ได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ 25% ต่อปี โดยหากจ่ายล่าช้าอาจจะมีการเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้ไม่เกินงวดละ 100 บาท
กรณีลูกค้าได้รับอัตราดอกเบี้ยปกติ หากชำระเกินวันครบกำหนดชำระ จะมีค่าปรับในการผิดนัดชำระ 3% ต่อปีสูงสุดรวมไม่เกิน 25%ต่อปี ของเงินต้นของค่างวดที่ผิดนัด ตั้งแต่วันที่ผิดนัดชำระหนี้ จนสิ้นสุดกรณีผิดนัด
กรณีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 0% ต่อปี จะถูกเปลี่ยนเป็นคิดในอัตราดอกเบี้ยผิดนัด 25% ต่อปีของเงินต้นของค่างวดที่ผิดนัด ตั้งแต่วันที่ผิดนัดชำระหนี้ จนสิ้นสุดกรณีผิดนัด
ไม่ควรขอสินเชื่อบ่อยเกินกว่า 1 ครั้งต่อเดือน เพราะจะทำให้เกิดสัญญาณที่บ่งบอกกับทางธนาคารว่า คุณน่าจะมีปัญหาหนัก กำลังร้อนเงินมาก จึงสมัครเข้ามาเรื่อยๆ หลายคนเข้าใจผิด อาจคิดไปเองว่า ถึงแม้จะขอไปบ่อยๆ ก็ไม่น่าเป็นอะไร เผื่อมีลุ้นว่าจะมีโอกาสได้รับการอนุมัติ แต่ความจริงแล้ว ข้อมูลการสมัครของคุณจะถูกบันทึกไว้ และจะส่งผลเสียกับการขอสินเชื่อครั้งต่อ ๆ ไป
เคล็ดลับการขอสินเชื่อ ข้อที่ 2
ถ้าได้รับการปฏิเสธสินเชื่อ ให้ทิ้งช่วงเวลารอไปก่อนอย่างน้อย 3 เดือน แล้วค่อยสมัครอีกครั้ง เพราะถ้าสมัครใหม่ทันที ข้อมูลต่างๆ ที่ใช้คิดเป็นคะแนนเพื่อพิจารณาสินเชื่อจะยังเหมือนเดิม ซึ่งแปลว่าจะทำให้ถูกปฏิเสธอีกอยู่ดี แค่อดทนรออีกหน่อย ให้คุณมีหนี้มีลดลงและรายได้มากขึ้น คะแนนก็จะดีขึ้น โอกาสที่สินเชื่อคุณสมัครจะได้รับการอนุมัติก็จะสูงยิ่งขึ้นไปด้วย
เคล็ดลับการขอสินเชื่อ ข้อที่ 3
ถ้าคุณรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน จะขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ และขอสินเชื่อรวมกันได้ไม่เกิน 3 ธนาคารหรือสถาบันการเงิน แต่ถ้ารายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน จะขอสินเชื่อได้ไม่เกิน 5 เท่าของรายได้เท่านั้น ดังนั้น ตรวจเช็กวงเงินของคุณให้ดี จะได้ไม่ถูกปฏิเสธอยู่เรื่อยๆ เพราะวงเงินเต็มหรือขอเกินวงเงินที่สามารถขอได้
เคล็ดลับการขอสินเชื่อ ข้อที่ 4
หนี้ปัจจุบันของคุณรวมกันทั้งหมดไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อที่จะมีโอกาสได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่สูงขึ้น เปอร์เซ็นต์ของหนี้รวมคือสัญญาณที่บอกว่า คุณมีความสามารถในการชำระหนี้จริงเป็นอย่างไร เงินตึงมือเกินไปจนไม่มีเหลือใช้จ่ายและหมุนเงินหรือเปล่า มีความเสี่ยงที่ผิดชำระหนี้หรือไม่
เคล็ดลับการขอสินเชื่อ ข้อที่ 5
เจ้าของกิจการจะมีโอกาสรับการอนุมัติมากขึ้น เพียงรับเงินผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น ทางพร้อมเพย์ โอนเงินผ่าน QR code และเครื่องรับบัตรต่างๆ เพราะจะทำให้ธนาคารเห็นว่า คุณมีประกอบกิจการจริงๆ มีเม็ดเงินเข้าออกชัดเจนจากรายการบัญชีหมุนเวียน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสูงขึ้นกว่าการรับแต่เพียงเงินสดเพียงอย่างเดียว
เมื่อต้องออกจากงานไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เราก็ยังต้องมีภาระภาษีที่ต้องบริหารจัดการกันอยู่ บทความนี้จึงนำเสนอข้อมูลและภาระภาษีที่เกี่ยวข้องให้กับผู้ที่ถูกเลิกจ้าง หมดสัญญาจ้าง และเกษียณอายุโดยที่ลูกจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ว่าต้องมีการเสียภาษีอย่างไร เพื่อให้ลูกจ้างในกลุ่มดังกล่าวได้วางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ก่อนอื่น เรามาดูกันว่าเงินก้อนที่ได้เมื่อออกจากงานมีอะไรบ้าง และมีทางเลือกในการเสียภาษีอย่างไร
1. เงินค่าชดเชย
เป็นเงินที่จะได้รับเมื่อออกจากงานตามกฎหมายแรงงานเนื่องจากถูกเลิกจ้าง ไล่ออก หมดสัญญาจ้าง และเกษียณอายุโดยที่ลูกจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ทั้งนี้อัตราค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานจะคิดตามอายุงานที่ทำงานกับนายจ้างรายนี้และใช้อัตราเงินเดือนล่าสุดสำหรับการคำนวณค่าชดเชย ซึ่งสรุปได้ดังนี้
อายุงาน
อัตราค่าชดเชย
ไม่ถึง 120 วัน
ไม่มีสิทธิได้รับ
120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี
ได้รับค่าชดเชย 30 วัน
1 ปีแต่ไม่ถึง 3 ปี
ได้รับค่าชดเชย 90 วัน
3 ปีแต่ไม่ถึง 6 ปี
ได้รับค่าชดเชย 180 วัน
6 ปีแต่ไม่ถึง 10 ปี
ได้รับค่าชดเชย 240 วัน
10 ปีแต่ไม่ถึง 20 ปี
ได้รับค่าชดเชย 300 วัน
ครบ 20 ปีขึ้นไป
ได้รับค่าชดเชย 400 วัน
อย่างไรก็ตามหากเป็นกรณีที่ลาออกด้วยความสมัครใจ หรือถูกไล่ออกด้วยความผิดร้ายแรง จะไม่ได้รับเงินค่าชดเชยนี้ นอกจากนี้การเลิกจ้างยังแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
- ได้รับค่าชดเชยเพราะถูกเลิกจ้างหรือไล่ออก ค่าชดเชยที่ได้รับ 300,000 บาทแรกจะได้รับการยกเว้นภาษี เช่น หากได้รับเงินชดเชยการเลิกจ้างมา 450,000 บาท ค่าชดเชย 300,000 บาทแรกจะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วน 150,000 บาทที่เหลือจะต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ได้รับค่าชดเชยเพราะเกษียณอายุหรือหมดสัญญาจ้าง ค่าชดเชยดังกล่าวจะต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีทั้งก้อน ไม่ได้รับยกเว้น 300,000 บาทแรกเหมือนกกรณีที่ถูกเลิกจ้างหรือไล่ออก
2.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เมื่อออกจากงานไม่ว่าด้วยสถานะใดก็ตาม จะมี 3 ทางเลือก ดังนี้
- ถอนออกมาเป็นเงินสด ซึ่งเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ
1.เงินสะสม ซึ่งเป็นเงินที่ถูกหักจากเงินเดือนทุกเดือนเพื่อสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
2 ผลประโยชน์ของเงินสะสม
3 เงินสมทบ เป็นเงินที่นายจ้างสมทบเพิ่มให้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
4 ผลประโยชน์ของเงินสมทบ
ในทางกฎหมาย หากถอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยที่มีอายุสมาชิกไม่ครบ 5 ปีและยังมีอายุไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์ เราจะต้องนำเงินในข้อ 2 – 4 มาเสียภาษีด้วย ส่วนเงินสะสมที่เราได้รับคืนมา ไม่ต้องนำมาเสียภาษี ซึ่งมีวิธีการเสียภาษีอย่างใด จะเล่าให้ฟังต่อไป
- ขอคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากไม่ต้องการถอนออกมาเป็นเงินสด เราสามารถเลือกคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและคงสถานะสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่อไปได้ โดยที่ลูกจ้างและนายจ้างไม่ต้องส่งเงินสะสมและเงินสมทบอีกต่อไป ระยะเวลาที่สามารถคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามข้อบังคับของกองทุนแต่ไม่น้อยกว่า 90 วันนับตั้งแต่วันออกจากงาน ตราบเท่าที่เรายังไม่ถอนเงินออกมา เราก็ยังไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้ หากได้งานใหม่ และนายจ้างใหม่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราสามารถโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเดิมไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทใหม่ได้ด้วย ซึ่งเราสามารถนับอายุสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในภายหลังหากเรามีอายุสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเกิน 5 ปี และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมด ก็จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีทั้งจำนวน
- โอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) นอกจากโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังบริษัทใหม่แล้ว ยังมีทางเลือกในการโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพได้ เท่ากับว่ายังไม่มีการถอนเป็นเงินสดออกมา เราก็ยังไม่ต้องเสียภาษีสำหรับเงินก้อนนี้แต่อย่างใด
ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ และคงเงินเก็บเพื่อการเกษียณอายุไว้ แนะนำว่าหากออกจากงานที่ไม่ใช่การเกษียณอายุ ให้เลือกขอคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อโอนไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทใหม่ (หากมี) หรือโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพจะดีกว่า เพื่อที่จะไม่ต้องนำเงินก้อนนี้มาเสียภาษี
3. วิธีเสียภาษีสำหรับเงินก้อนที่ได้รับเมื่อออกจากงาน
- มีอายุงานครบ 5 ปี เรามีสิทธิที่จะเลือกนำเงินก้อนนี้ไปรวมหรือไม่รวมกับรายได้อื่นๆ เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปีได้ โดยหากเราเลือกที่จะแยกยื่น เราจำเป็นต้องยื่นโดยใช้ ‘ใบแนบ ภ.ง.ด. 90, 91 กรณีคำนวณเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานเฉพาะที่เลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นๆ’ ซึ่งโดยทั่วไปหากสามารถแยกยื่นภาษีได้โดยไม่ต้องมารวมกับรายได้อื่นๆ จะทำให้ภาระภาษีต่ำลง ดังนั้นเราควรเลือกใช้สิทธิแยกยื่นด้วยใบแนบ
วิธีการคำนวณภาษีในใบแนบ
เงินที่นายจ้างให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน AAA บาท
หัก ค่าใช้จ่าย
- ค่าใช้จ่ายส่วนแรก (7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน) BBB บาท
- ค่าใช้จ่ายส่วนที่สอง (เงินก้อนที่ได้ – ค่าใช้จ่ายส่วนแรก) x 50% CCC บาท
รวมค่าใช้จ่าย DDD บาท
เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย EEE บาท
คำนวณภาษีที่ต้องชำระ (ตามขั้นบันได*) FFF บาท
* เสียภาษี 5% ตั้งแต่บาทแรก หรือ 150,000 บาทแรกไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี
เพื่อให้เห็นภาพเรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า สมมติว่านายมั่งคั่งทำงานมา 10 ปีเต็ม ถูกให้ออกจากงานเนื่องจากนายจ้างต้องการปิดกิจการ โดยได้เงินเดือน 50,000 บาท ได้รับเงินชดเชย 500,000 บาท และมีเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังหักเงินสะสมแล้วอีก 750,000 บาท (อายุสมาชิก 10 ปี) เนื่องจากมีอายุงานและอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเกิน 5 ปี สามารถยื่นภาษีด้วยใบแนบได้ สามารถคำนวณได้ดังนี้