สำหรับเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่อยู่ภายใต้ธีมที่ 1 การพลิกโฉมและขยายขอบเขตของประสบการณ์อย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่
- 1. Metaverse
- 2. Non-Fungible Tokens (NFTs)
- 3. Super App
- 4. Web3
- 5. Decentralized Identity
- 6. Digital Humans
- 7. Digital Twin of the customer
- 8. Internal Talent Marketplaces
ด้วยประสิทธิภาพและความสามารถของเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ละผู้ใช้จะสามารถควบคุม ข้อมูลอัตลักษณ์ ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลด้านประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงของตน พร้อมทั้งสามารถรวมเข้ากับ การใช้สกุลเงินดิจิทัล ได้ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าด้วยแนวทางใหม่ๆ เสริมความแข็งแกร่งให้องค์กร และนำไปสู่โอกาสในการเข้าถึงแหล่งรายได้ใหม่ๆ
ธีมที่ 2 การเร่งการทำงานอัตโนมัติของปัญญาประดิษฐ์
เอไอ กลายเป็นเทคโนโลยีที่องค์กรนำมาปรับใช้ และเล็งเห็นว่าเป็นส่วนสำคัญของผลิตภัณฑ์ บริการ โซลูชันต่างๆ และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีการเร่งการสร้างแบบจำลองเอไอที่มีความเฉพาะที่สามารถนำไปใช้ร่วมกับการพัฒนาแบบจำลอง การฝึกอบรม และการนำไปปรับใช้แบบอัตโนมัติ
และในด้านระบบอัตโนมัติ นักพัฒนาให้ความสำคัญกับบทบาทของมนุษย์ในด้านการพัฒนาเอไอ ที่ส่งผลให้สามารถคาดการณ์และตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสรับผลประโยชน์ได้เร็วยิ่งขึ้น
การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ทุกคนต่างหันมาใช้งานอินเทอร์เน็ตกันมากกว่าเดิม เพราะข้อมูลสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ เลขบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต ฐานข้อมูลลูกค้า หรือแม้กระทั่งคลาสเรียนออนไลน์ ต่างก็เสี่ยงโดนขโมยและโจมตีจากแฮกเกอร์ทั่วโลกได้
ดังนั้นจึงส่งผลให้เทรนด์เทคโนโลยีที่จะมีบทบาทมากที่สุดในปี 2022 คงหนีไม่พ้นเรื่องการยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางไซเบอร์ที่หนาแน่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลายองค์กรก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ การฝึกอบรมพนักงานในองค์กรและให้ผู้บริโภคสามารถแยกแยะอีเมลที่เข้าข่าย Phishing ได้เอง รวมไปถึงการใช้ Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ระบบจดจำลักษณะการโจมตีทางไซเบอร์เพื่อป้องกันเหตุร้ายในอนาคต และการใช้วิธียืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (MFA)
2. นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)
นาโนเทคโนโลยี หรือ การควบคุมและดัดแปลงสสารในระดับเล็กขนาดอะตอมหรือโมเลกุลนั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยที่หลายอุตสาหกรรมในปัจจุบันได้มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น แคปซูลบรรจุกล้องขนาดจิ๋วที่ผู้ป่วยสามารถกลืนลงไปเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้กระทั่งการผลิตเครื่องสำอาง ครีมกันแดด หรือยางรถยนต์ ก็นำนาโนเทคโนโลยีมาประยุกต์และพัฒนาสินค้าต่างๆ เช่นกัน
ในอนาคตคาดกาณ์ว่า นาโนเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น อุปกรณ์เซ็นเซอร์ขนาดจิ๋วที่เข้าไปตรวจสอบความผิดปกติภายในร่างกาย การรักษาแผลได้อย่างรวดเร็ว หรือการสร้างกระดูกและอวัยวะที่เสียหายขึ้นมาใหม่
3. ความยั่งยืน (Sustainability)
ปัจจุบันผู้คนจำนวนมากในทั่วโลกหันมาสนเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่การแพร่ระบาดของโควิด 19ก็ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์พุ่งสูงขึ้น จนทำให้ปริมาณการใช้ทรัพยากรพลังงานไฟฟ้าและวัสดุต่างๆ พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งย่อมก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น ความยั่งยืนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทนทานและมีอายุการใช้งานนานขึ้น การใช้วัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
4. การให้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสมบัติสาธารณะ (Open Intellectual Property Movement)
การเปิดให้ผลงานทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองกลายเป็นสมบัติของสาธารณะที่อนุญาตให้คนอื่นๆ สามารถนำไปพัฒนา ประยุกต์ และดัดแปลงต่อได้ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น คลังเก็บข้อมูลออนไลน์อย่าง Wikipedia ซอฟต์แวร์ Open Source ที่เปิดให้เข้าถึงและดาวน์โหลดได้ฟรี การเผยแพร่งานวิจัยใหม่ๆ สู่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งการแบ่งปันโมเดล 3D ให้คนอื่นใช้งานได้ เช่น เว็บไซต์ Blendswap ซึ่งกระแสความนิยมดังกล่าวนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมดีๆ ให้เกิดขึ้นจริงในสังคมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงได้ แลกเปลี่ยนความรู้ของตัวเอง และช่วยกันพัฒนาเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ความท้าทายข้อหนึ่งคือต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนอยากเข้าร่วมแม้จะไม่มีค่าตอบแทนที่สูงหรือแน่นอนก็ตาม รวมถึงความปลอดภัยและน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ผู้คนนำมาแลกเปลี่ยนกันบนแพลตฟอร์มด้วย
5. คอร์สเรียนออนไลน์ขนาดใหญ่ (MOOCs)
ก้าวสู่ยุคยุคดิจิทัลบวกกับการแพร่ระบาดของวิกฤตโควิด 19 เช่นนี้ MOOCs จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เพราะเปิดรับผู้เรียนจำนวนมากในคราวเดียวกันได้ผ่านทางออนไลน์ ทำให้ค่าเล่าเรียนมีราคาถูกแถมยังนั่งเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาให้กับผู้คนจำนวนมากทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีทักษะใหม่ๆ ที่ตลาดแรงงานแห่งโลกอนาคตกำลังต้องการด้วย เช่น การบริหารโปรเจก การออกแบบ UX/UI หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์ข้อมูล
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกหลายแห่งเปิดคอร์สออนไลน์ขนาดใหญ่แบบนี้แล้ว แถมหลายคอร์สก็เปิดสอนแบบฟรีๆ อีกด้วย เช่น Harvard University และ Massachusetts Institute of Technology (MIT) นอกจากนี้ ก็ยังมีแพลตฟอร์มคอร์สเรียนออนไลน์ชื่อดังอีกมากมาย เช่น Coursera และ Udemy ที่มีจำนวนผู้เข้าเรียนแล้วกว่า 82 ล้านคนทั่วโลก ซึ่ง IEEE มองว่า MOOCs จะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในปี 2022 และอาจดิสรัปการเรียนการสอนระดับชั้นอุดมศึกษาทั่วโลกในอนาคต
6. การประมวลผลแบบควอนตัม (Quantum Computing)
เทคโนโลยีการประมวลผลแบบควอนตัม หรือ Quantum Computing เป็นสิ่งที่หลายคนคาดหวังว่าจะช่วยพลิกโฉมให้ระบบการประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีความรวดเร็วและทรงพลังมากยิ่งขึ้นหลายสิบเท่า แต่ว่าแม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเริ่มทดลองใช้งานแล้ว แต่ขีดความสามารถของ Quantum Computing ในปัจจุบัน ก็ยังค่อนข้างห่างไกลจากคอมพิวเตอร์ปกติทั่วไปที่พบเห็น เพราะบริษัทชั้นนำของโลก เช่น IBM Microsoft และ Google ที่เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวในตอนนี้ก็เพิ่งประสบความสำเร็จในการสร้าง Qubits ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลข้อมูลขนาดเล็กในระดับอะตอม ได้ประมาณ 50-65 Qubits
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายรายคาดการณ์ว่า กว่าที่ Quantum Computing จะมีประสิทธิภาพมากพอจนสามารถออกวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นวงกว้างได้นั้นจะต้องมีจำนวน Qubits อย่างน้อย 1,000 – 1,000,000 หน่วยเสียก่อน ดังนั้นคงต้องรอกันอีกประมาณสิบปี จึงจะได้เห็นเทคโนโลยีอันล้ำสมัยนี้ช่วยยกระดับธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น
7. วงจรรวมแบบสามมิติ (3D Integrated Circuits)
นักวิจัยและผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พยายามพัฒนาขีดความสามารถของวงจรไฟฟ้าให้สามารถรับส่งข้อมูลและประมวลผลได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการทำให้ต้นทุนในการผลิตถูกลงกว่าเดิม ดังนั้นพวกเขาจึงออกแบบวงจรรวมใหม่ จากเดิมที่เป็นวงจรลักษณะระนาบ (planar circuit) ให้เป็นวงจร 2.5 และ 3 มิติ ซึ่งเน้นการประกอบแผงวงจรแบบทับซ้อนกัน ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจต้องรอถึงประมาณปี 2025 กว่าที่วงจรรวมแบบ 3D นี้จะเข้าสู่การผลิต Mass Production แล้วออกวางจำหน่ายในท้องตลาดได้
การเติบโตแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีเหล่านี้ นับว่าเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนธุรกิจยุคดิจิทัล ซึ่งองค์กรก็จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อทวีคูณความสามารถด้านดิจิทัล ที่จะทำให้เอาชนะทางธุรกิจและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้