ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย 2556
จังหวัดสุโขทัย ร่วมกับกรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขอเชิญทุกท่านร่วมงาน “งานประเพณี ลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2556” ระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2556 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
ประเพณีลอยกระทง ไม่ปรากฏหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีลอยกระทงนี้ได้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียง" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียน เล่นไฟ ว่า เป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุด ของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทง จังหวัดสุโขทัย ร่วมกับกรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เพื่อเป็นการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ประเพณีลอยกระทงและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยใช้ชื่องานตามคำในหลักศิลาจารึกว่า "งานเผาเทียนเล่นไฟ" โดยกำหนดจัดขึ้นทุกปีในวันเพ็ญเดือน 12 (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) หรือประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
โดยภายในงานจะมีพิธีรับรุ่งอรุณแห่งความสุข ณ อุโบสถวัดตระพังเงิน, พิธีบวงสรวงบุรพกษัตริย์สุโขทัยทุกพระองค์ ณ บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช, การแสดงพลุ ตะไล ไฟพะเนียง โคมชักโคมแขวน, การประกวดนางนพมาศ, การจัดกิจกรรมชุมชนโบราณ ตลาดโบราณ การละเล่นพื้นบ้าน การแสดงทางวัฒนธรรมไทย, การแสดงและจัดจำหน่ายสินค้าสหกรณ์และ OTOPและการแสดงแสง เสียง และกิจกรรมจำลองวิถีชีวิตสมัยสุโขทัย เป็นต้น
กำหนดการ
ทั้งนี้ ท่านที่สนใจมาเที่ยวงานสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 5561 1619, 0 5501 4304, 0 5561 0530 หรือ ททท.สำนักงานสุโขทัย โทรศัพท์ 0 5561 6228-9, 0 5561 6366 และ เฟซบุ๊ก งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2556
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
sukhothai.go.th ,
เฟซบุ๊ก
งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2556
ความสำคัญ
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีว่า ประเพณีลอยกระทงเกิดขึ้น ณ เมืองสุโขทัยเมื่อ ๗๐๐ ปีเศษล่วงมาแล้ว ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้กล่าวไว้ว่า ...เมืองสุโขทัยมีสี่ปากประตูหลวง เทียรย่อมคนเสียดกันมาดูท่านเผาเทียนเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดังจักแตก... ประเพณีนี้ยังคงสืบทอดต่อมาจนถึงยุคกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๕๒๐ จังหวัดสุโขทัยร่วมกับกรมศิลปากรและการท่องเที่ยว จึงได้ฟื้นฟูประเพณีลอยกระทงขึ้นมาใหม่ เรียกว่างานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จนมีชื่อเสียงและได้รับความสนใจทั้งจากชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างสูง กิจกรรม
ประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายได้แก่
- การประดิษฐ์กระทง พนมเบี้ย พนมหมาก พนมดอกไม้ โคมชัก โคมแขวน
- การประดับประทีปโคมไฟตามสถูป โบราณสถานและตะพัง (สระน้ำ) นับแสนดวง
- การจัดขบวนแห่ของอำเภอต่าง ๆ และเล่นพื้นบ้าน
- การจุดพลุตะไลไฟพะเนียงและดอกไม้ไฟ
- การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายแม่น้ำนัมทานที
และเพื่อแสดงความสำนึกในคุณของแหล่งน้ำต่าง ๆ รวมทั้งขอขมาลาโทษที่อาจกระทำ การใด ๆอันเป็นเหตุให้แหล่งน้ำนั้น ๆ ไม่สะอาด ซึ่งการสำนึกคุณและขออภัยถือ เป็นวัฒนธรรมอันดีงามอย่างหนึ่งของไทย
วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขี้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอนในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฎในหนังสือนางนพมาศที่ว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีโบราณของไทย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่ปรากฏ กล่าวได้ว่ามีมาตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐาน ว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์ กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา ในสมัยสุโขทัย นางนพมาศพระสนมของพระร่วงได้คิดทำกระทงถวายเป็นรูปดอกบัวและรูปต่างๆให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล พระร่วงเจ้าทรงพอพระราชหฤทัยกระทงดอกบัวของนางนพมาศมาก จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และปฏิบัติสืบต่อกันมา จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยเหตุนี้ กระทงรูปดอกบัวจึงปรากฏมาจนทุกวันนี้ แต่เปลี่ยนชื่อเรียกว่า "ลอยกระทงประทีป" ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงตัดพิธีต่าง ๆ ที่เห็นว่าสิ้นเปลืองออก ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้อีก ปัจจุบันนี้ การลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย แต่พิธีของชาวบ้านยังทำกันอยู่เป็นประจำตลอดมา