คือว่าตอนนี้ หนูเครียดมากเลยละค่ะ
เหมือนหัวข้อละค่ะ เรียนสถาปัตย์ จบมามีงานทำแน่นอนหรือป่าว ????เครียดมากจริงๆ
เพราะคนแถวบ้านเค้าเรียน จบสถาปัตย์มา แต่เค้าไม่มีงานทำ ตอนนี้ก็ 2 ปี แล้วที่พี่เค้าคนนั้นอยู่ที่บ้านไม่มีงานทำ
พี่เค้าก็บอกว่าอย่าไปเรียนเลย จบมาไม่มีงานทำเหมือนเค้า งานสถาปัตย์ตอนนี้มันหาทำยาก
แล้วหนูจะทำไงดีละค่ะ หนูชอบสถาปัตย์มาก หนูทำงานอะไรก็ได้ แต่กลัวตำแหน่งงาน มันจะไม่มีว่างให้เราทำนี้สิค่ะ
มันมีช่องทางไหนบ้าง ที่จะทำให้ หนูจบมาแล้วมีงาน ทำอะคะ พ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน หนูเครียดมากจริงๆคะ พ่ออยากให้หนูเรียน พยาบาลทหารเรือ แม่อยากให้เรียน สัตวแพทย์ แต่หนูไมไ่ด้สอบ Pat 2 วิทย์ เลยสมัครไม่ได้
แง่ๆๆ ช่วยหนูด้วยคะ ช่วยตอบให้หนูสบายใจหน่อย ว่าจบมามีงานทำแน่นอน `TT
เครียดมากค่าาาาาาาาา TT
( หนูสอบได้โควต้าอะคะ เค้าตัด รับตรง กับแอดมิดชั่น หนูต้องซิ่วเพื่อไปเรียนอย่างอื่นหรือป่าว ถ้าเรียนสถาปัตย์แล้วไม่มีงานทำ
เรียนสถาปัตย์ ดีไหม? งานมั่นคงแค่ไหนและมีทางเลือกอะไรในอาชีพได้อีกบ้าง!?...มาทำความรู้จักสายงานของ "สถาปนิก" กัน
1. รับราชการ
เข้ารับราชการในกระทรวงต่างๆ อาทิ กรมโยธาธิการและผังเมือง , สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นต้น โดยทำงานออกแบบอาคารต่างๆให้กับทางภาครัฐหรือตรวจแบบอาคารต่างๆให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ข้อดี คือเรื่องความมั่นคง เงินเดือน สวัสดิการที่ดี ครอบคลุมทั้งตัวเราและครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐมีจำนวนตำแหน่งที่จำกัด จึงทำให้มีอัตราการแข่งขันที่สูงในการสอบบรรจุด้วยเช่นกัน
2. ทำงานในบริษัทเอกชน
ปัจจุบันในไทยมีบริษัทสถาปนิกจำนวนมากตั้งแต่บริษัทเล็กๆหลักสิบคน ไปถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานหลายร้อยคน หรือบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย
ดังนั้นการทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทของเอกชนนั้น จึงมีตัวเลือกสายงานและขนาดของบริษัทได้ค่อยข้างมากซึ่งโดยปกติในแต่ละบริษัทจะมีแนวทางและสายงานที่ชัดเจน ทำให้เมื่อเข้าไปทำงานก็จะเข้าใจในสายงานนั้นโดยเฉพาะและลงลึกในสายอาชีพนั้นๆมากขึ้น ตัวอย่างสายงานที่มีเช่น บ้านพักอาศัย บ้านพักตากอากาศ ,โรงแรม รีสอร์ท , การจัดนิทรรศการณ์หรือพิพิธภัณฑ์ , ร้านอาหาร หรือศูนย์การค้า เป็นต้น
ข้อดี คือ การทำงานในบริษัทเอกชน มีตัวเลือกตำแหน่งงานมากกว่า รวมถึงสามารถเลือกสายงานเฉพาะทางที่สนใจเพื่อต่อยอดในสายงานนั้นๆต่อไปได้
3. รับงานอิสระ (Freelance)
การรับงานอิสระคือการหาลูกค้าและทำงานออกแบบเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจบจบโครงการตามที่ได้ตกลงกับลูกค้าไว้ในสัญญา โดยการหาลูกค้าอาจเริ่มจากคนที่เห็นและชื่นชอบในผลงานออกแบบของเรา หรือเป็นคนรู้จักที่เห็นผลงานและบอกกันปากต่อปาก ทำให้เราสามรถรับงานได้เองโดยไม่ต้องผ่านองค์กรหรือบริษัท
ข้อดี คือการมีอิสระทางเวลา ไม่ต้องเข้างานในวันเวลาที่กำหนดไว้ตายตัว แต่ทั้งนี้อาจต้องระวังเรื่องการหาลูกค้าเพื่อให้มีงานต่อเนื่องและสัญญาค่าจ้างต่างๆด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่จึงรับงานอิสระเมื่อทำงานสะสมประสบการณ์ได้ในระดับนึงแล้ว
4. การเปิดบริษัทรับออกแบบ
การเปิดบริษัทรับออกแบบของตัวเองมักเกิดขึ้นหลังจากทำงานในวงการจนได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เมื่อมีลูกค้าที่สนใจอยากให้ออกแบบให้มากขึ้น จึงสามารถขยับขยายและหาทีมงานมาช่วยงานบริษัท เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมรายละเอียดในงานออกแบบทุกๆโครงการ
ข้อดี คือการประสบความสำเร็จในอาชีพ มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ ตลอดจนสามารถสร้างสรรค์ผลงานหรือแสดงเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนผ่านงานออกแบบได้มากขึ้น
5. Account Executive
Account Executive หรือ AE เป็นหนึ่งในแผนกของบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่ที่มีโครงการจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีผู้ดูแลและประสานงานกับลูกค้า (แทนสถาปนิก) เพื่อติดต่อประสานงานกับทุกๆแผนกที่เกี่ยวข้อง
ทั้งฝ่ายสถาปนิก ฝ่ายแบบ ฝ่ายวิศวกรรม ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายงานก่อสร้าง และลูกค้า ดังนั้นผู้ที่ทำงานด้านนี้จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ทางสถาปัตยกรรม การบริหารจัดการ และการสื่อสารที่ดี เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นจนเสร็จสิ้นโครงการ
ข้อดี คือ
การได้ใช้ทักษะที่หลากหลาย และมีความมั่งคงเนื่องจากทำงานในองค์กรณ์ขนาดใหญ่
6. ต่อยอดทำงานในสายอาชีพอื่นๆ
คณะสถาปัตยกรรมฯ ไม่ได้สอนเพียงการออกแบบบ้านเท่านั้นแต่ความรู้ที่ได้จากการเรียนสามารถนำไปต่อยอดในสายงานอื่นๆได้อีกหลายแขนง ทั้งงานด้านศิลปะ
และสายธุรกิจ เช่น
- งานวาดการ์ตูนและภาพประกอบ
- งานด้านสื่อและGraphic Design
- งานด้านศิลปศึกษา หรือศิลปะบำบัด
- งานเขียนและนักเล่าเรื่อง หรืองานในวงการบันเทิง
- ประกอบธุรกิจส่วนตัว อาทิ แบรนด์เสื้อผ้า , ของใช้-เครื่องเขียน, งานทำมือน่ารักๆ หรือ ร้านอาหาร
เป็นต้น
ขอบคุณภาพจาก:
//dsignsomething.com/2020/06/19/p-o-ar-patchara-ornnicha-architecture-co-ltd
//www.facebook.com/sasi.sketchbook