หนึ่งในจำนวน “ครูทั้ง ๖” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น
อุปติสสะและโกลิตะ เห็นความไม่มีแก่นสารแห่งคำสอนของสำนักตน จึงตกลงกันเงียบ ๆ ว่าจะแสวงหาแนวทางใหม่ ถ้าใครพบก่อนก็จะบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
อุปติสสะคิดว่าตนได้พบผู้ที่ควรเป็นอาจารย์ของตนแน่แล้ว จึงติดตามท่านไปห่างๆ ครั้นได้โอกาส ขณะพระเถระนั่งฉันภัตตาหารอยู่ จึงเข้าไปนมัสการ เรียนถามธรรมะจากท่าน พระเถระออกตัวว่า ท่านบวชไม่นาน ไม่สามารถแสดงธรรมโดยพิสดารได้ อุปติสสะกราบเรียนท่านว่าแสดงแต่โดยย่อก็ได้
พระเถระจึงกล่าวคาถาอันแสดงถึง
“แก่น” แห่งอริยสัจ ๔ ความว่า
เย ธมฺม เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุง ตถาคโต (อาห)
เตสญฺ จ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และการดับเหตุแห่งธรรมเหล่านี้ พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้
อุปติสสะได้ฟังเพียงแค่นี้ก็ได้ “ดวงตาเห็นธรรม” (เกิดธรรมจักษุ) คือบรรลุโสดาปัตติผล จึงรีบไปบอกแก่โกลิตะผู้สหาย โกลิตะได้ฟังคาถานั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเช่นเดียวกัน ทั้งสองจึงไปชวนอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตรไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
เมื่ออาจารย์ปฏิเสธ จึงได้พากันไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ณ พระเวฬุวัน ดังทราบกันทั่วไปแล้ว
พระอัสสชิเถระไม่ปรากฏว่าท่านมีความเชี่ยวชาญด้านใดเป็นพิเศษ เพราะไม่มีชื่อในทำเนียบเอตทัคคะ
ท่านเป็นพระที่ภาษาชาวบ้านสมัยนี้เรียกกันว่า “สมถะ” คือ ชอบอยู่สงบเพียงลำพัง ท่านมีบุคลิกน่าเลื่อมใส สำรวมอินทรีย์ “การคู้ การเหยียด ซึ่งมือและเท้า การเหลียวดู เป็นไปอย่างสงบสำรวม น่าเลื่อมใสยิ่ง” ดังความคิดของอุปติสสะ เมื่อเห็นท่านเป็นครั้งแรก เพราะเหตุนี้เอง ท่านจึงได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากอุปติสสะ ซึ่งต่อมาคือพระสารีบุตรเถระ เมื่อทราบว่าท่านพำนักอยู่ ณ ทิศใด พระอัครสาวกจะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น เพื่อถวายความเคารพ “อาจารย์” ของท่าน
ไม่ปรากฏว่าพระอัสสชิเถระมีอายุพรรษาเท่าใด ท่านนิพพานไปเงียบๆ โดยไม่มีกล่าวถึงไว้ในคัมภีร์ไหนเลย ในส่วนที่ไม่กล่าวถึงบ่อยนัก แต่ไม่มีใครลืมได้ ก็คือ คุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ท่านทำไว้แก่พระพุทธศาสนา โดยได้เป็นผู้ชักชวนให้พระอัครสาวกทั้งสองมาบวช เพื่อเป็นกำลังของพระพุทธศาสนา
พระอัสสชิะ หรือ พระอัสสชิเถระ
เป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์
พระอัสสชิผู้ได้บรรลุโสดาบันเป็นรูปสุดท้าย เดาว่าพระอัสสชิมีปัญญาน้อยที่สุดในบรรดาปัญจวัคคีย์ |
อุปติสสปริพาชก" ที่เห็นกิริยาท่าทางของพระอัสสชิน่าเลื่อมใส จึงสนใจเข้าไปสนทนาถาม |
เมื่อพระอัสสชิกล่าวจบ อุปติสสะก็ได้บรรลุธรรมเบื้องต้น และกลับมาแจ้งแก่โกลิตะ |
พระอัสสชิเกิดในตระกูลพราหมณ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เสด็จมาแสดงปฐมเทศนาแก่พระอัสสชิ ทำให้ท่านกราบทูลขอบวช เมื่อได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว มีบทบาทสำคัญในการช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล ด้วยความเป็นผู้มีมารยาทน่าเลื่อมใสของท่าน ทำให้ท่านเป็นพระสงฆ์คนแรกที่ทำให้อุปติสสะมาณพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมามาณพคนนี้คือพระสารีบุตร ท่านเป็นผู้กล่าวคาถาสำคัญยิ่งคาถาหนึ่งในพระพุทธศาสนาคือ
พระคาถา เย ธมฺมา.ท่านดำรงอายุพอสมควรแก่กาลก็ดับขันธปรินิพพาน ท่านไดรับการยกย่องว่ามีความสามารถในการเทศนาสั่งสอนธรรมะแก่ประชาชนอย่างได้ใจความ สั้นกระทัดรัด ครอบคลุมหลักพระพุทธศาสนา
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
1. เป็นผู้มีความสำรวม และเหมาะสมที่จะเป็นแบบอย่างแก่สมณะ
2. เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อบุคคลที่ท่านแสดงธรรม
โดยพูดในทำนองว่า
ท่านบวชได้ไม่นาน ยังไม่สามารถแสดงธรรมให้พิสดารได้
3. เป็นครูที่ดี นอกจากถ่ายทอดธรรมะแล้ว ยังประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์
และบุคคลทั่วไปอีกด้วย
4. เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมีส่วนสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา