กฎหมายทั่วไป :
"แจ้งเกิด แจ้งตาย ย้ายที่อยู่ รัฐจะอยากรู้ไปทำไม?"
ความเป็นและความตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราต้องพบเจอกันอยู่ทุกวันแต่สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ
เรามีหน้าที่ตามกฏหมายอย่างไรบ้างที่ต้องกระทำเมื่อการเกิดและตายเกิดขึ้นมา
การเกิด
การตาย
การมีสภาพบุคคล
แต่ถ้าเด็กทารกนั้นคลอดและอยู่รอดเป็นทารกแล้วล่ะก็ เด็กก็จะมีสิทธิได้รับมรดกของพ่อตัวเองในฐานะที่เป็นผู้สืบสันดานนั่นเอง ซึ่งสิทธิที่จะได้รับมรดกนั้นจะเกิดทันทีที่เด็กคลอดพ้นออกจากครรภ์มารดาและหายใจแม้เพียง 3 นาที
การสิ้นสภาพบุคคล
ในทางกฎหมายถือว่าเป็นการสิ้นสภาพบุคคลซึ่งอาจเกิดได้ 2 ลักษณะ คือ
2. ตายโดยผลของกฎหมายคือ เป็นบุคคลสาบสูญ
(หายไปจากบ้านโดยไม่มีผู้ใดพบตัวเลยติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี ในกรณีปกติ หรือ 2 ปี ในกรณีพิเศษ เช่น ไปทำสงคราม หรือ เกิดภัยพิบัติขึ้น)
การแจ้งย้ายที่อยู่
การแจ้งย้ายที่อยู่นั้นสามารถทำได้โดยแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ อาจเป็นเทศบาลหรืออำเภอก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าสถานที่ที่ย้ายออกนั้นขึ้นอยู่กับหน่วยงานราชการใด โดยต้องทำภายใน 15 วันนับตั้งแต่ย้ายออกจากพื้นที่เดิม
การหมั้น - การสมรส : ความสัมพันธ์แบบไทยที่ชัดเจนในสายตาของกฎหมาย?
ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่เราตั้งคำถามกันอยู่เสมอ ซึ่งคำตอบนั้นอาจชัดเจนในความรู้สึก แต่ไม่แต่ไม่ชัดเจนในสายตาของกฏหมาย ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนว่ากฎหมายไทยรับรองเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเท่านั้น ก็หวังว่าในอนาคต รัฐไทยจะรับรองความสัมพันธ์ให้กับทุกเพศอย่างเท่าเทียมกัน
เมื่อชายหญิงได้คบหากันมาระยะหนึ่ง และได้ตัดสินใจที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นขึ้น ในทางกฎหมายบุคคลอาจทำได้ 2 วิธีคือ การหมั้น หรือ การสมรส
การหมั้น
การบอกเลิกสัญญาหมั้น
ต้องไปดูว่ามีเหตุเลิกสัญญาหมั้นหรือไม่ ซึ่งก็เอาง่ายๆ ว่าถ้าฝ่ายไหนผิดสัญญาฝ่ายนั้นก็มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับอีกฝ่าย เช่น ถ้าฝ่ายชายเปลี่ยนใจไม่อยากทำตามสัญญาหมั้นต่อไปแล้ว ฝ่ายชายต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ฝ่ายหญิง ส่วนของหมั้นนั้น เนื่องจากฝ่ายหญิงไม่ได้เป็นฝ่ายผิดก็ไม่จำเป็นต้องคืนให้กับชาย ในทางกลับกัน ถ้าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายชายมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาหมั้นและเรียกของหมั้นคืน พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายคืนจากฝ่ายหญิงได้
อย่างไรก็ดี แม้เราอยากแต่งงานกับเขาตามสัญญาหมั้นที่มีต่อกัน แต่สัญญาหมั้นที่มีก็ไม่อาจใช้ร้องต่อศาลเพื่อบังคับให้เขาแต่งงานกับเราได้ (เรื่องหัวใจนี่มันบังคับกันไม่ได้จริง ๆ)
การสมรส
เหตุที่ต้องได้รับความยินยอมก็เพราะว่า กฎหมายต้องการให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกคู่ครองผู้เยาว์นั่นเอง โดยการให้ความยินยอมนี้อาจทำเป็นหนังสือหรือทำด้วยวาจาก็ได้ เมื่อผู้เยาว์ได้ทำการสมรสกับผู้เยาว์ ก็จะกลายเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะไปโดยปริยาย โดยถือหลักที่ว่าบรรลุแล้วบรรลุเลย แม้สมรสกันเพียง 3 วัน แล้วไปจดทะเบียนหย่า บุคคลนั้นก็จะไม่กลับมาเป็นผู้เยาว์อีก
บุคคลที่ไม่อาจสมรสได้
ทุกกรณี ก็ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้1. คนวิกลจริต อาจไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูตนเองอยู่แล้ว และเมื่อจะมีครอบครัวก็อาจไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดูแลได้ ตามกฎหมายอยากให้ชีวิตครอบครัวสงบสุข หากแต่งงานกับคนจิตไม่ปกติแล้ว ชีวิตครอบครัวอาจมีปัญหาได้
2. คนที่เป็นญาติสืบสายโลหิตหรือพี่น้องกัน เช่น พ่อแต่งกับลูก อาแต่งกับหลาน ในทางการแพทย์ หากมีสายเลือดเดียวกันและแต่งงานกัน ทายาทรุ่นต่อไปจะรับเอาส่วนที่ไม่ดีของทั้งสองฝ่ายมา นอกจากนี้ประเพณีของสังคมไทยทั่วไปยังไม่ยอมรับการแต่งงานแบบนี้ด้วย
3. การสมรสระหว่างบุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรม ที่กฎหมายห้ามก็เพราะว่าจะได้ไม่สับสนในสถานะระหว่างบุคคลทั้งสองว่าจะเป็นสามีภรรยากัน หรือ เป็นบุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรมนั่นเอง อย่างไรก็ดีถ้ามองให้ลึกลงไป บุคคลทั้งสองจะแต่งงานกันก็ย่อมทำได้ เพียงแค่ต้องไปเลิกรับการเป็นบุตรบุญธรรมออกไป กล่าวคือ ต้องลบสถานะหนึ่งออกไปก่อนแล้วค่อยสร้างสถานะใหม่ขึ้นมา
4. กฎหมายห้ามชายหญิงที่สมรสกับผู้อื่นอยู่แล้วมาทำการสมรสอีก หรือที่เรียกว่า สมรสซ้อน ก็เพราะว่าไม่ต้องการให้เกิดปัญหาภายในครอบครัว นอกจากนี้กฎหมายไทยในปัจจุบันยังรองรับเพียงแค่ความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ต้องจำไว้เสมอว่า การสมรสนั้นเป็นเรื่องของความยินยอมของบุคคลทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ว่าเขาอยากแต่ง แต่เราไม่อยากแต่ง แล้วเราดันลงชื่อในทะเบียนสมรสไป
แบบนี้การสมรสเป็นโมฆะ หรือก็คือการสมรสนั้นไม่ได้เกิดขึ้น
ดังนั้น
ในหนังหรือละครที่พระเอกกับนางเอกถูกคลุมถุงชนหรือถูกบังคับให้ลงชื่อในทะเบียนสมรสนั้น จริงๆ ในสายตาของกฎหมายการสมรสนั้นตกเป็นโมฆะ
การสิ้นสุดการสมรส : อยากยุติความสัมพันธ์ต้องทำยังไง แล้วเรามีสิทธิ์จะได้อะไรบ้าง?
การสิ้นสุดการสมรส
เมื่อความสัมพันธ์มาถึงจุดที่ต้องเลิกรากัน ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย กฎหมายก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่วันยังค่ำ ทีนี้สิ่งที่เราต้องพิจารณาอันดับแรกคือ มีเหตุหย่าตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเหตุหย่าตามกฎหมายที่ให้อำนาจอีกฝ่ายฟ้องหย่าได้ มีดังต่อไปนี้
ผลของการหย่า
สามีหรือภรรยามีชู้ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าถ้าเกิดการนอกใจกันขึ้นก็ย่อมยากที่จะอยู่ร่วมชายคากันต่อไปได้
ประพฤติชั่วทำให้อีกฝ่ายขายหน้าอย่างร้ายแรง
หากอยู่กันต่อไปจะถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเดือดร้อน เช่น เป็นนักเลงหัวไม้ ค้ายาเสพติด เป็นต้น
ทิ้งร้างอีกฝ่ายเกิน 1 ปี ซึ่งการทิ้งร้างนี้ต้องเป็น
การทิ้งร้างที่จงใจกระทำ ไม่ใช่ว่าทิ้งร้างไปเพราะ
มีเหตุจำเป็น เช่น ต้องไปเกณฑ์ทหารแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการทิ้งร้างอีกฝ่ายต้องคำพิพากษาจำคุกเกิน 1 ปี กรณีนี้ศาลต้องมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก และต้องเป็นการจำคุกจริงๆ ไม่ใช่เป็นการรอลงอาญา ทั้งนี้ความผิดที่ฝ่ายนั้น
ถูกลงโทษ สามีหรือภรรยาต้องไม่ได้มีส่วนรู้เห็น
ในการกระทำผิดนั้นด้วยแยกกันอยู่เกิน 3 ปี อาจทำโดยทั้งสองฝ่ายสมัครใจแยกกันอยู่ หรือศาลมีคำสั่งให้แยกกันอยู่ก็ได้
ทำร้ายหรือทรมานร่างกาย และจิตใจของอีกฝ่าย เช่น เหยียดหยามหมิ่นประมาทบุพการีของอีกฝ่าย
ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
เสียชีวิต
ไม่อุปการะเลี้ยงดูตามสมควร
เป็นคนวิกลจริตเกิน 3 ปี จนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
ผิดทัณฑ์บนความประพฤติที่ทำข้อตกลงกันไว้
เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ไม่อาจรักษาได้
อีกฝ่ายไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดกาล
ผลของการหย่า มี 2 แบบ ดังนี้
1. ผลของการหย่าโดยความยินยอมของทั้งฝ่าย
โดยการหย่าเช่นนี้ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมลงชื่อพยานอย่างน้อย 2 คน ซึ่งหากต้องการตกลงกันเรื่องทรัพย์สิน หรืออำนาจในการปกครองบุตรก็สามารถตกลงกันได้เองในชั้นนี้ และเจ้าหน้าที่ผุ้มีอำนาจก็จะทำการบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไว้ในบันทึกข้อตกลงแนบท้ายทะเบียนการหย่าไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ในกรณีที่อีกฝ่ายไม่ทำตามสิ่งที่ตกลงกันไว้ตอนที่ตกลงจะหย่ากัน ก็สามารถนำหนังสือแนบท้ายนี้ไปร้องขอต่อศาลให้ศาลบังคับให้อีกฝ่ายทำตามหน้าที่ที่ฝ่ายนั้นมีได้
ผลต่อบุตร
กรณีนี้เป็นเรื่องที่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการใช้อำนาจปกครองบุตร ใครจะเป็นผู้อุปการะจ่ายค่าเลี้ยงดู ซึ่งถ้าตกลงกันได้ก็ดีไป แต่ถ้าหากตกลงกันไม่ได้ก็แน่นอนว่าต้องให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดผลต่อสถานะความเป็นสามี ภรรยา
ความเป็นสามีภรรยาย่อมสิ้นสุดลงทันทีและไม่มีหน้าที่ใดๆ ต่อกันอีกผลต่อทรัพย์สิน
เรื่องเงินๆ ทองๆ นี่แหละที่ตกลงกันยาก แต่เอาง่ายๆ โดยทั่วไปทรัพย์สินก็จะแบ่งกันคนละครึ่ง โดยเอาจำนวนทรัพย์สิน ณ เวลาที่จดทะเบียนหย่ามาคำนวณสิ่งที่ต้องแบ่ง อย่างไรก็ดีทรัพย์สินบางอย่างอาจไม่สามารถนำมาแบ่งกันได้ เช่น ของที่อีกฝ่ายใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น สามีเป็นหมอฟัน จะเอาเก้าอี้ทำฟัน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาแบ่งปันไม่ได้ หรือของที่เป็นของส่วนตัวที่อีกฝ่ายใช้ในชีวิตประจำวันก็เอามาแบ่ง
ไม่ได้ เช่น น้ำหอม นาฬิกาข้อมือ เป็นต้น
2. ผลของการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
การหย่าวิธีนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้หย่าได้ ดังนั้นแม้จะยังไม่ได้ไปจดทะเบียนหย่ากัน ก็ถือว่าการสมรสสิ้นสุดลงแล้ว
ผลต่อบุตร
ก็คือการตกลงกันเรื่องอำนาจในการเลี้ยงดูบุตรนั่นเอง ซึ่งส่วนมากฝ่ายที่ชนะคดีจะได้รับอำนาจเลี้ยงดูบุตรไป ทั้งนี้ศาลย่อมตัดสินโดยเอาประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญผลต่อสถานะความเป็นสามีภรรยา
นี่คือสิ่งที่น้อยคนจะรู้ว่าหย่าแล้วเรามีสิทธิได้อะไรบ้าง อย่างไรก็ดีสิ่งที่จะได้ต่อไปนี้ ต้องเป็นฝ่ายที่ไม่ผิดถึงจะมีสิทธิได้หย่าแล้วเราสามารถเรียกค่าเสียหายจากคนที่เป็นชู้ของสามีหรือภรรยาของเราได้ ก็คือใครที่เป็นเหตุทำให้เราหย่าเราฟ้องเรียกเงินจากเขาได้นั่นเอง
เรียกค่าเลี้ยงชีพจากคู่สมรสเดิม ถ้าการหย่าจะทำให้เรายากจนลง
เพราะไม่มีรายได้มาจุนเจือตัวเอง เนื่องจากตอนสมรสทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านหรือแม่บ้านอย่างเดียวไม่มีรายได้
กรณีนี้ ฝ่ายที่ต้องยากจนลงสามารถเรียกค่าเลี้ยงชีพจากสามีหรือภรรยาของตนได้ด้วย