ภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์หลายแห่งถือเป็นบันทึกชั้นดีในสังคมไทย แม้อาจจะยังมองไม่ออก แต่หากรู้ที่มาที่ไปหรือสังเกตการวาดที่ช่างซ่อนอยู่บนผนัง เรื่องราวต่าง ๆ จะค่อย ๆ พรั่งพรูอยู่ในความคิด...
พรชัย วิริยะประภานนท์ หรือ “นรา” ผู้ศึกษาจิตรกรรมฝาผนัง มองว่า หากมองจิตรกรรมฝาผนังในเมืองไทย ส่วนใหญ่มีมากในยุคอยุธยาและรัตน โกสินทร์ ถ้าย้อนไปถึงยุคสุโขทัยหาได้ยากมาก เนื่องจากเลือนหายเกือบหมด ซึ่งจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยามีมากในงานยุคปลาย แต่งานจิตรกรรมในแต่ละยุคต่างกันตรงที่การกำหนดเรื่องราวที่จะวาดบนฝาผนัง
โดยเรื่องราวที่วาดสมัยอยุธยายังนิยมเกี่ยวกับอดีตพระพุทธเจ้า แต่มายุครัตนโกสินทร์มีน้อยลง ขณะเดียวกันตัวโบสถ์ของอยุธยาบางยุคไม่มีหน้าต่าง เลยทำให้ยังไม่มีความชัดเจนในการแบ่งช่องของเรื่องราวที่ช่างได้วาดไว้ เช่น วัดใหญ่สุวรรณาราม และวัดเกาะแก้วสุทธาราม จ.เพชรบุรี สองที่นี้เป็นโบสถ์แบบมหาอุด ดังนั้นช่างยังไม่มีการแบ่งเรื่องราวอย่างชัดเจนเท่าสมัยรัตนโกสินทร์ ถึงอย่างไรสมัยอยุธยาก็อาจจะมีงานที่มีเรื่องราวมากกว่าที่เราคิดไว้ เพราะหลักฐานที่หลงเหลือจนถึงปัจจุบันน้อย ด้วยมีทั้งสงคราม และเป็นเมืองร้างอยู่พักหนึ่ง และโดยอายุของภาพจะอยู่แค่ 100-200 ปี
ยุครัตนโกสินทร์การวาดเน้นเรื่องราวทศชาติชาดก สีที่ใช้วาดอยุธยาจะมีไม่มาก มีแค่ แดง ขาว ดำ เหลืองนวล เขียว ซึ่งช่างต้องใช้วัสดุธรรมชาตินำมาทำเป็นสี ต่างจากยุครัตนโกสินทร์ที่เริ่มมีสีให้เลือกใช้มากขึ้น เนื่องจากนำเข้าสีมาจากจีน
“ถ้ามองให้ดีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาโทนของภาพเน้นสีแดง บางพื้นที่ซึ่งต้องใช้สีขาวก็ไม่ระบาย แต่ใช้พื้นปูนบนฝาผนังนั่นเลย ขณะเดียวกันโทนสีนี้ส่งอิทธิพลมาถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น การใช้โทนสีแดงของอยุธยาบางแห่งชัดจนเราเห็นได้ว่าเป็นโทนแดงทั้งภาพ”
ถ้ามองง่าย ๆ จิตรกรรมฝาผนังของไทยก็เหมือนภาพในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น แต่ภาพฝาผนังอาจไม่ได้ตีแบ่งเป็นช่องชัดเจน แต่ของไทยอาจใช้การแบ่งเรื่องด้วยเส้นหยักฟันปลา หรือที่รู้จักกันว่า เส้นสินเทา ที่จะเด่นมากยุคอยุธยา และยังมีอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ และเริ่มน้อยลงจนมีการแบ่งภาพด้วยเทคนิคอื่น
การวาดภาพน้ำสมัยอยุธยาช่างวาดเหมือนเป็นคลื่นที่ประดิษฐ์ขึ้นมา เช่น เขียนวงกลมซ้อนกันเรื่อย ๆ และมีละอองน้ำกระเด็นนิดหน่อย พอเป็นยุครัตนโกสินทร์ช่วงต้น ๆ ยังมีบ้าง แต่พอมาช่วง ร.3 การวาดน้ำของช่างจะเหมือนจริงมากขึ้น
เรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้บนภาพฝาผนังหากดูให้ดีจะเห็นการคลี่คลายเรื่องราวตามสภาพสังคมแต่ละยุค อย่างสุโขทัยกับอยุธยาตอนต้นชัดมากที่เรื่องราวเน้นเกี่ยวกับอดีตพระพุทธเจ้า โดยจะวาดให้เป็นในเชิงสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่พอมาอยุธยายุคปลายเป็นต้นมา เรื่องราวเริ่มเปลี่ยนความนิยมมาเป็นทศชาติชาดก และภาพเริ่มมีการเล่าเรื่องมากขึ้น
อยุธยาตอนต้นภาพวาดส่วนใหญ่อยู่ในพระปรางค์ ดูเหมือนว่าองค์พระปรางค์ในสมัยนั้นเป็นส่วนสำคัญของการสร้างวัด อย่างจดหมายเหตุของพระลังกาที่บันทึกไว้ช่วงอยุธยาตอนปลายก็บันทึกไว้ว่าในโบสถ์หรือวิหารมีการเขียนผนัง ซึ่งความนิยมในการวาดภาพฝาผนังอาจจะเริ่มนิยมในช่วงถัดมา ขณะเดียวกันในช่วงรัตนโกสินทร์เองก็ยังมีการวาดภาพฝาผนังในกุฏิพระ
“เทียบกันง่าย ๆ ช่างอยุธยาจะวาดฝาผนังเหมือนการเขียนตัวหนังสือหวัดแบบบรรจง แต่ช่างยุครัตนโกสินทร์จะเหมือนการเขียนหนังสือตัวบรรจง ที่เส้นจะต้องเนี้ยบ ผิดจากอยุธยาที่เส้นจะอิสระกว่า และจะโดดเด่นมากในด้านลวดลาย ด้วยลักษณะของลายกระหนก โดยเฉพาะถ้าดูจากตู้พระธรรม งานไม้ หรือปูนปั้น”
ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเห็นได้ชัดว่า งานจะเน้นการสืบทอดจากอยุธยา แล้วเริ่มมาคลี่คลายช่วง ร.3 ต้องยอมรับว่างานศิลปะของไทยส่วนใหญ่จะทำตามอย่างครู ถือเป็นการเคารพที่สืบทอดกันมา แต่อาจมีพลิกแพลงนิดหน่อย สิ่งนี้เลยทำให้งานคลี่คลายช้า แต่ตัวช่างเองจะเหมือนมีลายเซ็นของตัวเองอยู่ ขณะเดียวกันแนวทางของภาพที่ได้รับความนิยมส่วนหนึ่งได้มาจากแนวทางพระราชนิยมของกษัตริย์ในยุคนั้นด้วย โดยเฉพาะช่วง ร.3 และ ร.4 ถือว่าเด่นชัดมาก
ช่วง ร.3 ถือเป็นยุคที่งานช่างทุกประเภทรุ่งเรือง ด้วยท่านนิยมสร้างวัด และโดยตัวของชิ้นงานที่ช่างได้วาดไว้ถือเป็นงานที่โดดเด่น ด้วยสภาพสังคมในเวลานั้นเอื้ออำนวย เลยทำให้ยุคนี้มีงานที่ดี ๆ หลงเหลืออยู่มาก เช่น วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร วัดบางยี่ขัน วัดนางนองวรวิหาร วัดดาวดึงษาราม
ช่วงสมัย ร.3 ช่างวาดเริ่มมีการพลิกแพลง เช่น วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ในวิหารมีการวาดวัดของพระพุทธเจ้า และมีการเขียนภาพที่สมจริงมากขึ้น และมีการวาดประวัติพระอัครสาวก แทนที่จะเน้นเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเหมือนแต่ก่อน
พอสมัย ร.4 ท่านมีความรู้หลายด้าน และมีวิสัยทัศน์ไกลที่เห็นถึงอนาคตจะเป็นอย่างไร และประเทศไทยควรมุ่งไปทางไหน โดยเฉพาะเรื่องอิทธิพลตะวันตก ในแง่ศาสนาก็ทำให้ดูเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ดังนั้น งานฝาผนังยุคนี้มีการปนวิทยาศาสตร์อยู่ด้วย เช่นเดียวกับเรื่องที่วาดเปลี่ยน แปลงจากยุคเก่ามาก ซึ่งเรื่องชาดกเดิมที่นิยมวาดก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เพิ่มเข้ามา แต่มีเรื่องอื่นผสมด้วย ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวเหมือนที่ผ่านมา
เช่นที่ วัดบวรนิเวศวิหาร และวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ที่ท่านขรัวอินโข่ง ได้วาดไว้ มีการวาดเกี่ยวกับปริศนาธรรม แต่ตัวภาพจะเป็นตะวันตกเลย และเริ่มลดภาพวาดที่เป็นปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ให้น้อยลง
ช่วง ร.5 งานจิตรกรรมฝาผนังเหมือนการสานต่อจากสมัย ร.4 แต่งานที่เด่นอยู่ที่ วัดราชาธิวาสราชวร วิหาร หรือวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ในพระที่นั่งทรงผนวช มีการวาดพระราชประวัติของ ร.5 บางรูปจะเห็นข้าราชบริพารที่มีตัวตนจริงอยู่ในภาพ
ยุค ร.6-ปัจจุบัน ภาพวาดฝาผนังเริ่มกระจัดกระจาย มุ่งไปสู่ความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น ที่น่าสนใจคือ วัดตรีทศเทพ ที่วาดโดยอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤษ บางภาพที่ตามขนบจะยึดถือตามแบบเก่า แต่บางภาพมีการผสมผสานแบบไทยกับของตะวันตกได้อย่างกลมกลืน ยุคนี้งานอาจไม่ได้อยู่บนฝาผนังเหมือนแต่ก่อน แต่ไปปรากฏบนเฟรมวาดภาพของศิลปิน
สิ่งที่คนรุ่นใหม่จะได้จากการดูภาพจิตรกรรมฝาผนังเหมือนการกลับไปคุยกับอดีต ที่จะเห็นการแต่งกายสมัยก่อน บ้านเรือนหรือการละเล่น ถือเป็นบันทึกสังคมอย่างหนึ่ง.