เห็นข่าวการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเริ่มโชยมา ผมก็เลยขอนำเสนอข้อมูลที่รวบรวมมาพร้อมทั้งคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในปีนี้ (ถ้ามี) เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับ HR และฝ่ายบริหารในองค์กรต่าง ๆ เพื่อเตรียมรับมือในเรื่องนี้กันนะครับ
บอกกันก่อนว่าการคาดการณ์แนวโน้มค่าจ้างขั้นต่ำในบทความนี้ ผมคาดการณ์จากสถิติการปรับค่าจ้างขั้นต่ำย้อนหลัง 14 ปี จากปี 2550-2564 (เราปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งล่าสุด คือ 1 ม.ค. 63) เกี่ยวกับความน่าจะเป็นในการปรับครั้งต่อไป ไม่ได้คาดการณ์จากปัจจัยในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามตำรา เช่น อัตราเงินเฟ้อ, ค่าครองชีพ, ราคาสินค้า ฯลฯ เพื่อดูความเป็นไปได้ในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำและผลกระทบสำหรับครั้งต่อไป
- ผลสลากออมสินพิเศษ 1 ปี และ 3 ปี งวดวันที่ 16 มกราคม 2566 (อัพเดต)
- ดีลบางจาก 55,500 ล้าน ปิดตำนาน เอสโซ่ สะเทือนถึง ปตท.
- เปิดวิบากกรรมการเมือง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เคยร้องไห้กับ “ยิ่งลักษณ์”
เนื่องจากค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันมี 10 อัตรา แบ่งตามจังหวัดต่าง ๆ ผมก็เลยขอใช้อัตราใน กทม.และปริมณฑลที่วันละ 331 บาท และคิดเป็นต่อเดือนคือใช้ 30 คูณ คือ เดือนละ 9,930 บาท แล้ววิเคราะห์แบบจำลองการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราต่าง ๆ โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าจะมีผลกระทบกับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิยังไงบ้าง โดยสรุปดังนี้
1.จากสถิติการปรับค่าจ้างขั้นต่ำย้อนหลัง 14 ปี (ตามภาพสถิติค่าจ้างขั้นต่ำ-อัตราเงินเฟ้อ-% ขึ้นเงินเดือนประจำปี 2550-2563) จะเห็นว่าถ้าเราไม่รวมการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2555-2556 ที่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40% เราจะมีค่าเฉลี่ยการปรับค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ประมาณปีละ 3% แต่เมื่อรวมการปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 2555-2556 เข้าไปแล้วเราจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยปีละประมาณ 8-9%
2.ปัจจุบันอัตราเริ่มต้นตามวุฒิของ ปวช. (11,000 บาท) ในปัจจุบันจะห่างจากค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบัน (วันละ 331 บาท เดือนละ 9,930 บาท) อยู่ประมาณ 11% (ตามภาพวิเคราะห์แบบจำลองการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราต่าง ๆ และผลกระทบ)
3.ถ้าหากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเริ่มมีผลกระทบต่ออัตราเริ่มต้นตามวุฒิ บริษัทก็จะต้องปรับอัตราเริ่มต้นตามวุฒิใหม่ไล่ลำดับไปทั้งหมด คือ ปรับ ปวช., ปวส., ปริญญาตรี, ปริญญาโท, ปริญญาเอก (ถ้ามี)
4.กรณีมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น 3% จะเป็นวันละ 341 บาท (เดือนละ 10,228 บาท) จะทำให้ความห่างระหว่างคุณวุฒิ ปวช.กับค่าจ้างขึ้นต่ำลดลงจากเดิมที่ 11% เหลือ 7.5%
ดังนั้น ถ้ามีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในอัตรานี้ บริษัทอาจจะยังไม่ต้องปรับอัตราเริ่มต้นตามวุฒิเพื่อหนีค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ก็ได้ แต่ต้องระวังไว้ว่าถ้าคู่แข่งปรับอัตราเริ่มต้นตามวุฒิ (ทุกคุณวุฒิ) หนีค่าจ้างขั้นต่ำใหม่แล้วบริษัทเราไม่ปรับ เราก็อาจจะไม่ได้คนจบใหม่ตามที่ต้องการ
5.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำตั้งแต่ 5% ขึ้นไป จะมีผลทำให้บริษัทควรจะต้องปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิทั้งหมด เนื่องจากความห่างระหว่างอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิ ปวช.กับค่าจ้างขั้นต่ำจะห่างกันเพียง 5.5% (เทียบจากปัจจุบันที่อัตราเริ่มต้นตามวุฒิ ปวช.ห่างจากค่าจ้างขั้นต่ำ 10.8%)
Advertisement
6.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 10% ขึ้นไป จะมีผลกระทบกับการปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิมากขึ้นไปเรื่อย ๆ (ตามภาพ) ซึ่งต้องถามขีดความสามารถในการจ่ายของฝ่ายนายจ้างว่าจะรับไหวแค่ไหน
7.นอกจากการปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิต่าง ๆ สำหรับคนจบใหม่แล้ว องค์กรยังต้องมีการปรับเงินเดือนคนเก่าที่เข้ามาด้วยอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิเดิมแล้วถูกคนจบใหม่ (หรือลูกจ้างที่เข้ามาด้วยค่าจ้างขั้นต่ำใหม่) มีเงินเดือนไล่หลังเข้ามา จะทำให้องค์กรมีต้นทุนในการปรับคนเก่าเพื่อหนีคนใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้นทุนตัวนี้ยังไม่รวม staff cost อื่น ๆ ที่คำนวณจากฐานเงินเดือน เช่น ค่าโอที, เงินสมทบประกันสังคม, เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ค่าชดเชย (กรณีถูกเลิกจ้าง) เป็นต้น
8.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำตั้งแต่ 10% ขึ้นไปจะมีผลกระทบรุนแรงกับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามเปอร์เซ็นต์การปรับที่เพิ่มขึ้น (ตามภาพวิเคราะห์แบบจำลองการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราต่าง ๆ และผลกระทบ)
9.ถ้าปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น 40% (เท่ากับเมื่อปี 2555-2556) จะทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่วันละ 463 บาท (เพิ่มขึ้นวันละ 132 บาท) และจะทำให้อัตราเริ่มต้นตามวุฒิ ปวช. = 15,400 บาท ปวส. = 17,500 บาท ปริญญาตรี = 22,400 บาท ปริญญาโท = 28,000 บาท (จริง ๆ แล้วจะมีวิธีปรับปลีกย่อยหลายแบบแต่ในที่นี้ผมขอคิดแบบเร็ว ๆ คือ ใช้ 40% คูณเข้าไปในทุกคุณวุฒิก็แล้วกันนะครับ)
10.ถ้าปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 492 บาท (ปรับเพิ่มขึ้น 48.64%) จะทำให้อัตราเริ่มต้นตามวุฒิ ปวช. = 16,346 บาท ปวส. = 18,575 บาท ปริญญาตรี = 23,776 บาท ปริญญาโท = 29,720 บาท ถ้ามองฝั่งลูกจ้างก็คงแฮปปี้ดีใจแหละครับ แต่ถ้ามองจากฝั่งนายจ้างละจะเป็นยังไง
จากที่วิเคราะห์มาทั้งหมดนี้ ผมคาดว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในรอบนี้น่าจะอยู่ในช่วง 3-5 เปอร์เซ็นต์ โดยคาดว่าน่าจะใกล้เคียงกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อ 1 ม.ค. 60 คือ 3% เมื่อ 1 เม.ย. 61 ประมาณ 4-5% และครั้งล่าสุดคือ 1 ม.ค. 63 ประมาณ 2%
เปิดฐานเงินเดือนเด็กจบใหม่ กับ 6 สายงานมาแรงแห่งปี 2565! พบภาพรวมอัตราเงินเดือนเริ่มต้น "ขยับลดลงจากปีก่อน" แต่ในหลายตำแหน่งงานมีเพดานเงินเดือนสูงขึ้น โดยเฉพาะด้าน "การเงิน-ไอที-ดิจิทัล"
บริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย (Adecco) เปิดตัว Salary Guide 2022 เผยข้อมูลอัตราเงินเดือนประจำปี 2564 ที่ผ่านมาในสายอาชีพต่าง ๆ จากบริษัทชั้นนำที่เป็นลูกค้าของ Adecco กว่า 3,000 บริษัท ซึ่งจากฐานข้อมูลเงินเดือนปี 2564 พบว่า กลุ่มเด็กจบใหม่มีอัตราเงินเดือนเริ่มต้นที่ 10,000 บาท และสูงสุดที่ 50,000 บาท โดยพนักงานระดับต้นต้องเผชิญการแข่งขันสูง ในขณะที่อัตราการจ้างเด็กจบใหม่ลดลง 24%
ในภาพรวมอัตราเงินเดือนเริ่มต้นนั้น "ขยับลดลงจากปีก่อน" แต่ในหลายตำแหน่งงานกลับมีเพดานเงินเดือนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะด้าน "การเงิน-ไอที-ดิจิทัล" ซึ่งเป็นเพราะตลาดแรงงานยังขาดแคลนคนเก่งในด้านนี้ สืบเนื่องจากผลกระทบโควิด-19 ที่ทุกองค์กรเร่งขยับขยายและปรับธุรกิจให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงเรื่องการเงินที่ต้องบริหารจัดการต้นทุนให้คุ้มค่า และแสวงหาโอกาสใน "สินทรัพย์ดิจิทัล" ที่กำลังมาแรง
พนักงานระดับต้นการแข่งขันสูง อัตราการจ้างเด็กจบใหม่ลดลง 24%
ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงภาพรวมการจ้างงานและอัตราเงินเดือนในปี 2564 ที่ผ่านมาว่า ผลกระทบจากโควิดที่ผ่านมาทำให้ตลาดแรงงานมีผู้ว่างงานจำนวนมาก จากการเลิกจ้างหลายองค์กรที่ต้องรัดเข็มขัดชะลอการรับพนักงานใหม่ และต้องปรับโครงสร้างเงินเดือน
"ปัจจัยนี้ส่งผลให้เด็กจบใหม่หางานยากขึ้น เนื่องจากในอัตราเงินเดือนเดียวกัน องค์กรยังสามารถจ้างผู้ที่มีประสบการณ์ได้ ซึ่งในปีนี้จากข้อมูลของ Adecco ก็พบว่า ตำแหน่งงานที่เปิดรับเด็กจบใหม่ในปีที่ผ่านมา ลดลงจากปี 2563 ราว 24% ขณะที่พนักงานระดับต้นต้องเจอกับการแข่งขันที่สูงขึ้น และฐานเงินเดือนเริ่มต้นที่ปรับลดลงในบางตำแหน่งจากภาวะแรงงานล้นตลาด ที่ทำให้องค์กรมีผู้สมัครจำนวนมากที่มีทักษะพื้นฐานใกล้เคียงกันเป็นตัวเลือก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สมัครต้องพัฒนาทักษะอยู่เสมอ แม้จะอยู่ในช่วงว่างงาน”
ภาวะขาดแคลน Talent ดันเพดานเงินเดือนขยับขึ้น
ในทางกลับกัน แรงงานที่มีทักษะที่ตลาดต้องการและประสบการณ์สูง เช่น ทักษะดิจิทัล และประสบการณ์ตรงในธุรกิจอุตสาหกรรมเดียวกัน กลับหาได้ยากขึ้น ส่งผลให้องค์กรต้องเพิ่มอัตราเงินเดือนเพื่อจูงใจผู้สมัคร ทำให้ค่าสูงสุดของอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เช่น
- ตำแหน่ง E-Commerce Manager จากเดิมที่สูงสุด 120,000 ขยับเพดานเป็น 300,000
- ตำแหน่ง Finance Controller ขยับเพดานจาก 250,000 เป็น 350,000
- ตำแหน่ง Senior Solution Architect ขยับเพดานจาก 160,000 เป็น 250,000
- ตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูง ขยับเพดานเงินเดือนจาก 500,000 บาท เป็น 700,000 บาท
เปิดโผ 6 สายงานมาแรงปี 2565 "ไอที-ดิจิทัล" บูมที่สุด
สายงาน "ไอที-ดิจิทัล" (IT & Digital) เป็นสายงานที่มาแรงที่สุดในปี 2564 ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Salary Guide 2022 พบว่าในปีที่ผ่านมามีจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับในสายงานนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 38% และเพิ่มขึ้น 15% จากปี 2562 โดยอาชีพที่ตลาดมีความต้องการสูงได้แก่ Programmer, Data Analyst, Project Manager, งานด้าน E-Commerce, Digital Marketing และ CRM/Customer Insight
ส่วนสายงานอื่นที่อยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นเดียวกัน ได้แก่ สายการเงินและบัญชี ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งจากการเติบโตของธุรกิจ "Fintech, สินทรัพย์ ดิจิทัล (Digital Assets) และการควบรวมกิจการต่างๆ" ที่ทำให้มีความต้องการจ้างงานในสายนี้มากขึ้นกว่าปี 2563
ส่วนสายงานขาย (Sales) แม้มีการเติบโตจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย แต่ในภาพรวมจำนวนการจ้างงานยังสูงติดลำดับต้นๆ และเติบโตได้ดีในหมวด B2B เนื่องจากองค์กรต้องการขยายช่องทางการขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ ทางด้านสายงานโลจิสติกส์ (Logistics) ก็เติบโตขึ้นเช่นกันจากอานิสงส์ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ขณะที่ สายงานวิศวกรรม มีความต้องการแรงงานสูงในสายงานที่เกี่ยวข้องกับระบบอัตโนมัติ (Automation) และการพัฒนาขั้นตอนในสายการผลิต
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Adecco ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้สมัครที่ได้รับเงินเดือนสูงในแต่ละสายงาน มักมีทักษะแบบ "T-shape" คือ รู้ลึกในสาขาเฉพาะทาง และรู้รอบในส่วนงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งมี soft skill ที่จะสามารถทำงานแบบ cross functional ร่วมกับทีมอื่นๆ
สำหรับทักษะสำคัญที่จำเป็นต้องมีเพิ่มเติมคือ ทักษะดิจิทัล (Digital skill) เนื่องจากองค์กรชั้นนำส่วนใหญ่ได้ปรับตัวเข้าสู่การทำงานในระบบดิจิทัลเรียบร้อยแล้ว รวมถึง ทักษะการใช้และวิเคราะห์ฐานข้อมูล (data analytics) ที่สามารถช่วยต่อยอดและยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในแทบทุกสายงาน
นอกจากนี้ ประสบการณ์ตรงในธุรกิจอุตสากรรมเดียวกัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตไม่ว่าจะเป็น Fintech, E-commerce, Logistic, Technology, Medical & Wellness, EV Technology, OTT หรือ แพลตฟอร์ม ที่ให้บริการคอนเทนต์ออนไลน์ ก็จะช่วยเพิ่มแต้มต่อในการสมัครงานให้กับผู้สมัครมากขึ้น ในฝั่งของผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงหากเคยมีประสบการณ์ในการทำ digital transformation การสร้างธุรกิจหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ก็จะเป็นที่น่าสนใจสำหรับหลายองค์กรในปัจจุบันที่ต้องการขยายตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและแสวงหาโอกาสในสินทรัพย์ดิจิทัล