เมื่อท่านเข้าใช้งานแพลตฟอร์มของเรา ท่านได้ตกลงยอมรับเงื่อนไขการใช้งานตามนโยบายการให้บริการของเว็บไซต์ และ ตามนโยบายคุ้มครองของมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ Readme Affiliate Partner Program สร้างรายได้ ตามที่ระบุไว้เรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณผู้เขียนทุกท่านที่ให้ความร่วมมือและสร้างสรรผลงานบทความ /รีวิวการเดินทางที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านของเราด้วยดีตลอดมา เว็บแพลตฟอร์มของเราต้องการเป็นผู้นำด้านการให้บริการเนื้อหา / รีวิวท่องเที่ยวที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน ทั้งนี้เรายังต้องการสร้างรายได้ให้กับสมาชิกผู้เขียนของเราและเว็บแพลตฟอร์ม เพื่อให้สามารถเติบโตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน จึงขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าจะมีการแสดงโฆษณา (Ads) ในทุกบทความ/รีวิวบนเว็บแพลตฟอร์มของเรา นั้นหมายความว่าผู้เขียนที่เป็นสมาชิกของเราทั้งหมด สามารถสร้างรายได้ได้จากบทความ / รีวิวที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์มของเราตามนโยบาย Readme Affiliate Partner Program
เมื่อเข้าร่วม Readme Affiliate Partner Program ทางระบบจะมีการแสดงแบนเนอร์โฆษณา (Ads) ที่พัก / กิจกรรม ที่ใกล้เคียง หรือเกี่ยวข้องกับรีวิวของท่านไปแสดง หรือการนำไปเผยแพร่กับพาร์ทเนอร์ของเรา อาทิเช่น Line Today ทุกท่านจะมีสิทธิ์ได้รับรายได้จากบทความ/รีวิวของท่าน โดยมีอัตราส่วนรายได้ (Revenue Share) 50 / 50* จากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการแสดงโฆษณา (Ads) บนเนื้อหาบทความ / รีวิวของท่านเงื่อนไขการได้รับรายได้นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละแคมเปญ หรือ จากโฆษณาจากพันธมิตรของเรา ตัวอย่าง เช่น
- CPC แคมเปญ ราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC) คือ รายได้ที่จะได้รับในแต่ละครั้งที่มีการคลิกโฆษณาจาก Google AdSense และมีส่วนแบ่งแต่ละการคลิกไม่เท่ากัน (ได้เฉพาะคลิกที่ถูกต้องเท่านั้น)
- CPS แคมเปญ ราคาต่อหนึ่งรายการซื้อที่เกิดขึ้นจริง (CPS) คือ รายได้ที่จะได้รับเมื่อเกิดการจองและจ่ายจริงจากการคลิกแบนเนอร์โฆษณา (Ads) ที่แสดงในรีวิวของท่าน ซึ่งแต่ละ โฆษณานั้นมีอัตราเปอร์เซ็นต์คอมมิชชั่นที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการจ่ายเงินของแต่ละพาร์ทเนอร์และพันธมิตร เช่น การจองห้องพักจากรีวิวกับเว็บไซต์ Agoda, Trip.com เป็นต้น รายงานสรุปรายได้แต่ละเดือนจะจัดแสดงใน “รายได้ของฉัน”
- CPM แคมเปญ "Cost per 1000 impressions" (รายได้ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง) ซึ่งเป็นรายได้ที่เกิดจากการเผยแพร่รีวิวผ่านช่องทางของพาร์ทเนอร์และได้รับส่วนแบ่งจากยอดวิวที่เกิดขึ้น เช่น LineToday และพันธมิตรอื่นๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะรีวิวที่ได้รับคัดเลือกให้ถูกเผยแพร่เท่านั้น
ท่านต้องทำการเพิ่มบัญชีธนาคารในระบบหลังบ้านก่อนถึงจะสามารถถอนเงินได้ ยอดขั้นตำ่ในการจ่ายต่อรอบบิลคือ $30 หรือ ประมาณ 1,000 บาท หากยอดยังไม่ถึงระบบจะทำการทบยอดสะสมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึง หรือในกรณีที่หากยังไม่ต้องการถอนเงิน ท่านสามารถสะสมไว้ในระบบได้ และเมื่อต้องการถอนสามารถส่งอีเมล์แจ้งมาที่ [email protected]เพื่อให้ทีมงานทำเรื่องจ่ายรายได้เข้าบัญชีที่ผูกไว้
หากต้องการเช็ครายได้ของท่าน สามารถทำได้โดยไปที่ My Profile >> รายได้ของฉัน
เงื่อนไขการจ่ายเงินและอัตรารายได้ที่จะเกิดขึ้น เป็นไปตามเงื่อนไขของผู้ลงโฆษณาในแต่ละแคมเปญ อ่านต่อที่ //th.readme.me/faq และ //th.readme.me/term/affiliate
*ข้อยกเว้น: In-House แคมเปญ จะไม่มีรายได้เกิดขึ้น เพราะเป็นแคมเปญที่ถูกจัดขึ้นโดยทีมงานเพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารของเว็บไซต์ หรือข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดรายได้จากการซื้อโฆษณา เป็นต้น
ลิขสิทธ์เนื้อหาและรูปภาพ
- ลิขสิทธ์เนื้อหาและรูปภาพของผู้เขียน หรือ บล็อกเกอร์ ยังคงเป็นลิขสิทธิ์ของท่าน ทางเว็บไซต์ Readme ไม่มีนโยบายในการนำผลงาน เนื้อหา และรูปภาพของผู้เขียนไปขายต่อผู้อื่นแต่อย่างใด การเข้าร่วม “Readme Affiliate Program” เป็นเพียงการแสดงแบนเนอร์โฆษณา (Ads) ในเนื้อหารีวิว และสร้างรายได้จากบทความ/รีวิวของท่านเอง
- อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ นโยบายเนื้อหาของบล็อกเกอร์ และ ข้อกำหนดในการให้บริการของเว็บไซต์
*หมายเหตุ อัตราส่วนการแบ่งค่าคอมมิชชั่นนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
แก้ไขล่าสุดและแจ้งให้สมาชิกผู้เขียนทราบ วันที่ 2 มิถุนายน 2565
หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ที่ อีเมล [email protected]หรือ อินบ็อกซ์มาที่แฟนเพจของเรา facebook.com/th.readme.me
ทริปนี้ของผมเกิดขึ้นโดยกระทันหันครับ เพราะอยู่ดีๆ ก็เกิดรู้สึกอย่างออกไปทริปนอนต่างจังหวัดเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายและพักผ่อนสุดสัปดาห์สัก 2 วันโดยที่ไม่ต้องลางาน ซึ่งด้วยความฉุกละหุกและเวลาที่มีไม่มากทำให้มองหาทริปที่สามารถขับรถไปเองได้จากกรุงเทพ และด้วยโจทย์ที่ว่า “อยากหาความสงบ” การไปเมืองที่ “ป๊อปปูล่า” หรือไม่ไกลจากตัวเมืองมากนั้นคงจะไม่ตอบโจทย์
จึงลองเปิดแผนที่ดูแล้วก็ไปสะดุดตากับเมืองที่อยู่สุดเขตตะวันตกของประเทศไทยติดกับประเทศเมียนมาร์อย่าง “สังขละบุรี” เข้าให้ ว่าแล้วจึงไม่รอช้าจองโรงแรมอย่างเร่งด่วนเพียง 1 วันล่วงหน้าและเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าสะพายออกไปเยือนดินแดนสามวัฒนธรรมกัน ! เช้าวันเสาร์ผมออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่หกโมงครึ่ง โดยวางแผนในใจไว้ว่าอยากให้ถึงสังขละบุรีก่อนช่วงเย็นเพื่อไปเดินเล่นสะพานมอญและถนนคนเดินสังขละบุรี ซึ่งผมลองอ่านรีวิวของคนที่เคยไปและเช็คจาก Google Map แล้วน่าจะใช้เวลาขับรถประมาณ 6 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตรประกอบกับผมเผื่อเวลาพักกินข้าวบ้างและไม่คุ้นเส้นทางเลยตั้งไว้ว่า 7 ชั่วโมงน่าจะถึง โดยการเดินทางนั้นใช้เส้นทางถนนบรมราชชนนีผ่านจังหวัดนครปฐม แล้วเลี้ยวเข้าอำเภอบ้านโป่งมุ่งหน้าอำเภอเมืองกาญจนบุรี
จากนั้นเลี้ยวไปทางอำเภอไทรโยคและวิ่งตรงจนถึงทางแยกก่อนเข้าอำเภอทองผาภูมิก็เลี้ยวขวาไปสังขละบุรี (ช่วงจากทางแยกอำเภอทองผาภูมิไปสังขละบุรีนั้นเป็นทางวิ่งขึ้นลงเขาและโค้งเยอะใช้ความเร็วได้จำกัด แต่เป็นทางลาดยางหมดขับไม่ยากเท่าไหร่)วันที่
1
ตอนออกจากกรุงเทพจนถึงเมืองกาญจนบุรีรู้สึกว่าบนถนนรถค่อนข้างเยอะและขับเร็วไม่ค่อยได้ อาจจะเป็นเพราะตรงกับวันหยุดคนเลยออกเที่ยวต่างจังหวัดเยอะ ในใจตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกคิดไปแล้วว่าคนที่สังขละบุรีน่าจะเยอะแน่ๆ จะกลายเป็นว่าได้เที่ยวแบบคึกคักแทนที่จะปลีกวิเวก 🙂 แต่พอวิ่งผ่านน้ำตกไทรโยคไปแล้วรถก็เริ่มโล่ง จนถึงแยกทองผาภูมิและเลี้ยวขึ้นเขามุ่งหน้าเข้าสังขละบุรีก็จำนวนรถลดลงจนบางตา คงจะเพราะสังขละบุรีอยู่ค่อนข้างไกล การจะเที่ยวแค่ 1 คืนคงไม่ค่อยมีใครทำ และเมื่อถึงสังขละบุรีก็รู้สึกได้ถึงความเงียบสงบ เพราะคนไม่ได้เยอะอย่างที่คิดไว้เลย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโควิด-19 ด้วยที่ทำให้นักท่องเที่ยวน้อยลงไป แต่ก็ถือว่าแลกกับความสงบที่ผมตั้งใจไว้แต่แรก สิริรวมแล้วใช้เวลาขับรถรวมเวลาพักด้วยทั้งสิ้น 7 ชั่วโมงเศษ ผมมาถึงสังขละบุรีประมาณสักบ่ายสามเกือบสี่โมง ก็เช็คอินเอาของไว้ที่โรงแรม โดยผมจองโรงแรมชื่อ Mountain View House – Sangkhlaburi เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากตัวอำเภอเพียง 3 กิโลเมตร บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนมาก โดยเมื่อเช็คอินแล้วพี่เจ้าของโรงแรมก็แนะนำว่าเก็บของแล้วพักผ่อนสักครู่สักช่วงห้าโมงครึ่งแดดเริ่มสงบแล้วก็ไปเทียวสะพานมอญและในเมืองจะได้บรรยากาศมาก และแนะนำว่าวันรุ่งขึ้นให้ตื่นเช้าสักตีห้าครึ่งออกไปใส่บาตรที่ย่านสะพานมอญสัมผัสหมอกยามเช้า เพราะถึงแม้ช่วงนี้จะเข้าหน้าร้อนแล้วแต่อุณหภูมิตอนเช้ายัง 18 องศาอยู่และเย็นสบายมาก
เมื่อพักผ่อนล้างหน้าล้างตาแล้วสักประมาณห้าโมงเย็นก็ออกไปเที่ยวในตัวอำเภอสังขละบุรีกัน โดยจุดหมายแรกที่ไปก็คือ “สะพานมอญ (สะพานอุตตมานุสรณ์)” ที่เป็นไฮไลท์ของอำเภอนี้ ใครมาสังขละบุรีแล้วไม่ได้มาสะพานมอญก็เรียกได้ว่า “มาไม่ถึง” สังขละบุรี สะพานมอญนี้เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสองของโลกและยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาวรวม 850 เมตรพาดข้ามแม่น้ำซองกาเลีย สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 หรือกว่า 35 ปีมาแล้วโดยหลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการามเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรของชาวไทยและชาวมอญ บรรยากาศยามเย็นของที่นี่คึกคักมากทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถ่ายรูปสะพานไม้สุดคลาสสิคและชาวบ้านที่นำสินค้าพื้นเมืองมาขายทั้งสองฝั่ง แต่ก็ยังคงความขลังของการอยู่ร่วมกันทั้งชาวไทย ขาวมอญและชาวกะเหรี่ยงได้อย่างกลมกลืน
.
หลังจากที่ผมเดินเล่นพร้อมถ่ายรูปสะพานมอญยามเย็นไป-กลับหนึ่งรอบรวมระยะทางกว่า 1.70 กิโลเมตรแล้ว พอตะวันเริ่มตกดินก็ขอไปหาของกินอร่อยๆ ที่ถนนคนเดินสังขละบุรีกัน โดยถนนคนเดินตั้งอยู่ใจกลางอำเภอใกล้กับตลาดสด เป็นถนนคนเดินสายสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยอาหารท้องถิ่นทั้งหมู่จุ่มไม้ละบาท ขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วยมอญ เมี่ยงคำ ฯลฯ เดินไป ซื้อไป กินไป จนอิ่มตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือกินไปเยอะมาก (กินตั้งแต่ก่อนตะวันตกดินจนตะวันลับขอบฟ้าแล้วของกินยังอยู่คามือเลย)
.
หลังจากที่ท้องอิ่มแล้วตอนนั้นทุ่มครึ่งเห็นจะได้ ก็มีแม่ค้าบอกว่าวันนี้เป็นวันพระใหญ่ที่เจดีย์พุทธคยาในวัดวังก์วิเวการามมีงานกลางคืนเปิดให้ชาวบ้านเข้าไปสวดมนต์และทำกิจกรรมทางศาสนากัน ว่าแล้วก็ขอลองไปชมความสวยงามยามค่ำคืนของเจดีย์พุทธคยาสักหน่อย โดยวัดนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่ใช้เวลาขับรถไปจากถนนคนเดินประมาณ 15 นาทีเท่านั้นแต่เป็นทางขึ้นเขาต้องระวังหน่อย เจดีย์พุทธคยานี้มีเทพทันใจให้สักการะขอพรด้วย และขอบอกว่ายามค่ำคืนและมีการประดับไฟที่เจดีย์นี้แล้วนั้นเป็นบรรยากาศที่งดงามมาก
จากนั้นประมาณสักสองทุ่มครึ่งผมก็รู้สึกว่าอาหารเริ่มย่อยและก็รู้สึกอยากจะพักผ่อนขึ้นมาทันใด ก็ขอกลับไปโรงแรมเพื่อพักผ่อนและอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นสักหน่อย (ทริปนี้กะจะมาพักผ่อนนิ 555+) ซึ่งหลังจากอาบน้ำก็ได้ใช้เวลานั่งเล่นที่ระเบียงห้องพร้อมอากาศเย็นๆ เงียบๆ บนหุบเขาอันสงบ รู้สึกได้เลยว่า “ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจตัวเองเต้นและเสียงลมหายใจของเราเอง” แค่ความว่างเปล่าในใจก็สามารถทำให้เราสุขได้แล้ว และผมก็จำไม่ได้ว่าเข้านอนไปตอนไหนเพราะบรรยากาศอันเงียบสงบมันทำให้เราทำอะไรแบบไม่รู้เวลาเลยจริงๆ
วันที่ 2
จากที่เมื่อวานตั้งใจไว้ว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปตักบาตรที่สะพานมอญ โดยผมได้สั่งเตรียมอาหารและของตักบาตรสำหรับพระ 9 รูปไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นตอนไปเที่ยวสะพานมอญแล้ว โดยจะมีคนมาถามเราตั้งแต่ตอนจอดรถเลย ค่าอาหารและของตักบาตรสำหรับพระเก้ารูปอยู่ที่ 300 บาท และเช้าวันนี้ประมาณก่อนหกโมงทางคนที่เราสั่งอาหารไว้ก็โทรมาบอกว่าพระกำลังออกบิณฑบาตรแล้วเราสามารถไปได้เลย ตอนนั้นผมก็กำลังจะสตาร์ทออกไปแล้ว ไปถึงก็ไปรับอาหารที่เราสั่งไว้และรอพระที่บริเวณนั้นได้เลย หรือจะถือข้ามไปใส่บาตรพระฝั่งมอญก็ได้ตามสะดวก การใส่บาตรครั้งนี้มันทำให้ผมนึกไปว่า “ผมใส่บาตรครั้งสุดท้ายในชีวิตเมื่อไหร่กันแน่” เพราะมันนานมากจนจำไม่ได้ ชีวิตที่เราใช้เวลาอยู่ในเมืองมานับสิบปี กว่าจะเลิกงานกลับบ้านก็มืดค่ำ ตื่นมาก็ตะวันโด่งและก็ต้องรีบออกไปทำงานแล้ว ไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย ทั้งที่เราเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เคยได้ใกล้ชิดกับศาสนาเลย มองมันเป็นเรื่องไกลตัวมาตลอด การตักบาตรในครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการเคาะประตูสมองของผมอีกครั้งว่า การรู้จัก “ให้” สิ่งเหล่านี้มันก็นำมาซึ่งความสุขได้ ทำให้เรารู้จักลดความตระหนี่ลง เมื่อความตระหนี่ลดความสุขทางใจก็เข้ามาแทนที่ นี่คงจะเป็นสิ่งที่เป็น “แก่น” ของการใส่บาตร ที่เป็นการทำให้คนเราลด “ความโลภ” ลงได้
เมื่อใส่บาตรกันแล้ว ผมก็ใช้เวลาเดินชมทำเลหมอกกลางสะพานมอญในตอนเช้าพร้อมกับหาอาหารเช้าฝั่งมอญลงท้องกัน โดยสะพานมอญในตอนเช้าที่อากาศประมาณ 18 องศาพร้อมกับสายหมอกที่ลอยผ่านตรงหน้าเรานั้นบอกได้คำเดียวว่า “งดงาม” แบบหาที่ไหนไม่ได้ในโลกนี้อีกแล้ว อีกทั้งบรรยากาศฝั่งมอญที่พุทธศาสนิกชนเรียงแถวกันใส่บาตรในตอนเช้า ทำให้เข้าใจถึงศรัทธาต่อศาสนาได้เป็นอย่างดี และการมาสะพานมอญตอนเช้าก็คงพลาดไม่ได้ที่จะลองโจ๊กมอญกับกาแฟโบราณ โดยโจ๊กของที่นี่จะคล้ายกับโจ๊กที่เรากินทั่วไป ต่างกันที่หมูสับที่ใช้จะไม่ใช่หมูปั้นก้อน แต่เป็นหมูสับรวนที่วางไว้บนหน้าของโจ๊ก อร่อยไปอีกแบบ
จากนั้นเมื่อเริ่มสาย (สายในที่นี้คือประมาณ 7 โมงครึ่งนะครับ ถ้าเป็นในกรุงเทพและวันหยุดแบบนี้ผมคงยังไม่ลุกจากที่นอนเป็นแน่) ก็ขอตัวกลับโรงแรมเพื่อเก็บข้าวของและเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมงครึ่งเพื่อจะกลับเข้ากรุงเทพ แต่ก่อนจะกลับผมก็ขอไปแวะอีกแลนด์มาร์คที่สำคัญของสังขละบุรีที่ไม่ควรพลาดอย่าง “ด่านเจดีย์สามองค์” โดยอยู่ห่างจากตัวอำเภอสังขละบุรีประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถไม่เกิน 30 นาที โดยด่านเจดีย์สามองค์นี้เป็นด่านชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมาร์ (คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์คงรู้จักด่านนี้เป็นอย่างดี) โดยติดกับเมืองพญาโต้นซูของเมียนมาร์ หากไม่มีเหตุการณ์โควิดและด่านเปิดเราสามารถข้ามแดนไปเที่ยวฝั่งต่างประเทศได้ แต่สิ่งที่เป็นวัตุประสงค์ของผมในวันนี้ก็คือมาเพื่อ “ชะโงก” ดูให้เห็นสถานที่แห่งนี้สักครั้งก่อนจะกลับกรุงเทพก็เท่านั้นครับ (หากมีโอกาสที่ด่านเปิดอีกรอบ…รับรองผมไม่พลาดที่จะมาที่นี่อีกเพื่อข้ามไปฝั่งเมียนมาร์แน่นอน)
ผมใช้เวลาที่ด่านเจดีย์ประวัติศาสตร์แห่งนี้ไม่นานครับ โดยเดินเล่นรอบบริเวณองค์เจดีย์ทั้งสามและตลาดชายแดนใกล้ๆ รวมถึงเก็บภาพของด่านผ่านแดนที่มองเห็นฝั่งต่างประเทศอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว จากนั้นก็ขอขับรถยิงยาวกลับกรุงเทพด้วยความรู้สึกที่ถึงแม้จะเป็นทริปสั้นๆ เวลาส่วนมากหมดไปกับการเดินทาง แต่ก็รู้สึกได้พลังงานชีวิตกลับมาอีกครั้ง ได้พักผ่อนจากเรื่องวุ่นวายแม้เพียงสักเพียงครู่หนึ่งของชีวิต และได้ประสบการณ์อีกหนึ่งบทของชีวิตเก็บเข้าสู่เมมโมรี่ความทรงจำ….ถ้ามีโอกาสจะกลับมาใหม่….สังขละบุรี
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
SHIPY SIWARIT TIASUWATTISETH : เขียน
//www.facebook.com/shipyshipdotcom