ผักมีลักษณะต่างๆกันมากมายทั้งรูปร่าง ลักษณะและการนำไปใช้ประโยชน์หรือบริโภค ซึ่งผักต่างๆจะมีความแก่ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด หรือดัชนีการเก็บเกี่ยวที่แตกต่างกัน
หากไม่เข้าใจถึงปัจจัยทั้งก่อนและหลัง การเก็บเกี่ยวจะทำให้ผลิตผักได้ผักที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งทำให้การจัดการเบื้องต้นทั้งหลายไม่มีผล เป็นการลงทุนที่สูญเปล่า
• การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผัก
• ผักแต่ละชนิดต้องการการเก็บเกี่ยว การรักษา และการขนส่งที่ต่างกัน
• ผักแต่ละชนิดเก็บรักษาได้นานเพียงไรก่อนถึง ผู้บริโภคในขณะที่ผัก
- ยังคงมีชีวิตอยู่
- ยังคงมีการคายน้ำ
- ยังคงมีการหายใจได้ตามปกติ
- ยังคงมีคุณภาพดีอยู่
การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผัก
เริ่มต้นจากเมล็ดที่งอก ผักจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและชีวเคมี จากการเริ่มต้นการเจริญเติบโตจนตายไปบางส่วนหรือทั้งต้น
เจริญเติบโตของผักเกิดขึ้นเป็น 4 ระยะคือ
- การเจริญ ( Growth )
- การแก่ ( Maturation )
- การสุก ( Ripening )
- การเสื่อมสภาพ ( Senescence )
ปัจจัยที่เกี่ยวกับการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
1. อุณหภูมิ
ผักส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ในช่วงอุณหภูมิแคบๆ คือ จาก 0 - 40 C อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ ในช่วง 21 - 23 C ขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์ อาการสะท้านหนาว อาจเกิดขึ้นได้เมื่อผักได้รับอุณหภูมิต่ำเหนือ จุดเยือกแข็ง ผักที่ได้รับอุณหภูมิสูงเกินไป ทุกๆ 10 C ที่เพิ่มขึ้นจากอุณหภูมิที่เหมาะสม ความร้อนอาจทำลายผักได้ อัตราการเสื่อมสภาพจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 - 3 เท่า ทั้งอุณหภูมิต่ำและสูงจะก่อให้เกิดลักษณะที่ผิดปกติทางสรีรวิทยา
ผักที่ได้รับอุณหภูมิต่ำจะทำให้ผักเกิดการช้ำน้ำ ไม่สามารถสุกได้ และมีกลิ่นหรือรสชาติผิดปกติ มีการเน่าเสียง่าย ผักได้รับอุณหภูมิสูงจะทำให้เกิดการไหม้ สีซีด สุกไม่สม่ำเสมอ ผลนิ่ม หรือแห้ง ผักที่ยังติดอยู่กับต้นหรือยังคงสภาพที่อยู่กับดินสามารถปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่ผันแปรได้บ้าง เมื่อเก็บเกี่ยวมาแล้วผักไม่สามารถปรับตัวได้อย่างเดิม
ผักจะสะสมความร้อนอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องลดอุณหภูมิ เพื่อลดความร้อนจากแปลง (Field heat) และความร้อนจากการเมตาบอลิสม์ (Vital heat) ออกอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้ผักมีอายุยาวนานขึ้น หลังจากนั้นควรเก็บรักษาผักไว้ที่อุณหภูมิที่ต่ำและปลอดภัยต่อผักนั้นๆ นอกจากนั้นต้องเก็บรักษาผักในสภาพที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูงด้วย
พืชที่กำลังเจริญเติบโตจะมีความสมดุลย์ของกระบวนการ เมตาบอลิสม์ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ออกซิเจนโดยการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์และความร้อน ที่เกิดจากการหายใจจะไม่รบกวนการเจริญเติบโตของพืช รากทำหน้าที่รักษาระบบของธาตุอาหารและน้ำให้เหมาะสม ใบจะควบคุมการเข้าออกของก๊าซและการคายน้ำ เมื่อเก็บเกี่ยวผักแล้วต้องลดอุณหภูมิทันที และเก็บรักษาผักภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูง อัตราการหายใจถูกควบคุมโดยปริมาณออกซิเจน อัตราการหายใจบอกถึงการเปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นแป้ง ซึ่งที่อุณหภูมิสูงจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีของ Pea และข้าวโพดหวาน
อัตราการหายใจยังร่วมไปกับการสูญหายของวิตามินและอัตราการเสื่อมสภาพของผักได้กระบวนการหายใจของผักสามารถถูกควบคุมได้ โดยอุณหภูมิภายในและอุณหภูมิของสภาพแวดล้อม ถ้าอุณหภูมิลดลงถึงจุดที่ปลอดภัยต่อผักเร็วเท่าไร ผักจะมีอายุการวางจำหน่ายยาวนานขึ้นไปด้วย
3. ความต้องการน้ำ
เนื่องจากผักที่เก็บเกี่ยวมายังคงมีการหายใจอยู่ และยังมีการสูญเสียน้ำเกิดขึ้นจากกระบวนการคายน้ำ ทำให้ผักเหี่ยว ความกรอบเปลี่ยนเป็นความเหนียว ผักบางชนิดจะสูญเสียน้ำง่าย เช่น ในผักที่เป็นผล เช่น ฟักทองและแตงต่างๆ บริเวณก้านผลที่ถูกตัดจากต้นเป็นบริเวณที่สูญเสียน้ำได้มาก การวางมันฝรั่งไว้ในที่มีแสงแดดและลม น้ำจะระเหยผ่านทางเลนติเซลเป็นปริมาณมาก ไม่เพียงแต่ต้องรักษาสภาพอุณหภูมิของผักให้ต่ำเท่าที่จะปลอดภัยต่อผัก ความชื้นสัมพัทธ์ก็จะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย
4. การเคลื่อนที่ของอากาศ
ความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมผักเกือบทุกชนิดอยู่ในระดับ 95 - 98 % ยกเว้น หอมหัวใหญ่ และฟักทอง การหมุนเวียนของอากาศที่เหมาะสมจะช่วยลดความร้อนที่เกิดจากการหายใจผักได้ห้องเก็บรักษาต้องติดตั้งเครื่องมือเพื่อทำให้อากาศสามารถหมุนอย่างเหมาะสม
5. เอทธีลีน
เอทธิลีนเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่สังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อพืชและเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดก็สามารถสังเคราะห์เอทธิลีนได้ เอทธิลีนเป็นสารระเหยได้ มีคุณสมบัติเป็นฮอร์โมนพืช ผลไม้บางชนิดสามารถสังเคราะห์เอทธิลีนได้จำนวนมาก ซึ่งจะเพียงพอต่อการเร่งกระบวนการเสื่อมสภาพของผักส่วนมาก ในทางกลับกันเอทธิลีนมีประโยชน์เมื่อต้องการเร่งผลไม้ให้สุกพร้อมกันและเร็วขึ้นตามต้องการ เอทธิลีนทำให้เกิดปัญหามากมายกับผัก คือ