ข้อใดคือภาษาที่ใช้ในฐานข้อมูล

                  มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ความเป็นมาและยุคต่าง ๆ ของภาษา
คอมพิวเตอร์

   6.1 ภาษาคอมพิวเตอร์

   6.2 ยุคของภาษาโปรแกรม

   6.3 ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม

   6.4 ตัวแปลโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

 

                ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์(Computer Programming Language) คือ ชุดคำสั่งที่นักเขียนโปรแกรม หรือโปรแกรมเมอร์ (Programmer) เขียนโปรแกรมซอร์สโค้ด (Source Code) ที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสาร ควบคุมการรับส่งข้อมูล และสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่นักเขียนโปรแกรมต้องการได้
                ซึ่งภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนั้น มีหลายภาษาให้เลือกใช้งาน ขึ้นอยู่กับความถนัดหรือความสามารถของนักพัฒนาโปรแกรม (Programmer) ที่จะเลือกใช้ภาษาโปรแกรมให้เหมาะกับโปรแกรมหรือเหมาะสมกับงานที่จะนำไปใช้ เช่น ภาษา C, ภาษา ASP, ภาษา Delphi, ภาษา
HTML เป็นต้น
                แต่ภาษาโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้น รูปแบบการเขียนคำสั่งเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
จะเป็นการเรียบเรียงไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ตามรูปแบบคำสั่งของภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งใน
การประมวลผลคำสั่งภาษาโปรแกรมนั้น คอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเข้าใจในคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้
ได้โดยตรง เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะเข้าใจและประมวลผลด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language)
หรือในรูปแบบของเลขฐานสอง (Binary digit) คือ เลข 0 และ เลข 1 เท่านั้น ดังนั้น จึงมีขั้นตอนใน
การแปลภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ให้เป็นภาษาเครื่องหรือในรูปแบบเลขฐานสองก่อน โดยใช้
โปรแกรมแปลภาษา (Language Translator Program) เช่น แอสแซมเบลอร์ (Assembler),
คอมไพเลอร์ (Compiler) หรือ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) คอมพิวเตอร์จึงจะเข้าใจและสามารถ
ประมวลผลตามคำสั่งของภาษาโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้นได้
 

 

                

ภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาใช้งานนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายภาษา
ซึ่งแต่ละภาษาจะมีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการนำมาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมแตกต่าง
กัน ซึ่งภาษาโปรแกรมที่ใช้งานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้

ยุคที่ 1 : ภาษาเครื่อง (Machine Language)

                ภาษาเครื่อง เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับต่ำที่สุด ซึ่งคอมพิวเตอร์เข้าใจ
ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านตัวแปลภาษาเพราะเขียนคำสั่งและแทนข้อมูลด้วยเลขฐานสอง (Binary
Code) ทั้งหมด ซึ่งเป็นการเขียนคำสั่งด้วยเลข 0 หรือ 1 ดังตัวอย่างคำสั่งภาษาเครื่อง ดังนี้

คำสั่งภาษาเครื่อง (Machine Code)

ความหมาย

0010 0000

โหลดข้อมูลจากหน่วยความจำ

0100 0000

ดำเนินการบวกข้อมูล

0011 0000

เก็บข้อมูลลงในหน่วยความจำ

                

ก่อนปี ค.ศ. 1952 มีการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษาเครื่องเพียงภาษาเดียว
เท่านั้นที่ใช้ ติดต่อกับคอมพิวเตอร์โดยตรง และคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีภาษาเครื่องแตกต่าง
กันขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์และหน่วยประมวลผลกลาง (Central Processor
Unit: CPU) โดยมีรูปแบบคำสั่งเฉพาะเครื่อง

                ดังนั้นนักเขียนโปรแกรมจึงไม่นิยมที่จะเขียนโปรแกรมด้วยภาษาเครื่อง เพราะทำการ
แก้ไข และเขียนโปรแกรมได้ยากทำให้เกิดยุ่งยากในการจดจำ และเขียนคำสั่งต้องใช้เวลามากใน
การเขียนโปรแกรม รวมทั้งการหาข้อผิดพลาดจากการทำงานของโปรแกรม และโปรแกรมที่เขียน
ขึ้นทำงานเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์เดียวกันเท่านั้น (Machine Dependent)

               ข้อดีของภาษาเครื่อง คือสามารถเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานคอมพิวเตอร์ได้
โดยตรง และสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว

           ยุคที่ 2 ภาษาแอสเซมบลี ( Assembly Language)

               ภาษาแอสเซมบลี จัดอยู่ในภาษาระดับต่ำ และเป็นภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษา
เครื่องในปี ค.ศ. 1952 ภาษาแอสเซมบลีมีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก คือ 1 คำสั่งของ
ภาษาแอสเซมบลีจะเท่ากับ 1 คำสั่งของภาษาเครื่อง โดยที่ภาษาแอสเซมบลีจะเขียนคำสั่งเป็น
ตัวอักษรภาษาอังกฤษ เพื่อใช้แทนคำสั่งภาษาเครื่อง ทำให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียน
โปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยการจดจำรหัสคำสั่งสั้น ๆ ที่จำได้ง่าย ซึ่งเรียกว่า นิวมอนิกโค้ด
(Mnemonic code) เช่น

คำสั่งนิวมอนิกโคด
( Mnemonic code)

คำสั่งภาษาเครื่อง

ความหมาย

LOAD

0010 0000

โหลดข้อมูลจากหน่วยความจำ

ADD

0100 0000

ดำเนินการบวกข้อมูล

SUB

1101 0000

ดำเนินการลบข้อมูล

MOV

1001 0000

ย้ายข้อมูลเข้าออกจากหน่วยความจำ

STROE

0011 0000

เก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำ

                ตัวอย่างของคำสั่งภาษาแอสเซมบลี ดังตัวอย่าง เช่น

                    CALL MySub ;transfer of control

                    MOV AX, 5 ;data transfer

                    ADD AX, 20 ;arithmetic

                    JZ Next 1 ;logical (jump if zero)

                    IN A 1, 20 ;input/output (read from hardware port)

                    RET ;return

                เมื่อนักเขียนโปรแกรม เขียนโปรแกรมด้วยภาษาแอสเซมบลีแล้ว ต้องใช้ตัวแปล
ภาษาที่เรียกว่า แอสเซมเบลอ ( Assembler) เพื่อแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง จึง
จะสามารถสั่งงานคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้

                สรุปคำสั่งที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในยุคที่ 1 และที่ 2 จะต้องใช้
เทคนิคการเขียนโปรแกรมสูง เพราะมีความยืดหยุ่นในการเขียนน้อยมาก และมีความยากในการ
เขียนคำสั่งสำหรับผู้เขียนโปรแกรม แต่สามารถควบคุมและเข้าถึงการทำงานของเครื่อง
คอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และมีความรวดเร็วกว่าการใช้ภาษาระดับอื่น ๆ

             ยุคที่ 3 ภาษาระดับสูง ( High-level Language)

                ภาษาระดับสูงถือว่าเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคที่สาม ( Third-generation
language) ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปี ค.ศ. 1960 โดยมีโครงสร้างภาษาและชุดคำสั่ง
เหมือนกับภาษาอังกฤษ รวมทั้งสามารถใช้นิพจน์ทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณได้ด้วย ทำให้ผู้
เขียนโปรแกรมสะดวกในการเขียนคำสั่งและแสดงผลลัพธ์ได้ตามต้องการ ลดความยุ่งยากใน
การเขียนโปรแกรมลงได้มาก ทั้งยังทำให้เกิดการใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลเพิ่มขึ้น
เช่น การควบคุมและสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม การแก้ปัญหาเฉพาะด้านทางด้าน
อุตสาหกรรม เช่น การควบคุมเครื่องจักรกลต่าง ๆ เป็นต้น

                การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงจะต้องใช้ตัวแปลภาษา ที่เรียกว่า คอมไพเลอร์
(Compiler) เพื่อแปลภาษาระดับสูงโดยการตรวจสอบไวยากรณ์ของภาษาระดับสูงไปเป็นภาษา
เครื่องเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่อไป โดยคอมไพเลอร์ของภาษาระดับสูงแต่ละ
ภาษาจะแปลเฉพาะภาษาของตนเอง และทำงานได้เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเดียวกัน
เท่านั้น เช่น คอมไพเลอร์ของภาษา COBOL บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จะแปลภาษาเฉพาะ
คำสั่งของภาษา COBOL และจะทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมือนกันเท่านั้น ถ้าต้องการ
นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบอื่น ๆ เช่น เมนเฟรม จะต้องใช้คอมไพเลอร์ของภาษา
COBOL แบบใหม่

               ตัวอย่างของภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงได้แก่ ภาษา BASIC ภาษา COBOL ภาษา
FORTRAN และ ภาษา C ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน สามารถเขียนโปรแกรมแก้ปัญหาเฉพาะ
ด้าน เช่น การควบคุมหุ่นยนต์ การสร้างภาพกราฟิก ได้เป็นอย่างดีเพราะมีความยืดหยุ่นและเหมาะ
กับการใช้งานทั่ว ๆ ไปได้

                สรุปภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 มีการเขียนโปรแกรมที่ง่ายกว่าในยุคที่ 2
สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์หลายระดับ (Machine Independent) โดยต้องใช้ควบคู่
กับตัวแปลภาษา (Compiler or Interpreter) สำหรับเครื่องนั้น ๆ และมีความยืดหยุ่นในการแก้
ปัญหาได้มากกว่าภาษาระดับต่ำ

          ยุคที่ 4 ภาษาระดับสูงมาก ( Very high-level Language)

               ภาษาระดับสูงมากเป็นภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ( Fourth-generation language)
ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมด้วยคำสั่งสั้น ๆ และง่ายกว่าภาษาในยุคก่อน ๆ มีการ
ทำงานแบบไม่จำเป็นต้องบอกลำดับของขั้นตอนการทำงาน ( Nonprocedural language) เพียง
นักเขียนโปรแกรมกำหนดว่าต้องการให้โปรแกรมทำอะไรเท่านั้นโดยไม่ต้อง ทราบว่าทำได้
อย่างไร ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็วกว่าภาษาระดับสูงในยุคที่ 3 ที่มีการเขียน
โปรแกรมแบบบอกขั้นตอนการทำงาน ( Procedural language) ภาษาระดับสูงมากทำงานเหมือน
กับภาษาพูดว่าต้องการอะไรและเขียนเหมือนภาษาอังกฤษ ดังตัวอย่าง เช่น

                    TABLE FILE SALES

                    SUM UNITS BY MONTH BY CUSTOMER BY PRODUCT

                    ON CUSTOMMER SUBTOTAL PAGE BREAK

                    END

                ข้อดีของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 4

                    • การเขียนโปรแกรมจะสั้นและง่าย เพราะเน้นที่ผลลัพธ์ของงานว่าต้องการอะไร
โดยไม่สนใจว่าจะทำได้อย่าง ไร
                    • การเขียนคำสั่ง สามารถทำได้ง่ายและแก้ไข เปลี่ยนแปลงโปรแกรมได้สะดวก
ทำให้พัฒนาโปรแกรมได้รวดเร็วขึ้น
                    • ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้เร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาอบรม หรือ
มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมหรือไม่ เพราะชุดคำสั่งเหมือนภาษาพูด
                    • ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องทราบถึงฮาร์ดแวร์ ของเครื่องและโครงสร้างคำสั่ง
ของภาษาโปรแกรม

                ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 4ประกอบด้วย Report Generators, Query
Language, Application Generators และ Interactive Database Management System Programs

                ภาษาที่ใช้สำหรับเรียกดูข้อมูลจากฐานข้อมูลได้เรียกว่า ภาษาสอบถาม ( Query
languages) จัดเป็นภาษาในยุคที่ 4 ซึ่งสามารถใช้ค้นคืนสารสนเทศของฐานข้อมูล มาตรฐาน
ของภาษาชนิดนี้ขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลที่แตกต่างกัน ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ SQL(Structured
Query Language) และนอกจาก นี้ยังมีภาษา Query By Example หรือ QBE ที่ได้รับความนิยม
ในการใช้งาน

                Report Generator หรือ Report Writer คือโปรแกรมสำหรับผู้ใช้ ( End user) ที่ใช้สำหรับ
สร้างรายงาน รายงานอาจแสดงที่เครื่องพิมพ์หรือจอภาพก็ได้อาจจะแสดงทั้งหมดหรือบางส่วน
ของฐานข้อมูลก็ได้ อาจจะกำหนดรูปแบบบรรทัดคอลัมน์ส่วนหัวรายงาน และอื่น ๆ ได้

                Application Generators คือเครื่องมือของผู้เขียนโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างโปรแกรม
ประยุกต์จากการอภิปรายปัญหาได้เร็วกว่าการเขียนโปรแกรมทั่วๆไป

           ยุคที่ 5 ภาษาธรรมชาติ ( Natural Language)

                ภาษาธรรมชาติจัดเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า ( Fifth generation language)
คือ การเขียนคำสั่ง หรือสั่งงานคอมพิวเตอร์ทำงานโดยการใช้ภาษาธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ภาพ
หรือ เสียง โดยไม่สนใจรูปแบบไวยากรณ์หรือโครงสร้างของภาษามากนัก ซึ่งคอมพิวเตอร์จะ
พยายามคิดวิเคราะห์ และแปลความหมายโดยอาศัยการเรียนรู้ด้วยตนเองและระบบองค์ความรู้
( Knowledge Base System) มาช่วยแปลความหมายของคำสั่งต่าง ๆ และตอบสนองต่อผู้ใช้งาน

                ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 เช่น

                    SUM SHIPMENTS BY STATE BY DATE

                ข้อดีของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 คือผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรม
ได้เร็ว โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม แต่คอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรมต้องมีระบบรับ
คำสั่ง และประมวลผลแบบอัจฉริยะ สามารถตอบสนองและทำงานได้หลายแบบ

 

                ภาษาโปรแกรมในปัจจุบันนั้น มีมากมายหลายภาษาให้นักพัฒนาโปรแกรมได้เลือกใช้
งานตามความถนัด หรือตามความเหมาะสมกับระบบงานนั้น ๆ เช่น เป็นการพัฒนาเพื่อใช้ในงาน
ด้านการศึกษา การพัฒนาเพื่อนำไปใช้งานในด้านธุรกิจ หรือพัฒนาขึ้นมาใช้บนระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์เป็นต้น
               ตัวอย่างภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น

ภาษาคอมพิวเตอร์

การใช้งานหลัก

• FORTRAN
   (FORmula  TRANslator)

ใช้ในงานคำทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือ
งานวิจัย การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หรือการวิเคราะห์
ทางเศรษฐศาสตร์ได้

• ALGOL
   (ALGOrithmic Language)

เริ่มต้นได้รับการออกแบบให้เป็นภาษาสำหรับงานวิทยา-
ศาสตร์ และต่อมามีการพัฒนาต่อเป็นภาษา PL/I และ Pascal

• COBOL  
   (Common Business
     Oriented  Language)

ใช้ในการประมวลผลแฟ้มข้อมูลขนาดใหญ่ การคำนวณทาง
ด้านธุรกิจบนเครื่องขนาดใหญ่

•  PL/I
    (Programming Language
     One)

ถูกออกแบบมาใช้กับงานทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และธุรกิจ

• BASIC
   (Beginner's All-purpose
    Symbolic Instruction Code)

สำหรับผู้เริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ประยุกต์ใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์ และธุรกิจ

• Pascal
   (ชื่อของ Blaise Pascal)

นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทุกด้าน

• C และ C ++

สำหรับนักเขียนโปรแกรม ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และโปรแกรม
ประยุกต์ต่างๆ

• LISP (LISt Processing)

ออก แบบโดยบริษัท IBM ในปี ค . ศ . 1968 เป็นภาษาที่
โต้ตอบ กับผู้ใช้ทันทีเหมาะสำหรับจัดการกับกลุ่มของข้อมูล
ที่สัมพันธ์กันในรูปแบบตาราง

• LOGO

นิยมใช้ในโรงเรียนเพื่อสอนทักษะการแก้ปัญหาให้กับนักเรียน

• PROLOG
   (PROgramming LOGic)

นิยมใช้มากในงานด้านปัญญาประดิษฐ์จัดเป็นภาษาธรรมชาติ
ภาษาหนึ่ง

• RPG
   (Report Program Generator)

ถูกออกแบบให้ใช้กับงานทางธุรกิจ จะมีคุณสมบัติในการ
สร้างโปรแกรมสำหรับพิมพ์รายงานที่ยืดหยุ่นมาก

          

ภาษา C และ C++

              ภาษา C ถูกพัฒนาขึ้นโดย Dennis Ritchie ในปี ค.ศ. 1972 ที่ห้องปฏิบัติการเบลล์ของ
บริษัท AT&T เป็นภาษาที่ใช้เขียนระบบปฏิบัติการ UNIX ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความ
นิยมคู่กับภาษาซี และมีการใช้งานอยู่ในเครื่องทุกระดับ

              ภาษา C เป็นภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมเป็นอย่างมาก
เนื่องจากภาษา C เป็นภาษาที่รวมเอาข้อดีของภาษาระดับสูงในเรื่องของความยืดหยุ่น และ
ไวยากรณ์ที่ง่ายต่อการเข้าใจกับข้อดีของภาษาแอสเซมบลีในเรื่องของประสิทธิภาพและความ
เร็วในการทำงาน ทำให้โปรแกรมที่พัฒนาด้วยภาษาซีทำงานได้เร็วกว่าโปรแกรมที่เขียนด้วย
ภาษาระดับสูงอื่น ๆ ในขณะที่การพัฒนาและแก้ไขโปรแกรมสามารถทำได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษา
ระดับสูงทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ภาษา C ยังได้มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีก โดยทำการประยุกต์
แนวความคิดของการโปรแกรมเชิงวัตถุเข้ามาใช้ในภาษา ทำให้เกิดเป็นภาษาใหม่คือ C++
(++ ในความหมายของภาษาซี คือ การเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งนั่นเอง) ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมใช้
ในงานพัฒนาโปรแกรมอย่างมาก

             ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา C และ C++

                   #include <stdio.h>
                    #include <conio.h>
                    int   main()
                   {
                            int i, j;
                            printf("Put integer :");
                            scanf ("%d", &i);
                            printf("n========n");
                            j = 0;
                            while (i > j)
                           {
                            printf("%d\n", ++j);
                            }
                           getch();

                    }

           

ภาษาเบสิก (BASIC)

                ภาษาเบสิก (Basic ย่อมาจาก Beginners All - purpose Symbolic Instruction Code) เป็น
ภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้พัฒนาโดย Dartmouth Collage แนะนำโดย John Kemeny และ Thomas
Krutz ในปี 1965 เป็นภาษาที่ใช้ง่ายและติดตั้งอยู่บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมาก ใช้สำหรับ
ผู้เริ่มต้นศึกษาการเขียนโปรแกรม และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากภาษา BASIC, QBASIC
ปัจจุบันเป็น Visual BASIC เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถประยุกต์ใช้งานได้ทั้งทาง
วิทยาศาสตร์และทางธุรกิจ

                ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา BASIC

                    CLS

                    PRINT “PLEASE ENTER A NUMBER”

                    INPUT NUMBER

                    DO WHILE NUMBER <> 999

                    SUM = SUM + NUMBER

                    vCOUNTER = COUNTER + 1

                    PRINT “PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER”

                    INPUT NUMBER

                    LOOP

                    AVERAGE = SUM/COUNTER

                    PRINT “THE AVERAGE OF THE NUMBER IS”; AVERAGE

                    END

           

ภาษาโคบอล (COBOL)

               ภาษาโคบอล เป็นภาษาระดับสูงที่ออกแบบมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 โดยสถาบันมาตรฐาน
แห่งสหรัฐอเมริกากับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายแห่ง และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก
มาตรฐานของภาษาโคบอลในปี 1968 กำหนดโดย The American National Standard Institute และ
ในปี 1974 ได้ออกมาตรฐานที่เรียกว่า ANSI - COBOL ต่อมาเป็น COBOL 85 ภาษาโคบอลเป็น
ภาษาที่ออกแบบให้ใช้กับงานทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี สำหรับการประมวลผลแฟ้มข้อมูลขนาด
ใหญ่ การคำนวณทางธุรกิจเช่นการจัดเก็บ เรียกใช้ และประมวลผลทางด้านบัญชี ตลอดจนทำงาน
ด้านการควบคุมสินค้าคงคลัง การรับและจ่ายเงิน เป็นต้น

              คำสั่งของภาษา COBOL จะคล้ายกับภาษาอังกฤษทำให้สามารถอ่านและเขียนโปรแกรม
ได้ไม่ยากนัก ในยุคแรก ๆ ภาษา COBOL จะได้รับความนิยมบนเครื่องระดับเมนเฟรม แต่ปัจจุบัน
นี้จะมีตัวแปลภาษา COBOL ที่ใช้บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย รวมทั้งมีภาษา COBOL ที่ได้
รับการออกแบบตามแนวทางเชิงวัตถุ (Object Oriented) เรียกว่า Visual COBOL ซึ่งจะช่วยให้การ
โปรแกรมสามารถทำได้ง่ายขึ้น และสามารถนำโปรแกรมที่เขียนไว้มาใช้ในการพัฒนางานอื่น ๆ อีก

              ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา COBOL

                    IF SALES-AMOUNT IS GREATER THAN SALES-QUOTA

                    COMPUTE COMMISSION = MAX-RATE * SALES - AMOUNT

                    ELSE

                    COMPUTE COMMISSION = MIN-RATE * SALES - AMOUNT

          

ภาษาปาสคาล (Pascal)

               ภาษาปาสคาล เป็นภาษาที่ได้รับการพัฒนาโดยนิคลอส เวิร์ธ (Niklaus Wirth) แห่ง
สถาบันเทคโนโลยีของรัฐในเมืองซูริค (Zurick) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1968 ชื่อ
ของภาษานี้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคนสำคัญ ที่ชื่อว่า Blaise Pascal
ภาษานี้ออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรม ง่ายต่อการเรียนรู้ แตกต่างกับภาษาเบสิก
ก็คือ ภาษาปาสคาลเป็นภาษาโครงสร้าง ( Structure Programming) นิยมใช้เป็นภาษาสำหรับการ
เรียนการสอนและการเขียนโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ภาษาปาสคาลมีตัวแปลภาษาทั้งที่เป็นแบบ
Interpreter และ Compiler โดยจะมีโปรแกรมเทอร์โบปาสคาล ( Turbo Pascal) ที่ได้รับความนิยม
อย่างสูงทั้งในวงการศึกษาและธุรกิจ เนื่องจากได้รับการปรับปรุงให้ตัดข้อเสียของภาษาปาสคาล
รุ่นแรก ๆ ออกไป

              ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Pascal

                    PROGRAM AVERAGE OF NUMBER:

                    VAR

                    COUNTER , NUMBER , SUM : INTEGER ;

                    AVERAGE : REAL ;

                    BEGIN

                            SUM := 0 ;

                            COUNTER := 0;

                            WRITELN (‘PLEASE ENTER A NUMBER');

                            READLN ( NUMBER);

                            WHILE NUMBER <> 999 DO

                            BEGIN (* WHILE LOOP *)

                                SUM := SUM + COUNTER;

                                WRITELN (‘PLEASE ENTER THE NEXT NUMBER');

                                READ ( NUMBER);

                           END ; (* WHILE LOOP *)

                           AVERAGE := SUM / COUNTER;

                          WRITELN (‘THE AVERAGE OF THE NUMBERS IS' , AVERAGE : 2 );

                    END.

          

ภาษา Java

               ภาษา Java เป็นภาษาระดับสูงในยุคที่ 4 ที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ซึ่งเป็น
เทคนิคที่ใช้วัตถุ (Object) เป็นหลักในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่สนใจ ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วย
ภาษา Java ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของ Object ถูกจัดกลุ่มในรูปของ Class โดยที่แต่ละคลาสมี
คุณสมบัติการถ่ายทอดลักษณะ (Inheritance) ภาษา Java ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจาก
โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสภาวะแวดล้อมต่างกัน
ได้โดยไม่ขึ้นกับ แพลตฟอร์มใด ๆ (Platform Independent) เป็นภาษาที่มีไวยากรณ์เข้าใจง่าย
ดังตัวอย่างต่อไปนี้

                    class TestJava
                    {
                          public static void main(String[] args)
                         {
                         System.out.println("Hello World!");
                         }
 
                    }

         

ภาษา Visual Basic

              ภาษา Visual Basic เป็นภาษาระดับสูงในยุคที่ 4 พัฒนาโดยบริษัท Microsoft ในปี
ค.ศ. 1987 แต่เริ่มได้รับความนิยมในปี ค.ศ.1991 นับว่าเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาแรกที่มี
เครื่องมือ เป็นภาพกราฟิกคอยอำนวยสะดวกในการเขียนโปรแกรม และได้รับความนิยมในการ
พัฒนาโปรแกรมบน Windows เพราะมีหลักการเขียนโปรแกรมแบบ Event – Driven ซึ่งเป็นการเขียน
โปรแกรมเพื่อกำหนดการทำงานให้กับ Control ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นตามเหตุการณ์ (Event) ที่เกิดขึ้น
เช่น การคลิกเมาส์ของผู้ใช้ หรือการรับข้อมูลจากคีย์บอร์ด เป็นต้น

               ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Visual Basic

                    Private Sub Form_Load()
                    Dim i As Integer
                    For i = -5 To 5
                    If i < 0 Then
                    MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มลบ ", vbOKOnly + vbInformation, "Show"
                    Else
                    MsgBox i &" เป็นตัวเลขจำนวนเต็มบวก ", vbOKOnly + vbInformation, "Show"
                    End If
                    Next
                    End Sub

 

 

            ตัวแปลภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการแปลความหมายของคำสั่งในภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดต่าง ๆ ไปเป็นภาษาเครื่อง ซึ่งเป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ และทำงานตามคำสั่งได้ โดยโปรแกรมที่เขียนเป็นโปรแกรมต้นฉบับ หรือ ซอร์สโค้ด (Source code) ซึ่งโปรแกรมเมอร์เขียนคำสั่งตามหลักการออกแบบโปรแกรม และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบไวยากรณ์ของภาษาว่าเขียนถูกต้องหรือไม่ และทดสอบผลลัพธ์ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดต่าง ๆ จะมีตัวแปลภาษาของตนเองโดยเฉพาะ โปรแกรมที่แปลจากโปรแกรมต้นฉบับแล้วจะเรียกว่า ออบเจ็คโค้ด ( Object code) ซึ่งเป็นภาษาเครื่องที่ประกอบด้วย รหัสคำสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ต่อไป

          

ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์  มีการใช้งานสำหรับการแปลภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

           

 1. แอสเซมเบลอร์ ( Assembler)

                     

เป็นตัวแปลภาษาแอสเซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำ ให้เป็นภาษาเครื่อง

           

2. อินเทอร์พรีเตอร์ ( Interpreter)

                     

เป็นตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงไปเป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลคำสั่งครั้งละ 1 คำสั่งให้เป็นภาษาเครื่อง แล้วนำคำสั่งที่เป็นภาษาเครื่องนั้นไปทำการประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ทันที หากไม่พบข้อผิดพลาด หลังจากนั้นจะแปลคำสั่งถัดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบโปรแกรม ในระหว่างการแปลคำสั่ง ถ้าหากพบข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ของภาษา โปรแกรมอินเทอร์พรีเตอร์ก็จะหยุดการทำงานพร้อมแจ้งข้อผิดพลาดให้ทำการแก้ไข ซึ่งทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ออบเจ็คโค้ดที่ได้จากการแปลคำสั่งโดยใช้อินเทอพรีเตอร์นั้นไม่สามารถเก็บไว้ใช้ใหม่ได้ จะต้องแปลโปรแกรมใหม่ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน ทำให้โปรแกรมทำงานได้ค่อนข้างช้า

           

3. คอมไพเลอร์ ( Compiler)

                     

เป็นตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงไปเป็นภาษาเครื่อง โดยทำการตรวจสอบความถูกต้องของการเขียนคำสั่งทั้งหมดทั้งโปรแกรมให้เป็นออบเจ็คโค้ด แล้วจึงทำการแปลคำสั่งไปเป็นภาษาเครื่อง จากนั้นจึงทำทำการประมวลผลและแสดงผลลัพธ์ หากพบข้อผิดพลาดของการเขียนโปรแกรม หรือมีคำสั่งที่ผิดหลักไวยากรณ์ของภาษาคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมไพเลอร์จะแจ้งให้โปรแกรมเมอร์ทำการแก้ไขให้ถูกต้องทั้งหมดก่อน แล้วจึงคอมไพล์ใหม่อีกครั้ง จนกว่าไม่พบข้อผิดพลาดถึงจะนำโปรแกรมไปใช้งานได้

                    ข้อดีของคอมไพเลอร์ คือ โปรแกรมออบเจ็คโค้ดที่ได้จะรวบรวมคำสั่งที่สำคัญในการรันโปรแกรม และได้โปรแกรมที่ทำงานเองได้ หรือ

Execute Program ซึ่งสามารถทำงานได้ไม่จำกัด ไม่ต้องเสียเวลาในการแปลใหม่ทุกครั้ง ทำให้การทำงานของโปรแกรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นรูปแบบการแปลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

            ในปัจจุบัน มีหลักการแปลภาษาคอมพิวเตอร์แบบใหม่เกิดขึ้น คือ แปลจากซอร์สโค้ด ไปเป็นรหัสชั่วคราว หรือ อินเทอมีเดียตโค้ด ( Intermediate Code) ซึ่งสามารถนำไปทำงานได้ด้วย การใช้โปรแกรมในการอ่าน และทำงานตามรหัสชั่วคราวนั้น โดยโปรแกรมนี้จะมีหลักการทำงานคล้ายกับอินเทอพรีเตอร์ แต่จะทำงานได้เร็วกว่าเนื่องจากรหัสชั่วคราวจะใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก มีข้อดีคือสามารถนำรหัสชั่วคราวนั้นไปใช้ได้กับทุก ๆ เครื่องมี่มีโปรแกรมตีความได้ทันที

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

flow chart แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน lmyour แปลภาษา กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่เรือ การเขียน flowchart โปรแกรม ตัวรับสัญญาณ wifi โน๊ตบุ๊คหาย ตัวอย่าง flowchart ขั้นตอนการทํางาน ผู้แต่งกาพย์เห่ชมไม้ ภูมิปัญญาหมายถึง มีสัญญาณ wifi แต่เชื่อมต่อไม่ได้ เชื่อมต่อแล้ว ไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ /roblox promo code redeem 3 พระจอม มีที่ไหนบ้าง AKI PLUS รีวิว APC UPS APC UPS คือ Adobe Audition Adobe Bridge Anapril 5 mg Aqua City Odaiba Arcade Stick BMW F10 jerk Bahasa Thailand Benz C63 ราคา Bootstrap 4 Bootstrap 4 คือ Bootstrap 5 Brackets Brother Scanner Brother iPrint&Scan Brother utilities Burnt HD C63s AMG CSS เว้น ช่องว่าง CUPPA COFFEE สุราษฎร์ธานี Cathy Doll หาซื้อได้ที่ไหน Clock Humidity HTC-1 ColdFusion Constitutional isomer Cuppa Cottage เจ้าของ Cuppa Cottage เมนู Cuppa Cottage เวียงสระ DMC DRx จ่ายปันผลยังไง Detroit Metal City Div class คือ Drastic Vita