ได้เป็นดาราก็อยากได้ออสการ์ ได้เป็นประธานาธิบดีก็อยากได้อย่างอื่นอยู่ดี แม้ได้เข้าทางธรรมก็ยังอยากหลุดพ้น
แล้วชีวิตที่ประสบความสำเร็จคืออะไร
ถ้าให้สรุปคงจะเป็น
“ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
คือการมีชีวิตอย่างอิสระตามที่ต้องการ ”
เป็นไปได้หรอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้ทุกอย่าง
คำตอบคือ ได้สิ แต่…เราจำเป็นต้องมีปัจจัยพื้นฐาน 5 อย่างต่อไปนี้ ถ้าเรามีมากพอเราจะมีอิสระในการทำทุกอย่างที่เราต้องการ นั่นก็คือ
เวลา (Time)
ความรู้ (Knowledge)
ทรัพย์สิน (Asset)
สุขภาพ (Healthy)
สังคม (Connection)
ทุกคนล้วนมีปัจจัยเหล่านี้อยู่แล้วแต่จะมากหรือน้อยแตกต่างกันไป แล้วเราจะเพิ่มปัจจัยให้มีมากขึ้นได้อย่างไร
1. เวลา (Time)ปัจจัยเดียวที่ทุกคนมีจำกัด และเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทุกคนได้ฟรีตั้งแต่เกิดมาบนโลก ถ้ามีจำกัดแล้วไม่พอละจะทำอย่างไร คำตอบคือก็ซื้อเอาสิ เวลาสามารถซื้อขายได้จากคนอื่น หากเวลาไม่พอใช้ ก็ซื้อเวลาจากคนอื่นมาใช้ เราไม่สามารถเพิ่มเวลาได้แต่เราสามารถชะลอการเสียเวลาได้ เช่น เราสามารถซื้อเวลาจากแม่บ้านมาช่วยลดเวลาในการทำงานบ้าน เราสามารถซื้อเวลาพนักงานมาช่วยลดเวลาในการสร้างผลิตภัณฑ์แทนที่จะสร้างด้วยตัวเองคนเดียว เราสามารถซื้อเวลาในการลองผิดลองถูกด้วยการซื้อหนังสืออ่าน และซื้อประสบการณ์ความรู้ที่เรียบเรียงแล้วจากครูที่โรงเรียน นอกจากนี้เวลาที่คนส่วนใหญ่มักละเลยคือเศษเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เวลาในการเดินทาง เราสามารถนำมาใช้ในการอ่านบทความหรือฟัง Podcast เพิ่มความรู้
2. ความรู้ (Knowledge)ปัจจัยที่เราต้องลงทุนด้วยแรงและเวลา เราต้องลงแรงอ่านหนังสือ ลงแรงเรียนทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ แต่ก็ยังสามารถใช้เงินเข้าช่วยลดระยะเวลาในการเพิ่มความรู้ได้ เช่น ใช้เงินซื้อหนังสือดีๆ ใช้เงินซื้อติวเตอร์ดีๆ ใช้เงินซื้อโรงเรียนดีๆ
ปัจจัยที่เราต้องลงทุนด้วยแรง ความรู ้และเวลา เราต้องลงแรงและความรู้ในการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเริ่มต้น หรือบางคนก็อาจโชคดีได้มรดกมาฟรี แต่การทำให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ถ้าลงแรงอย่างเดียวอาจจะช้าเกินไปจนเสียเวลาเยอะ เราก็ออกแรงลงทุนโดยใช้ความรู้ เพิ่มมูลค่าให้ทรัพย์สินมีมูลค่ามากขึ้นในเวลาที่น้อยลง
4. สุขภาพ (Healthy)ปัจจัยที่เราต้องลงทุนด้วยแรง และเวลา เราต้องสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว แฟน เพื่อน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง คู่ค้า ศัตรู อื่นๆอีกมากมาย โดยบางครั้งเราสามารถใช้เงินเข้าช่วยในการแสดงน้ำใจ หรือการช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั่นจะเป็นการสร้างบารมีที่ดีที่สุด ในอนาคตจะมีประโยชน์อย่างมาก
งานที่ คุณเพิ่งจะได้ทำ 3-6 เดือนนั้น โดยทั่วไปแล้วเราอาจจะไม่ไม่สามารถได้รับการขึ้นเงินเดือนมากเท่าที่ควร เพราะคุณจะต้องผ่าน Probation ของบริษัทก่อน ดังนั้นการทำงานอาจจะไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขหรือสบายใจได้ทุกเวลามัน จะต้องใช้เวลาในการพัฒนาชีวิตการทำงานของเรา
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
คุณมีสไตล์การหางาน สมัครงานแบบไหน
5 ข้อคิดพิชิตงานในฝัน
ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จในอาชีพ วิธีประสบความสำเร็จ เทคนิคประสบความสำเร็จในอาชีพ
บทความยอดนิยม
ช้อปดีมีคืน 2566 รวมทุกเรื่องต้องรู้! ช้อปแบบไหนถึงมี (เงิน) คืน
มาตรการลดหย่อนภาษีประจำปี “ช้อปดีมีคืน” ของทางภาครัฐกลับมาอีกครั้ง ชาวไทยผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจึงพากันให้ความสนใจโครง...
1. กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี ทุกคนก็รู้ แต่ก็มีน้อยคนที่จะยอมเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง เพราะความกลัวในเรื่องต่างๆ เช่นกลัวล้มเหลว, กลัวถูกปฏิเสธ และ กลัวเสียหาย เป็นต้น ทำให้เลือกที่จะอยู่ในพื้นที่แห่งความคุ้นเคย (Comfort Zone) จึงเท่ากับย่ำอยู่กับที่ไม่มีความก้าวหน้าในงานเลย ดังนั้นเราต้องกล้าที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำในสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อยๆ โดยคิดว่าถ้าหากไม่สำเร็จก็จะได้ประสบการณ์ชีวิตเองจะทำให้เรากล้าทำมากขึ้นครับ
2. มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
การจะประสบความสำเร็จ จะต้องกล้าที่จะตั้งเป้าหมายแล้วควรจะชัดเจนด้วย เพราะถ้าเราไม่มีเป้าหมาย ชีวิตของเราก็คงเดินไปเรื่อยๆ ไม่ถึงไหนซักที เพราะเมื่อมีเป้าหมาย เมื่อเราทำถึงแล้วจะได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นไปอีก เราจะได้ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายในงานก็เช่นเดียวกันหลายคนไม่ค่อยได้ตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำอะไรบ้าง ในแต่ละช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น ปีนี้, เดือนนี้, สัปดาห์นี้ หรือ วันนี้ เพราะคิดว่าตัวเองมีงานเยอะอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตั้ง แต่จริงๆ แล้ว การตั้งเป้าหมายแล้วทำได้ก็จะทำให้เรามีความสุข แล้วอยากจะตั้งอีกเรื่อยๆ หากไม่สำเร็จบ้างก็ลองตั้งใหม่เดี๋ยวก็สำเร็จเอง ผมเจอคนประสบความสำเร็จมาเยอะส่วนใหญ่แล้ว จะเล่าเป้าหมายของเขาได้ชัดเจนจนเราเห็นภาพเลยครับ
3. เผชิญหน้ากับความล้มเหลวแล้วเริ่มใหม่
คุณลักษณะเด่นข้อนี้มีอยู่ในทุกคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะเขาจะลุกขึ้นมาได้ทุกครั้งที่เขาล้มเหลว แล้วมุ่งมั่นต่อไปจนในที่สุดไม่มีอะไรขวางกั้นเขาได้เพราะการทำงานทุกอย่างล้วนมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ถึงแม้ว่าเราจะเตรียมตัวไว้ดีแค่ไหน ก็อาจจะเจออุปสรรคที่ทำให้ล้มเหลวได้ ดังนั้นหากเราบอกกับตัวเองเสมอๆ ว่า ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องน่าละอาย แต่การไม่ลุกขึ้นมาทำต่อไปต่างหากที่เป็นเรื่องน่าละอาย ก็จะทำให้เรามุ่งมั่นสู่ความสำเร็จได้ไม่ยากเลยครับ เช่น นักกีฬาที่ชนะเลิศ ทุกคนจะพบกับการแพ้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่เขาไม่ยอมแพ้นั่นเอง เขาจึงประสบความสำเร็จในที่สุด กรรมการผู้จัดการ หรือเถ้าแก่หลายคนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะมีบาดแผลแห่งความล้มเหลวเต็มตัวเช่นกัน กว่าที่จะมาถึงวันนี้ได้
4. มุ่งมั่นในความคิดของตัวเองและทำจนกว่าจะสำเร็จ
คนเชื่อมั่นในตนเอง จำทำให้เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองด้วย แต่ก็ไม่ใช่ในความหมายว่าเป็นคนดื้อนะครับ แต่จะเป็นความหมายว่ามีจุดยืนของตัวเองไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรในความคิดของเขา เขาก็จะมุ่งมั่นทำมันเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถทำมันได้ และจะภูมิใจในความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จในที่สุด หัวหน้าหลายคนทำให้ลูกน้องขาดความมั่นใจโดยไม่รู้ตัว เพราะจะคอยทักว่าไม่ดี ไม่ควรทำ เพราะหัวหน้าเห็นข้อจำกัดแต่จริงๆ แล้ว เท่ากับปิดกันไม่ให้ลูกน้องได้คิดเองทำให้สุดท้ายลูกน้องคนนั้น ก็จะไม่มีความคิดเลย แล้วก็จะเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองในที่สุด หลายคนที่เป็นหัวหน้าคนอยู่ ควรระวัง ข้องนี้ให้ดีนะครับ ต้องคอยยุให้เขาทำตามความคิดของเขาจนกว่าจะสำเร็จ อย่าหยุด!
5. อยู่กับช่วงที่ตัวเองรู้สึกแย่น้อยกว่าช่วงที่ตัวเองรู้สึกดี
ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง คงไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่ดีไปตลอด และก็ไม่มีใครที่มีชีวิตแย่ไปตลอด เพียงแต่ว่าใครจะเผชิญกับความรู้สึกแย่และความรู้สึกดีมากกว่ากัน ซึ่งการเผชิญความรู้สึกนี้ก็คือจิตใจที่เราไปคิดกับเหตุการณ์นั้นๆ เอง หากเราสามารถควบคุมความรู้สึกแย่ให้เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ แล้วพยายามรักษาความรู้สึกดีๆ ให้อยู่ในช่วงนานๆ หน่อย ก็จะทำให้ชีวิตมีความสุข และดำเนินชีวิตการทำงานไปได้อย่างราบรื่นแล้วจะประสบความสำเร็จในที่สุด ประสบการณ์ชีวิตการทำงานของแต่ละคนจะช่วยในเรื่องนี้ ได้ เช่น คนที่ผ่านเหตุการณ์วิกฤตมามากก็จะเข้าใจ และไม่จมอยู่กับเรื่องไร้สาระ เช่นความหดหู่, เบื่อหน่าย, ขี้เกียจ นานนักเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ดังนั้นก็จะปล่อยให้ความรู้สึกแย่ๆ อยู่แค่แป็บเดียว แล้วกระตุ้นตัวเองได้ เดินหน้าต่อได้ สำหรับคนที่ประสบการณ์น้อย ก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนไปครับ
6. รับฟังคำวิจารณ์จากผู้อื่นได้ดี
ความรู้อยู่ในทุกๆ ที่ที่เราผ่านไป ดังนั้นการรับฟังผู้อื่น เป็นหัวใจสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำวิจารณ์จากผู้อื่น ถ้าหากใครสามารถรับฟังได้มากก็จะประสบความสำเร็จได้มาก เพราะสามารถแปลคำวิจารณ์เป็นสิ่งที่เราสามารถนำไปปรับปรุงได้ไม่ใช่ฟังว่าเขาว่าอะไรเรา ดังนั้นถ้าหากเราเป็นคนเปิดกว้าง ก็จะมีสิ่งต่างๆ เข้ามาหาเรามากขึ้น เราก็มีโอกาส เลือกสิ่งดีๆ ได้มากขึ้น ส่วนสิ่งไม่ดีเราก็ไม่ต้องรับเข้ามาแต่การรับฟังคำวิจารณ์ จะให้ผู้อื่นกล้าพูดกับเรามากขึ้น ทั้งหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง ทำให้เราทำงานผ่านผู้คนได้ดีขึ้น สุดท้าย เราก็จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จแน่นอน
7. มีทัศนคคิเชิงบวกในเรื่องต่างๆ มากกว่า
ทัศนคติเชิงบวกในที่นี้ หมายความว่า การที่เรามีความเชื่อมั่นในงานที่เราทำและพร้อมที่จะรับผลของความล้มเหลว โดยการให้กำลังใจตัวเอง เพื่อให้ทำอีกจนกว่าจะประสบความสำเร็จ และไม่จินตนาการเรื่องที่เลวร้ายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง แต่จะคิดในด้านบวกเสมอๆ กับสิ่งที่ทำเพื่อให้อยากทำ และอยากประสบความสำเร็จเพราะจินตนาการผลลัพธ์ในด้านดีไว้แล้ว คนเราสามารถโต้ตอบกับสิ่งต่างๆ ทั้งด้านบวกและด้านลบได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเรา แต่ถ้าเราควบคุมทัศนคติเชิงบวกในเรื่องต่างๆได้มากเท่าไร เราก็จะลงมือทำเรื่องต่างๆ ได้มากเท่านั้น ผลลัพธ์หรือผลงานก็จะยิ่งออกมาดี แล้วก็จะเหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ทำกันอยู่ คือเป็นคนที่มีทัศนคติเชิงบวกมากกว่าคนที่ประสบความล้มเหลว
8. มีภาวะความเป็นผู้นำสูง
ผู้นำ คือ ผู้ที่มีผู้อื่นปฏิบัติตามในสิ่งที่เราอยากให้ทำด้วยความเต็มใจ ดังนั้นผู้นำจะต่างจากผู้จัดการค่อนข้างมาก เพราะผู้จัดการทำให้ผู้อื่นทำตามด้วยคำสั่ง แต่ผู้นำทำให้ผู้อื่นทำตามด้วยการจูงใจ ในชีวิตการทำงานเราคงต้องมีทั้งความเป็นผู้จัดการและความเป็นผู้นำ แต่ถ้าผู้จัดการคนใดมีภาวะความเป็นผู้นำสูง ก็ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า เรื่องของผู้นำคงต้องขอยกไปพูดในหัวข้ออื่นๆ เพราะเป็นเรื่องที่เยอะมาก เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่า ผู้ประสบความสำเร็จ จะมีภาวะความเป็นผู้นำภายในตัวเองสูง และผู้ตามก็อยากตามด้วยความเต็มใจ
9. ให้ความสำคัญกับผู้อื่น
ผู้ประสบความสำเร็จทุกคนไม่สามารถทำอะไรโดยลำพังได้เลย ต้องมีผู้อื่นร่วมอยู่ในงานนั้นๆ อยู่เสมอ ถ้าผู้ใดบอกว่าประสบความสำเร็จได้โดยลำพัง แสดงว่าผู้นั้นคงเข้าใจอะไรผิด บางอย่างแน่ๆ เลย เพราะไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดทำงานสำเร็จได้เอง ดังนั้นการให้ความสำคัญกับผู้อื่นอย่างจริงใจจึงเป็นคุณลักษณะเด่นที่สำคัญ จะเห็นว่า ผู้ใดมีทีมงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นทีมเวิร์คผู้นั้นจะประสบความสำเร็จสูง การให้ความสำคัญผู้อื่นหมายถึง การทำให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในวิสัยทัศน์ , ค่านิยม และแผนงานของเรา ส่งเสริมให้เขาได้แสดงความสามารถของเขาให้เต็มที่ ยอมรับในคุณค่าของเขา และปฎิบัติต่อผู้อื่นดังนี้ จะประสบความสำเร็จแน่นอนครับ
10. ดำเนินเรื่องด้วยความไม่ประมาท
ผู้ประสบความสำเร็จ จะไม่กลัวความล้มเหลว คิดอะไรได้ก็จะลงมือทำทันที แต่เขาก็ไม่ได้ประมาท เพราะก่อนที่เขาจะลงมือทำนั้น ต้องมีข้อมูล และแผนงานที่ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้น เขาก็ยังไม่ทำ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือ เขามีขั้นตอนในการดำเนินชีวิตที่แน่นอน ไม่ยืนอยู่บนความเสี่ยงเด็ดขาดแต่ก็ไม่กลัวความล้มเหลว เมื่อลงมือทำแล้วก็จะทำให้ตลาดจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ
แนวคิดในวันนี้เป็นการรวบรวมจากประสบการณ์ของผม ที่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับคนจำนวนมาก แล้วบันทึก จุดเด่น หรือ แนวการดำเนินชีวิตของบุคคล ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน ขอย้ำนะครับ ว่าความสำเร็จของผมไม่ใช่ความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการที่คนเราตั้งเป้าหมาย แล้วทำได้ด้วย ผมคาดหวังว่าแง่คิดเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนที่อ่านแล้วรู้สึกว่าน่าจะลองนำไปปฏิบัติดู จริงๆๆ แล้วคุณลักษณะเด่นเหล่านี้มีอยู่ในพวกเราทุกๆ คน เพียงแต่ว่าจะมีใครนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองเท่านั้น
การฝึกฝนคุณลักษณะเด่นเหล่านี้ จนเป็นนิสัยของเรา และทำให้เรานำไปปฏิบัติจนเป็นธรรมชาติ ของตัวเรา เมื่อไร เชื่อแน่เลยว่าคุณจะประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่องที่คุณตั้งใจไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว ขอให้โชคดีทุกๆคนครับ หากมีโอกาสคงได้อ่รแนวคิดของผมอีก ขอบคุณครับ